ยุคนี้ ไม่มีพระอรหันต์แล้ว จริงเหรอ?

 
Dhammarak
วันที่  3 มี.ค. 2554
หมายเลข  17980
อ่าน  14,192

ธรรมสวัสดี สหายธรรมทุกท่าน

จำได้ว่าเคยอ่านหนังสือของมูลนิธิ เล่มหนึ่ง (จำไม่ได้ว่าเล่มใหน) มีข้อความตอนหนึ่งว่ายุคนี้ ไม่มีพระอรหันต์แล้ว และข้อความที่อยู่ในพระสูตร และพระอภิธรรม ที่พูดถึงเรื่องนี้

ข้อความโดยสรุปว่า

พ.ศ. ๐๐๐๐ - พ.ศ. ๑๐๐๐ มีพระอรหันต์ + ปฏิสัมภิทา

พ.ศ. ๑๐๐๐ - พ.ศ. ๒๐๐๐ มีพระอรหันต์สุขวิปัสสโก

พ.ศ. ๒๐๐๐ - พ.ศ. ๓๐๐๐ มีพระอนาคามี

พ.ศ. ๓๐๐๐ - พ.ศ. ๔๐๐๐ มีพระสกทาคามี

พ.ศ. ๔๐๐๐ - พ.ศ. ๕๐๐๐ มีพระโสดาบัน

หลัง พ.ศ. ๕๐๐๐ ไม่มีพระพุทธศาสนาแล้ว

จากการค้นคว้ามา พบว่า เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ใน อรรถกถา โคตมีสูตร และอรรถกถาหลายแห่ง เช่น อรรถกถาทีฆนิกายก็มี ในอรรถกถาวินัยก็มี ตอนที่เล่าเรื่องการทำสังคายนาครั้งที่ ๑ เมื่อทำสังคายนาเสร็จแล้ว แผ่นดินไหวปานประหนึ่งจะบอกว่า ศาสนาที่พระเถระทั้งหลายได้ทำสังคายนาแล้วครั้งนี้จะดำรงอยู่ ๕,๐๐๐ ปี ท่านโปรดพิจารณาให้ดี และลองนึกถึงคำว่า “แผ่นดินไหวปานประหนึ่งจะบอกว่า” ธรรมวินัยหรือพุทธ ศาสนาที่พระเถระมีพระมหากัสสปเป็นประธานทำสังคายนาแล้วนี้จะดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี นี้ก็มี

แต่หาไม่เจอที่เป็นพุทธพจน์โดยตรงใน พระสูตร และพระอภิธรรม เลย เพราะเวลาเราจะพูดกับใครเรื่องนี้ เค้ามักจะบอกว่า เค้าเชื่อพุทธพจน์เท่านั้น

พระพุทธพจน์ที่มีอยู่ก็มีเป็นกลางๆ ตอนที่ตรัสกับท่านสุภัททะปัจฉิมสาวก พระสาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ตอนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานว่า “สุภัททะ ถ้าภิกษุทั้งหลายเป็นอยู่โดยชอบ โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์”

คำว่า เป็นอยู่โดยชอบ คือ ปฏิบัติตรงตามอริยมรรค ๘

ดังนั้น ยุคสมัยนี้ ถ้าบุคคลยังสามารถปฏิบัติได้ตามอริยมรรค ๗ ยังมีพระอรหันต์แน่นอน (อริยมรรค ๘ ไม่ใช่สิ่งที่จะปฏิบัติได้ง่ายๆ ตามที่คนส่วนใหญ่คิดกัน แม้สมัยนี้ข้าพเจ้าก็ไม่คิดว่าจะมีใครสามารถปฏิบัติได้อย่างบริสุทธิบริบูรณ์)

ตัวอย่าง เรื่องราว ที่กล่าวถึงเรื่องพระอรหันต์ ยุคนี้ มีอาจารย์ สำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งที่ใหญ่โตมาก ท่านสอนศิษย์ว่า ท่านได้ตรวจดูแล้ว พบว่า ยุคสมัยนี้ ไม่มีพระอรหันต์แล้ว

ลูกศิษย์ทั้งหลายพากันท้อแท้ ลังเลสงสัยต่อการปฏิบัติ และตัวอย่างครูบาอาจารย์ที่พวกเขา ยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ เช่น หลวงปู่มั่น หลวงพ่อชา และสายพระป่า เป็นต้นเป็นพระอรหันต์ จริงเหรอ?

มีลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งไปถาม หลวงปู่ดู่ว่า ได้ยินพระอาจารย์ข้างต้นเล่ามาอย่างนี้ เป็นจริงหรือ?

หลวงปู่ดู่ตอบว่า ยุคนี้ มีพระอรหันต์ ๒๐๐ กว่าท่าน แต่ท่านเหล่านั้น ไม่ติดป้ายแขวนคอโฆษณาว่าตนเป็นพระอรหันต์ ที่อุดรธานี มีพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ประกาศตนว่า เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทา

สายพระป่า มีระบบ การรับรองว่า ในเครือข่ายของตน มีพระอรหันต์ทั้งนั้น ใครอยากทำบุญกับให้ได้อานิสงส์มากให้ไปทำบุญกับท่านเหล่านั้น

ยุคสมัยนี้ มีบุคคลที่เป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่มาก การที่จะแก้ได้นั้น เราจะต้องมีหลักฐานอ้างอิงที่สมเหตุสมผล

คำถาม อยากจะขอให้ท่านที่รู้ช่วยมาแนะนำด้วยว่า เรื่อง ยุคนี้ไม่มีพระอรหันต์แล้ว มีหลักฐานอ้างอิง อยู่ในส่วนไหนของพระอภิธรรม และในพระสูตรที่เป็นพระพุทธพจน์โดยตรงครับ

ขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 3 มี.ค. 2554

ขอเรียนว่า หลักฐานในพระไตรปิฎกโดยตรงจริงๆ คนยุคนี้อ่านไม่เข้าใจ ต้องอาศัยอรรถกถาขยายความครับ ถ้าไม่เชื่ออรรถกถาก็จบกัน แต่ที่สำคัญคือ ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์จะไปรู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ข้อปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์สำคัญกว่า ถ้าไม่ตรงตามพระธรรมวินัย แม้การบรรลุเป็นพระโสดาบันยังไม่ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงความเป็นพระอรหันต์

ขอเชิญคลิกอ่านกระทู้เก่าที่

ผู้ที่สำเร็จอรหันต์ในยุคปัจจุบันมีไหมครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 3 มี.ค. 2554

"...ถ้าไม่ตรงตามพระธรรมวินัย แม้การบรรลุเป็นพระโสดาบันยังไม่ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงความเป็นพระอรหันต์..."

ขออนุโมทนาครับ

เมื่อก่อนที่ได้ศึกษาพระธรรม ก็คิดเอาเองว่า มีพระอรหันต์ อยู่ในสมัยนี้ เมื่อได้ศึกษาธรรมแล้ว รู้ตัวเองว่า ไม่สนใจเลยเรื่องมีพระอรหันต์อยู่ในปัจจุบันหรือไม่? แค่พระโสดาบันยังยาก (ไม่ใช่ว่าไม่มี) มีหรือไม่ จะสำคัญอะไร เท่า มีผู้ที่ทำให้เราได้เข้าใจธรรมที่ทรงแสดงโดยถูกต้อง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 3 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"...ถ้าไม่ตรงตามพระธรรมวินัย แม้การบรรลุเป็นพระโสดาบันยังไม่ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงความเป็นพระอรหันต์..."

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ประเชิญ ด้วยเช่นกันครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pamali
วันที่ 4 มี.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Sensory
วันที่ 4 มี.ค. 2554

"ต้องอาศัยอรรถกถาขยายความครับ ถ้าไม่เชื่ออรรถกถาก็จบกัน"

อรรถกถา - คำพูดขยายเนื้อความ

ดิฉันเคยอ่านข้อความในอินเทอร์เน็ต (เฉพาะเว็บอื่นๆ) มีหลายท่านที่มักจะพูดปรามาสอรรถกถาเสมอๆ น่าเห็นใจจริงๆ ที่เป็นการกระทำอกุศลกรรมหนักมาก เพราะทำด้วยความไม่รู้ เป็นการให้อาหารแก่นิวรณ์อีกด้วย

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
daimond
วันที่ 5 มี.ค. 2554

นี่คือวิจิกิจฉานิวรณ์หรือไม่ ท่านน่าจะนึกถึงคำแปลบทสวดมนตร์ อิติปิโส นะจะได้ไม่คลางแคลงใจ และตั้งมั่นปฏิบัติดีปฏิบ้ติชอบ เพียรละอกุศลธรรมต่างๆ เนืองๆ น่าจะดีกว่าจะได้ก้าวข้ามความสงสัยได้ด้วยตนเอง ขอความเห็นที่ถูกต้องจงเกิดแก่ผู้ฝักใฝ่ธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
intira2501
วันที่ 6 มี.ค. 2554

เมื่อก่อนยังไม่ได้ฟังท่านอาจารย์สุจินต์ จะคิดเองและเชื่ออะไรง่ายมาก แต่ได้ฟังพระ-อภิธรรม และอ่านมากขึ้นจึงรู้ว่ามีหรือไม่มีพระอรหันต์ จะสำคัญอะไรเท่ามีผู้ที่ทำให้เราได้เข้าใจธรรมที่ ทรงแสดงโดยถูกต้อง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
กมลพร
วันที่ 6 มี.ค. 2554

สนับสนุนความคิดเห็นของคุณ Prachern.s และคุณ วันชัย 2504 ค่ะ คือ ปัจจุบันนี้มีพระ อรหันต์หรือไม่ ไม่สำคัญเท่า เราเข้าใจพระธรรมเพียงใด และ ใครทำให้เราเข้าใจพระธรรมอย่างถูกต้องตามพระพุทธพจน์/พระไตรปิฎก

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
prasopsuk
วันที่ 7 มี.ค. 2554

สาธุ สาธุ พุทธศาสนานี้เพื่อคนมีปัญญาเท่านั้นจริงๆ จงโยนิโสมนสิการกันมากๆ นะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ไรท์แจกแล้วไง
วันที่ 9 มี.ค. 2554

มีหรือไม่ก็ควรอบรมเจริญปัญญาต่อไปครับ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
เซจาน้อย
วันที่ 12 มี.ค. 2554

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
วิริยะ
วันที่ 8 มิ.ย. 2554
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่ 11 มิ.ย. 2554

กระทู้นี้ตั้งเมื่อ 3 มี.ค. 2554 มีญาติธรรมแสดงความคิดเห็นล่าสุดเมื่อ 8 มิย. 2554 คือความคิดเห็นที่ 19 ส่วนความคิดเห็นที่ 18, 17 และ 16 ไม่ปรากฏในรายการ ความคิดเห็นที่ 15 ปรากฏเมื่อ 12 มี.ค. 2554 น่าสังเกตว่า เดือน เม.ย. และ พ.ค.ก็ไม่ปรากฏว่ามีความคิดเห็น สรุปได้ว่า ไม่ว่ากระทู้จะตั้งมานานแค่ไหน ก็ยังมีผู้อ่านอยู่

ดังนั้น กระผมจึงขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็นดังนี้ครับ

๑. เรื่องยุคนี้ยังมีพระอรหันต์หรือไม่ หรือว่ายุคนี้ไม่มีพระอรหันต์แล้ว ถ้าค้นในพระไตรแล้วไม่พบ หรือไม่มี ก็ต้องบอกกล่าวกันไปตามตรงว่า เรื่องนี้ไม่มีในพระไตรปิฎก ท่านที่บูชาเฉพาะพระไตรปิฎก และไม่นับถืออรรถกถาใดๆ ทั้งสิ้น จะได้เลิกคาดคั้นเอากับพระไตรปิฎกเสียที

กระผมมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ท่านที่ไม่นับถืออรรถกถานั้น กระผมมีสิทธิ์ที่จะมองว่าท่านจะต้องมีสติปัญญาแหลมคมเลิศล้ำมากกว่าพระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายเป็นแน่ ก็เมื่อท่านมีสติปัญญาเลิศล้ำถึงปานนั้นแล้ว ท่านยังจะต้องสงสัยอยู่อีกหรือว่ายุคนี้มีพระอรหันต์หรือไม่มี

๒. เรื่องคำอธิบายของอรรถกถาที่ว่าการบรรลุมรรคผลจะเสื่อมถอยไปตามกาลเวลา ก็มักจะมีผู้หยิบยกเอาพระพุทธพจน์ที่ว่า "สุภัททะ ถ้าภิกษุทั้งหลายเป็นอยู่โดยชอบ โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์" (อ้างอิงจากข้อความของผู้ตั้งกระทู้) ขึ้นมาโต้แย้งเป็นทำนองจะให้เข้าใจว่าพระไตรปิฎกขัดแย้งกันเองบ้าง พระอรรถกถาจารย์อธิบายขัดแย้งกับพระไตรปิฎกบ้าง ประเด็นนี้กระผมเข้าใจว่า พระพุทธพจน์ที่อ้างนั้นมีนัยที่ละไว้ฐานเข้าใจอยู่ด้วย คือ

(๑) ต้องมีพระปริยัติธรรมคำสอนที่ถูกต้อง

(๒) ต้องมีการลงมือปฏิบัติตามพระปริยัติธรรมนั้น

(๓) การปฏิบัตินั้นจะต้องถูกต้องตรงตามที่ทรงแสดงไว้

(๔) การปฏิบัติที่ถูกต้องนั้นจะต้องดำเนินไปให้ถึงขนาด คือถึงระดับที่มรรคผลจะเกิดขึ้น (ไม่ใช่ปฏิบัตนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็เลิก)

เมื่อเข้าใจเงื่อนไขดังนี้แล้ว กระผมขอเชิญชวนให้ญาติธรรมทั้งหลายลองพิจารณาถึงสภาพความเป็นจริงในสังคมชาวพุทธไทยในระยะเวลาประมาณ ๕๐ ปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นแนวคิด กล่าวคือ เมื่อราว ๕๐ ปีก่อน กุลบุตรไทยนิยมบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนากันเป็นปรกติ ใครอายุครบบวชแล้วยังไม่ได้บวช ถือว่าผิดปรกติ เมื่อบวชแล้วก็อยู่กันนาน อย่างที่เรียกกันว่า "บวชเอาพรรษา" ที่บวช ๒ พรรษา ๓ พรรษา มีให้เห็นทั่วไป ออกพรรษาแล้วออกเดินธุดงค์ก็มีให้เห็นทั่วไป บวชแล้วท่องสวดมนต์ได้จบเล่ม (บางคนท่องจบตั้งแต่ก่อนบวช) เวลาสวดมนต์ก็สวดปากเปล่า ใครกางหนังสือสวดถือว่าน่าอับอาย ใครบวชแล้วท่องสวดมนต์ไม่จบ จะเป็นที่ตำหนิติเตียนมาก สึกออกไปแล้วยังถูกรังเกียจ เสียประวัติไปตลอดชีวิต ไม่ผิดอะไรกับคนเรียนไม่จบในสมัยนี้

แต่บัดนี้ สภาพดังที่กล่าวมานี้ แทบจะไม่เหลือให้เราเห็นอีกแล้ว ชายไทยสมัยนี้บวชแค่ ๑๕ วัน ก็ภูมิใจตัวเองหนักหนาแล้ว บวช ๕ วัน ๗ วัน เป็นเรื่องปรกติ ไม่ได้บวชเลยก็ไม่มีใครเห็นว่าผิดปรกติ บวชแล้วยังต้องกางหนังสือเวลาสวดมนต์ รวมทั้งคนที่พูดว่า ฉันสวดมนต์ทุกคืนนั้นด้วย ส่วนมากแล้วกางหนังสือสวดทั้งนั้น คนที่สวดมนต์ปากเปล่าได้คล่องแทบจะหาไม่ได้อีกแล้ว ที่ว่ามานี้เป็นเพียงเปลือกๆ ยังไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลด้วยซ้ำไป เพียงแค่ ๕๐ ปีผ่านไป ยังเสื่อมถอยถึงขนาดนี้ ลองคำนึงหรือคำนวณดูเอาก็แล้วกัน นับจากสมัยพุทธกาลมาจนบัดนี้ ไม่ใช่แค่ ๕๐ ปี แต่เป็น ๒,๕๐๐ ปี จะเสื่อมถอยขนาดไหน

คำสอนที่แท้จริงยังมีอยู่ก็จริง แต่ศรัทธาอุตสาหะของมนุษย์ที่จะปฏิบัติเพื่อให้บรรลุมรรคผลนั้นไม่มี หรือมีก็ไม่ถูกต้อง หรือถูกต้องก็ไม่ถึงขนาด นี่คือสภาพความเป็นจริง

กระผมขอเสนอแนวคิดนี้ไว้ให้ญาติธรรมช่วยกันคิด ท่านอาจจะคิดเป็นอย่างอื่นก็ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อที่เราจะได้ช่วยกันและกันให้คิดถูก และทำถูกครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
ลุงหมาน
วันที่ 20 มิ.ย. 2554

ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ทุกท่านครับ ตามเข้ามาอ่านหาความรู้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
พรรณี
วันที่ 21 มิ.ย. 2554

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

ลืมไปแล้วหรือว่า สิ่งใดที่เกิดมีขึ้น ตั้งอยู่และจะต้องดับไปในที่สุด แต่ขณะนี้เรายังมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งมีอยู่ในพระไตรปิฏก เพื่อให้ผู้ที่ใคร่จะศึกษาได้ศึกษาอบรมเพื่อความเห็นถูกและเข้าใจถูก และเมื่อสิ้นสุด ๒,๕๐๐ ปีหลังจากนี้ พระพุทธศาสนาก็จะถึงการอันตรธานไป จะไม่มีแม้แต่ใครที่รู้จักคำว่า พุทธ ธรรม สังฆ เลยแม้แต่คนเดียว ดิฉันได้ฟังจากคำบรรยายธรรมะจากพระไตรปิฏก ที่ท่านอาจารย์สุจินต์นำมากล่าวให้ฟังนะคะ เพราะมีความศรัทธาในปฏิปทาของท่านอาจารย์ในเรื่องการอบรมให้กับผู้ที่ใฝ่ในการฟังธรรมหลายสิบปีมาแล้ว แต่ดิฉันเพิ่งมาได้ยินได้ฟังเอาเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ในสมัยตอนเป็นเด็กเคยได้ยินผู้ใหญ่เขาพูดกันว่า ต่อไปข้างหน้าซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะอีกนานแค่ไหนนะคะ ว่า จะรู้ได้ว่าใครเป็นพระสงฆ์ก็ตรงผ้าเหลืองที่ห้อยอยู่ที่ติ่งหูเท่านั้น คงจะเป็นคำเปรียบเทียบถึงการค่อยๆ หายไปของพระพุทธศาสนา ก็เป็นได้ แต่ ณ วันนี้พระพุทธศาสนายังมีอยู่ แล้วเราทำอะไรกัน?

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
Thirachat.P
วันที่ 21 มิ.ย. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่ 21 มิ.ย. 2554

จะรู้ได้ว่าใครเป็นพระสงฆ์ก็ตรงผ้าเหลืองที่ห้อยอยู่ที่ติ่งหูเท่านั้น

กระผมได้ยินปู่ย่าตายายท่านพูดกันมานานนักหนา ปู่ย่าตายายเองท่านก็บอกว่า ท่านเองก็ได้ยินมาจากปู่ย่าตายายของท่านอีกทีหนึ่ง นานนักหนามาแล้วเหมือนกัน ก็แสดงว่าเป็นคติที่คนโบราณรู้กันมานานนักหนา

กระผมเคยได้ยินผู้รู้ท่านเล่าว่า พระสงฆ์ในนิกายมหายานบางนิกาย ในปัจจุบันนี้เองปรกติก็แต่งกายเหมือนชาวบ้าน มีครอบครัวเหมือนชาวบ้าน พอถึงเวลาจะทำพิธีจึงเอาเครื่องหมายความเป็นบรรพชิตมาสวม เสร็จพิธีก็ถอด กลับไปเป็นเหมือนชาวบ้านเหมือนเดิม

ถ้าไม่คอยช่วยกันรักษาพระธรรมวินัยไว้ให้มั่นและให้แม่น เช่นชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าพระสงฆ์ทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ พระสงฆ์เองก็ละเลยพระธรรมวินัย โดยอ้างว่าสังคมเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ กระผมเชื่อว่าไม่นานเกินรอ สภาพอย่างที่เกิดในนิกายมหายานดังที่กล่าว ก็คงจะมาเกิดในเถรวาทบ้านเราเข้าสักวัน

ณ วันนี้พระพุทธศาสนายังมีอยู่ แล้วเราทำอะไรกัน? เป็นคำถามเตือนสติที่ประเสริฐนัก ใครมีปัญญาก็ตอบตัวเองเอาเถอะครับ -

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 27  
 
thilda
วันที่ 17 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 28  
 
nopwong
วันที่ 10 ก.ย. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 29  
 
p.methanawingmai
วันที่ 21 เม.ย. 2560

อนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 30  
 
chatchai.k
วันที่ 4 ก.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ