ที่จะรู้ตัว ว่ามีมานะ มากน้อยแค่ไหน ขณะไหน (๑)

 
pirmsombat
วันที่  13 มี.ค. 2554
หมายเลข  18030
อ่าน  1,557

ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นในวันหนึ่งๆ ก็ควรจะพิจารณาว่ามีมานะมาก-น้อย

แค่ไหน และ ในขณะไหนบ้าง เพราะว่าถ้าไม่รู้ว่าขณะใดเป็นมานะ ก็ไม่ละมานะ

ในขณะนั้น ไม่เห็นโทษ ก็ไม่ละ ทีนี้ทำอย่างไรจึงจะเห็นได้ว่า ขณะนี้มากแล้ว

จึงได้ปรากฏเพราะว่า ปกติประจำวัน ถ้าไม่สังเกตนะคะ ก็ไม่สามารถจะรู้ได้

ข้อความในปรมัตถทีปนีอรรถกถา ขุททก อิติวุตตกะ อรรถกถา มานสูตร

ข้อ ๑๘๔ มีข้อความว่า

ที่จะรู้ตัว ว่ามีมานะ มากน้อยแค่ไหน ขณะไหน ก็คือ

มานะทั้งหมดมีการยกตน และ ข่มผู้อื่น เป็น นิมิตร

คือเป็นสภาพที่ปรากฏให้รู้ได้

เป็นเหตุให้ไม่ทำการกราบไหว้ ต้อนรับ

คือ อัญชลีกรรม และ สามีจิกรรม เป็นต้น

ในท่านผู้อยู่ในฐานะที่ควรเคารพ

เป็นเหตุให้ถึงความประมาท

โดยความมัวเมาในชาติเป็นต้น

ซึ่งสภาพธรรมที่ตรงข้ามกับมานะ

ก็คือในขณะที่ จิตอ่อนน้อมในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย

ความรู้สึกในขณะนั้นดุจคนจัณฑาล เข้าไปสู่ราชสภา

เคยเป็นคนสำคัญมาก เวลาที่มานะเกิด ขณะใด ที่มานะไม่เกิดและมีความ

อ่อนน้อมแทนมานะ ความรู้สึกในขณะนั้น ดุจคนจัณฑาล เข้าไปสู่ราชสภา

ท่านผู้ฟัง การมีมานะ บางทีเราทราบจากคนอื่นได้ไหม เรามีมานะ คนอื่นเขามี

ปฏิกิริยาตอบโต้เรามา อย่างนั้น จะถึอว่าเป๋นผลของวิบากกรรม ที่เราได้ทำมาได้

ไหมครับ

ท่านอาจารย์ วิบากหมายความถึงสภาพธรรมที่รู้สี่งที่ปรากฏ ทางตา...ทางกาย

เห็น ได้ยิน...รู้สี่งที่กระทบสัมผัส ที่ไม่น่าพอใจ ขณะใด ขณะนั้นก็เป็นอกุศลวิบาก

ถ้าเป็นสี่งที่น่าพอใจ ขณะนั้นก็เป็นกุศลวิบาก

เพราะฉะนั้นก็พอที่จะรู้จักตัวเองได้ ขณะใด ซึ่ง ไม่มีการกราบไหว้ ไม่มีการ

ต้อนรับ ผู้ที่อยู่ในฐานะที่ควรแก่การที่จะต้อนรับ หรือ กราบไหว้ ในขณะนั้นก็รู้ได้

ว่า สภาพจิตในขณะนั้นรู้สึกตัวขึ้นมาทันที ก็พอที่จะรู้ถึง ความกระด้างของจิตใน

ขณะนั้นถ้าเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ก็จะรู้ได้เลยค่ะ ว่าขณะนั้นเป็นแต่เพียงสภาพ

ธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วชื่อว่า "มานะ" เป็นสี่งที่ดี หรือ ไม่ดีคะ ต้องเห็นว่า

เป็นโทษจริงๆ สำหรับความสำคัญตนและความทนงตน ซี่งเป็นลักษณะของมานะ ซึ่งทำให้มี

อาการเย่อหยิ่ง ก็จะเป็นเหตุให้มีการกระทำทางกาย ทางวาจาต่างๆ ซึ่งเป็นไปด้วย

โลภะ บ้าง มานะ บ้าง เช่นข้อความในอรรถกถา ขุททก กิติวุตตกะ มักขสูตร

แสดงลักษณะของ มานะ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการกระทำต่างๆ ทางวาจา ซึ่งในขณะที่

วาจาต่างๆ นั้นเกิดขึ้น เป็นขณะที่จิตเป็นไปด้วยโทสะ แต่เป็นเพราะมานะเป็นมูล เช่น

การลบหลู่คุณท่าน

(ยังมีต่อ



  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chaiyut
วันที่ 14 มี.ค. 2554

"........ถ้าเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ก็จะรู้ได้เลยค่ะ

ว่าขณะนั้นเป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว

ชื่อว่า "มานะ" เป็นสี่งที่ดี หรือ ไม่ดีคะ?

ต้องเห็นว่าเป็นโทษจริงๆ ......."

ธรรมวันนี้ ถ้าอ่านหลายๆ รอบ ก็จะเห็นว่า

เป็นธรรมที่น้อมใจให้ประพฤติปฏิบัติตามดีมากโปรดนำมาเตือนกันบ่อยๆ นะครับ

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prakaimuk.k
วันที่ 15 มี.ค. 2554

มานะ เห็นได้ยาก .....ต้องเห็นว่าเป็นโทษจริงๆ .....

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
orawan.c
วันที่ 15 มี.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 15 มี.ค. 2554

ลักษณะของมานะไม่ใช่ลักษณะอาการที่อ่อนโยนสนิทสนม เป็นไมตรีกับผู้อื่น ขณะใดมีมานะ ขณะนั้นไม่ใช่เมตตา...ผู้มีมานะจึงไม่เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์และมานะเป็นมูลให้เกิดมักขะ (ผู้ลบหลู่คุณท่าน) ตามข้อความที่ปรากฏใน....มักขสูตร.มกฺโข (ผู้ลบหลู่คุณท่าน) เพราะทำลายกำจัดสักการะอัน ใหญ่ ซึ่งเป็นที่ปรากฏแก่คนเหล่าอื่น. พึงเห็นว่าคนลบหลู่นั้น มีการลบล้างคุณผู้อื่นเป็นลักษณะมีการทำให้คนทั้งหลายพินาศเป็นกิจรส มีการปกปิดคุณของเขาเป็นอาการปรากฏ.....บทว่า มกฺขิตาเส ได้แก่ เป็นผู้ลบล้างคุณของผู้อื่น คือ ป้ายร้ายความดีของผู้อื่น. อธิบายว่า เป็นผู้ขจัดคุณแม้ของตน จากการที่ลบล้างคุณของผู้อื่นนั้นด้วย.โทษของมานะคือตายไป ไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ที่ ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนเกิดในสกุลต่ำ. เชิญคลิกอ่าน... โทษของมานะ [มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์] ละมักขะได้เป็นพระอนาคามี [มักขสูตร]

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 15 มี.ค. 2554

ขณะใดที่มานะไม่เกิด และมีความอ่อนน้อมแทนมานะ ความรู้สึกในขณะนั้น

ดุจคนจัณฑาล เข้าไปสู่ราชสภา

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
พรรณี
วันที่ 16 มี.ค. 2554

ไม่เคยมีใครสอนธรรมะ ในลักษณะนี้มาก่อนเลย การได้มาฟังธรรมะจากท่านอาจารย์สุจินต์นับว่าได้ลดละความเป็นตัวตน และยังได้รู้จักตัวมานะดีขึ้น ขอกราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pamali
วันที่ 18 มี.ค. 2554

ขออนุโมทนาเช่นกันค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pirmsombat
วันที่ 20 มี.ค. 2554

ขอบคุณและอนุโมทนาทุกท่านครับ

เชิญอ่าน

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 256[๕๙๒] ดูก่อนมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็น สตรีก็ตาม บุรุษ

ก็ตาม เป็นคนกระด้าง เย่อหยิ่ง ย่อมไม่กราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ไม่

ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ไม่ให้อาสนะแก่คนที่สมควรแก่อาสนะ ไม่ให้ทางแก่คน

ที่สมควรแก่ทาง ไม่สักการะคนที่ควรสักการะ ไม่เคารพคนที่ควรเคารพ ไม่

นับถือคนที่ควรนับถือ ไม่บูชาคนที่ควรบูชา. เขาตายไป จะเข้าถึงอบาย

ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้

หากตายไป ไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด

ที่ ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนเกิดในสกุลต่ำ. ดูก่อนมาณพ ปฏิปทาเป็นไป

เพื่อเกิดในสกุลต่ำนี้ คือ เป็นคนกระด้าง เย่อหยิ่ง ย่อมไม่กราบไหว้คนที่

ควรกราบไหว้ ไม่ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ไม่ให้อาสนะแก่คนที่สมควรแก่อาสนะ

ไม่ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่ทาง ไม่สักการะคนที่ควรสักการะ ไม่เคารพคนที่

ควรเคารพ ไม่นับถือคนที่ควรนับถือ ไม่บูชาคนที่ควรบูชา.

[๕๙๓] ดูก่อนมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษ

ก็ตาม เป็นคนไม่กระด้าง ไม่เย่อหยิ่ง ย่อมกราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้

ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ให้อาสนะแก่คนที่สมควรแก่อาสนะ ให้ทางแก่คนที่

สมควรแก่ทาง สักการะคนที่ควรสักการะ เคารพคนที่ควรเคารพ นับถือคน

ที่ควรนับถือ บูชาคนที่ควรบูชา. เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะ

กรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป. ไม่เข้าถึง

สุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็น

คนเกิดในสกุลสูง. ดูก่อนมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีสกุลสูงนี้ คือ

เป็นคนไม่กระด้าง ไม่เย่อหยิ่ง ย่อมกราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ให้อาสนะแก่คนที่สมควรแก่อาสนะ ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่ทาง

สักการะคนที่ควรสักการะ เคารพคนที่ควรเคารพ นับถือคนที่ควรนับถือ

บูชาคนที่ควรบูชา.

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 12 เม.ย. 2554
ขอขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ