ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณโป๊ด ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับเชิญให้ไปสนทนาธรรม ที่บ้านคุณโป๊ด (คุณพุทธ ธนาวสุพัชร) "โป๊ดแฮร์ครีเอชั่น" (PODE HAIR CREATION) ซอยสุขุมวิท ๑๐๗
เมื่อเดินทางไปถึง ก็ได้เห็นสถานที่ๆ ร่มรื่นกว้างขวาง มีดอกไม้สวยงามสพรั่งทั่วบริเวณ มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย คอยอำนวยความสะดวกตั้งแต่ประตูทางเข้า ภายในมีบริเวณที่จอดรถกว้างขวาง มีต้นไม้ดอกไม้ร่มครึ้ม มีสระน้ำและน้ำพุ เป็นบ้านกลางกรุงที่แสนสดชื่น รื่นรมย์ มากๆ ครับ
บริเวณข้างบ้านจัดเป็นที่รับประทานอาหาร บนโต๊ะประดับด้วยแจกันดอกไม้เก๋ไก๋ แสดงให้เห็นถึงความละมียดละไม ความใส่ใจ และความวิจิตรของท่านเจ้าบ้านอย่างยิ่ง
แม่ครัวและญาติสนิทของคุณโป๊ดนับสิบคน กำลังจัดเตรียมอาหารด้วยความตั้งใจ มีอาหารหลายชนิดที่จัดเตรียมไว้อย่างมากมายจริงๆ ครับ
ได้ทราบว่า คุณโป๊ดไม่เพียงมีฝีมือทางช่างทำผมที่มีชื่อเสียงเท่านั้น ท่านยังเป็นผู้จัดแต่งดอกไม้ทั่วบริเวณด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีฝีมือทำอาหารอร่อย ถึงกับลงมือทำขนมจีนน้ำพริก แกงเขียวหวานเนื้อ และอื่นๆ ด้วยตนเองอีกด้วยครับ เรื่องความมีศิลปทางการทำอาหารของท่านเจ้าบ้านที่เชิญท่านอาจารย์ไปสนทนานี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคุณหมอทวีป อีกท่านหนึ่งในกุศลเจตนาของท่านเรื่องทำอาหารเลี้ยงทุกๆ ท่านที่ไปฟังธรรม อย่างวิจิตรบรรจง พิถีพิถัน แสดงให้เห็นถึงความสะสมอันวิจิตร ที่ท่านทั้งเป็นผู้ให้ และ เป็นผู้ได้รับความวิจิตรโอฬาร ที่เห็นได้ในปัจจุบันนี้เอง
ข้าพเจ้าขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของคุณโป๊ดและทุกๆ ท่านที่บ้านคุณโป๊ดในวันนั้นด้วยครับ ข้าพเจ้าเห็นความตั้งใจต้อนรับของท่าน เห็นความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องบริการ ให้ความสะดวกผู้คนมากมาย แต่ก็เห็นสีหน้าของความปีติในกุศลของท่าน "เป็นการเจริญกุศลครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต"ที่คุณคำปั่นกล่าวไว้ก่อนการสนทนาวันนั้นจริงๆ ขออนุโมทนาอีกครั้งครับ
...
บุคคลผู้ยังใจให้เลื่อมใสให้ทานด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลายที่ได้มาโดยชอบธรรมย่อมเป็นผู้ยึดถือชัยชนะไว้ได้ในโลกทั้งสองของผู้มีศรัทธาอยู่ครองเรือน คือเพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบันและเพื่อความสุขในสัมปรายภพการบริจาคของคฤหัสถ์ดังกล่าวมานั้น ย่อมเจริญบุญ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 667 อิณสูตร
การสนทนาธรรมในวันนั้น นอกจากจะมีสหายธรรมมากมายจากมูลนิธิฯแล้ว ยังมีเพื่อนๆ ญาติ และลูกค้าคนสำคัญๆ ของคุณโป๊ด มาร่วมฟังการสนทนาด้วยครับ อนึ่ง ข้าพเจ้าใคร่ขอปรารภกับทุกท่านว่า กระทู้สนทนาธรรมที่ข้าพเจ้าได้จัดทำขึ้นนี้ ข้าพเจ้ามีเจตนาเพื่อบันทึกการเผยแพร่พระธรรมและการเจริญกุศลของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงกุศลศรัทธาของท่านผู้เชิญ ท่านผู้เป็นเจ้าภาพ ท่านเจ้าบ้าน รวมถึงสหายธรรมทุกท่านที่เข้าร่วมฟังการสนทนา และ ภาพบรรยากาศต่างๆ เพื่อให้ท่านที่ไม่มีโอกาสได้ไปร่วมฟังการสนทนา ได้รับประโยชน์ด้วยตามควร
ทั้งนี้ ประโยชน์สูงสุด คือ ความเข้าใจพระธรรมที่ท่านอาจารย์บรรยายและสนทนา ภาพและข้อความที่มีการสนทนาอาจดูมากหรือยาวไปบ้าง แต่ก็ด้วยต้องการให้ทุกท่านได้รับประโยชน์จริงๆ ตามที่เห็นว่าเหมาะสมในแต่ละกาล โดยเหตุผลข้างต้นนะครับ
การสนทนาช่วงที่ข้าพเจ้านำมาลงวันนี้ เป็นเรื่องของจิต ที่ท่านอาจารย์สนทนาไว้อย่างชนิดที่ว่า ต้องค่อยๆ อ่าน และ พิจารณาจริงๆ ครับ เป็นความละเอียด ลึกซึ้ง ที่น่าติดตามอย่างยิ่งครับ
คุณคำปั่น วันนี้ก็เป็นโอกาสดีอีกวันหนึ่งนะครับ ที่ได้มีโอกาสมาสนทนาธรรมะ สอบถามปัญหาธรรมะ จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ณ สถานที่แห่งนี้ คือ โป๊ด แฮร์ ครีเอชั่น ซึ่งผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านก็คือ คุณพุทธ ธนาวสุพัชร หรือพี่โป๊ด นะครับ
วันนี้ก็ได้เจริญกุศลครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ด้วยการจัดให้มีการสนทนาธรรมะ เพื่อความรู้ ความเข้าใจธรรมะ ของผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ได้สนทนานะครับ ในช่วงแรกนี้ ก็ขอเชิญท่านผู้เป็นเจ้าของบ้าน คือพี่โป๊ด ครับ
คุณโป๊ด อยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์นะครับว่า สิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็น ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็สิ่งที่ท่านอาจารย์บอกว่า แต่ละอย่างก็เป็นหนึ่ง การเป็นหนึ่ง อันนั้น ความหมายของการเป็นหนึ่ง หมายความว่าอย่างไรครับ?
ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นหนึ่งค่ะ คือว่าไม่ปรากฏทางอื่นเลย เหมือนเสียงนะคะ ก็เป็นหนึ่ง คือ ปรากฏว่ามี เมื่อจิตได้ยิน เกิดขึ้น ปรากฏได้ทางหู ก็เป็นหนึ่ง "กลิ่น" ก็เป็นหนึ่ง "รส" ก็เป็นหนึ่ง เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ซึ่งกำลังปรากฏในขณะนี้ ก็เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งจะ ปรากฏพร้อมกัน ไม่ได้เลย ทุกอย่างที่ปรากฏในขณะนี้ ตามความเป็นจริง ต้องปรากฏ ทีละหนึ่ง เช่น ถ้าคนตาบอด ขณะนี้ "สิ่งที่ปรากฏทางตา" หนึ่งนั้น ไม่มี ถ้าคนที่หูหนวก "เสียง" ไม่ปรากฏเลย
เพราะฉะนั้น หนึ่งนั้น ก็ไม่มี แต่ก็แล้วแต่ว่า จะมี "กลิ่น" มากระทบ หรือว่า "รส" กระทบ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วนี่นะคะ ที่เรากล่าวว่า " ชีวิต ก็คือ การเกิดขึ้นของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ ทีละหนึ่ง " อย่างเร็วมาก โดยความไม่รู้ ก็คิดว่าเป็นเราทั้งหมด ...
... ซึ่งการกล่าวถึงความจริงอันนี้ ก็เป็นการแสดงถึงพระปัญญาคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่า ใครจะรู้ล่ะคะ? สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา (ขณะนี้) เหมือนไม่ได้ดับไปเลย ...
... เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตา ขณะนี้ เป็นจริง ตามที่ได้ทรงตรัสรู้ และ ทรงพระมหากรุณาแสดงให้คนอื่น ได้ยินได้ฟัง ได้เริ่มรู้ความจริง เพราะความจริงก็คือว่า เมื่อเกิดแล้วต้องตาย แต่ว่าก่อนตายได้มีการเห็นการได้ยิน แล้วก็ หมดไป หมดไป ไม่ย้อนกลับมาอีกเลย ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วดับและจะกลับมาอีกได้
เพราะฉะนั้น ก็เป็นอีกความหมายหนึ่ง ของแต่ละหนึ่ง จริงๆ ภาษาบาลีใช้คำว่า "ขันธะ" หรือจะออกเสียงตามภาษาบาลี คุณคำปั่นช่วยออกเสียงตามภาษาบาลีหน่อยค่ะ
คุณคำปั่น ครับท่านอาจารย์ครับ คือ เนื่องจากว่าคนไทย เวลาพูดบาลี ก็เป็นบาลีไทย ก็ออกเสียงตามอักขระคือ ออกเสียงว่า "ขันธะ" ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น (ขันธะ) ความหมายก็คือว่า ว่างเปล่า เพราะอะไร? สิ่งที่กำลังปรากฏ เหมือนมีอยู่ตลอดเวลา ทันทีที่เกิด ปรากฏ แล้วดับไป เร็วมาก ก็ว่างเปล่า คือ ไม่ได้กลับมาอีกเลย เหมือนในความว่างเปล่า ก็มีสิ่งหนึ่ง เกิด แล้วก็ ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีก อยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะถึง ขณะสุดท้ายของชาตินี้ เราก็ได้เข้าใจความจริงว่า ทั้งที่จริงคือตั้งแต่เกิดมา ก็ว่างเปล่าไปทุกๆ ขณะ
จนกว่าจะถึงขณะสุดท้ายของชาตินี้ ซึ่งว่างเปล่าจากการที่เคยเป็นคนนี้ เคยเห็น เคยสุข เคยทุกข์ เคยจำทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ระหว่างนี้ ก็เป็นขณิกมรณะ ตายทุกขณะที่เกิด (เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ฯลฯ ) แล้วตาย เพราะว่าไม่ได้กลับมาอีก จนกว่าจะถึง สมมติมรณะ คือสมมติว่าตายจากชาติหนึ่ง จากชาตินี้ แต่ก็มีการเกิดไม่สิ้นสุด ต่อไปอีก จนกว่าจะถึง สมุทเฉทมรณะ คือการตายของคนที่ไม่มีกิเลส เมื่อตายแล้วก็ไม่มีการที่จะเกิดอีกเลย
เพราะฉะนั้น ก็เป็นแต่ละหนึ่ง จริงๆ
คุณโป๊ด อยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ เกี่ยวกับเรื่องว่า ทุกวันนี้ เราอยากที่จะให้คนทุกคนได้ดี เราพยายามที่จะไปมองในส่วนที่เขาทำแล้วไม่ถูกใจเรา หรือที่เรียกว่า เราเพ่งอกุศลคนอื่น แล้วทำให้เราเป็นอกุศลของตัวเราเอง เราจะห้ามอันนั้นได้อย่างไรครับ?
ท่านอาจารย์ เรียนสำหรับห้ามหรือเปล่าคะ? บังคับบัญชาไม่ได้ ก็ลืมเสียอีกแล้ว จะไปห้ามเขา เหมือนกับจะไปบังคับให้เขา เป็นอย่างที่เราต้องการ หรือพยายามที่จะให้เป็นอย่างนั้น แต่ให้ทราบจริงๆ ว่า "ธรรมะเป็นอนัตตา" ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ของใครเลยทั้งสิ้น ข้อสำคัญที่สุด คุณโป๊ดนึกถึง "คนอื่น" ใช่ไหม?
แต่ลืมว่า ... ทุกคน ... คือ ... จิตหนึ่งขณะ ... เท่านั้นเอง ... ที่เกิดขึ้น ... จะมีจิต สองขณะพร้อมกัน ไม่ได้เลย
... เพราะฉะนั้น "จิตหนึ่งขณะ" ที่เกิดขึ้น คือ ... โลก ... แต่ละ ... โลก ... คนละโลก ... รวมกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เวลาที่ ... ต่างคน ... ต่างเกิด ... ใช่ไหม? แน่นอนที่สุด คือ จิตขณะแรกในโลกนี้ ... เพียงหนึ่ง ... แล้วจะมีใคร? อยู่ที่นั่น? ... ใช่ไหม? มีแต่ จิต และ เจตสิก ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่จิตขณะแรก ที่เกิดขึ้น ... แล้วดับ ... สืบต่อ ... จนกระทั่งมีการเห็น สิ่งหนึ่งสิ่งใด เห็นแล้ว ... ไม่คิดได้ไหม? ... มีรูปร่างสัณฐานให้จำได้ ให้นึกถึง ... แม้ไม่เอ่ยเป็นคำ ก็ยังสามารถที่จะรู้ว่า ... สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ที่หลากหลาย ... เป็นอะไร? ...
เพราะฉะนั้น ก็มีความคิดว่า ... นั่น ... เป็น ... คนอื่น ... ใช่ไหม?
... เพราะเห็น หรือ เพราะได้ยิน หรือเพราะฟังเรื่องราวของคนนั้น ... แต่ความจริงคือ ... โลก ... หนึ่งโลก ... ซึ่ง ... "เห็น" ... แล้ว ... "คิด" ... แล้วก็ ... "จำ" ... เรื่องราวต่างๆ ... จนกระทั่ง ในความคิด ในความจำ ... มีหลายคนในโลก ... ... แต่ถ้าไม่มีโลกหนึ่ง ซึ่งเป็นโลก "คิด" อะไรๆ ก็มีไม่ได้ ... ที่จะเป็นคน เป็นสัตว์ หลากหลาย ก็เป็นแต่เพียง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น
... เพราะฉะนั้น ถ้ารู้ความจริง แล้วก็ เราอยากให้คนอื่นเป็นอย่างนั้น นั่นเป็นเราคิดใช่ไหม? เป็นจิตขณะที่คิด แล้วก็จะสำเร็จไหม? ... ถ้าไม่สำเร็จ ... คิดทำไม? ... น่าเสียดายเวลาที่คิด เพราะเหตุว่า คิดแล้วก็ไม่ได้ทำให้เป็นอย่างที่คิดได้ ...
เพราะฉะนั้น ควรที่จะ สะสมความเห็นถูก สำหรับโลกนี้ ใบนี้ ไม่มีใครเลย มีแต่เพียง จิตหนึ่งขณะ ที่เกิด-ดับ สืบต่อ แล้วก็เป็นโลก ที่เต็มไปด้วย "ความคิด"
"จิต" มีแน่ๆ ใช่ไม๊คะ? ... สว่างหรือมืด ... สภาพของจิตเนี่ยค่ะ สว่างหรือมืด? ... ที่ใช้คำว่า สว่าง มีสองความหมาย สว่างที่เป็นรูปธรรม ขณะนี้เมื่อกระทบตา จิตก็เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่สว่าง ถ้าในห้องมืด "เห็น" สว่างไหม? "เห็น" มืด แต่ก็ยังเห็น ว่ามืด ... แล้วความมืดนั้น ก็อาจจะจางลงไป จนเป็นความสลัว พอที่จะมองเห็น ว่าเป็นอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้น นี่ก็เป็น "โลกหนึ่ง" "ทางตา"
"ทางตา" จะต้องเป็นโลกนี้โลกเดียว (โลกที่สว่าง) จะเป็นโลกอื่นไปไม่ได้เลย
ถ้ามีความเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ จิตเองเนี่ย สว่างหรือเปล่า? ไม่ใช่สิ่งที่จิตกำลังเห็น ตัวจิต ซึ่งเป็นธาตุรู้ สว่างไหม? (ตอบว่า มืดสนิทครับ) แต่ว่า ในอีกความหมายหนึ่ง ที่ใช้คำว่าสว่าง หมายถึงความเห็นเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เห็น แสงสว่าง แต่เห็น "ความจริง" ในความมืด ก็สามารถที่จะเห็นความจริงได้
เพราะฉะนั้น สภาพที่สามารถที่จะเห็นความจริงนั้น เราก็ใช้คำว่าสว่าง หรือในบางแห่ง ก็จะใช้คำว่า แสงสว่าง มีจักษุ มีตา ที่เห็นแสงสว่าง ที่ไม่ใช่เป็นรูปธรรม แต่ว่า ความสว่างที่ แม้ในที่มืดสนิท ก็ยังสามารถที่จะเห็นความจริง ของสิ่งที่ปรากฏได้
เพราะฉะนั้น ความสว่างที่เป็นรูปธรรม ก็ต้องอาศัย จักขุปสาท แต่สว่างที่เป็นปัญญา สามารถที่จะรู้ความจริง แม้ในความมืดสนิทได้ ซึ่งก็ต้องเป็น ลักษณะของ "ปัญญา" เท่านั้น ที่สามารถที่จะเป็นอย่างนั้นได้
เพราะฉะนั้น สว่างนี่ ก็ต้องเริ่มตั้งแต่ "ความเข้าใจ" เดี๋ยวนี้ ที่จะรู้ให้ถูกต้องว่า ตัวจิต ซึ่งเป็นธาตุรู้ ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น จิต ไม่หอม จิต ไม่หวาน ไม่เค็ม ไม่มีกลิ่นใดๆ แต่ว่าเป็นธาตุ ซึ่งไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น
จะมีขอบเขต หรือมีปริมาณไหม? อย่างดอกกุหลาบ ก็ยังมีปริมาณ ขอบเขตว่าอยู่ตรงนี้ แค่นี้ อันนั้นก็เป็นใบแล้ว ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น สภาพซึ่งเป็นนามธาตุ หรือนามธรรมล้วนๆ ซึ่งไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น จะมีขอบเขตไหม? สำหรับธาตุรู้ ซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธาน ในการรู้แจ้ง (อารมณ์) ซึ่งขณะนั้น ไม่มีรูปใดๆ เลย ที่จะมาวัด ความกว้างใหญ่ หรือความลึกซึ้ง อะไรเลยทั้งสิ้น เพราะเหตุว่า ไม่มีรูป เป็นแต่เพียง นามธาตุเท่านั้น เป็นธาตุรู้ ในขณะนั้น ในความมืด หรือ ในความสว่าง ที่ "รู้" เป็น "จิต"
ถ้าคุณโป๊ดจะไปหาจิต จะไปหาที่ไหนดี? เอาไฟฉายไปส่อง หรือ ในที่มืด ยังไงก็ไม่ใช่จิต ใช่ไหม? แต่ต้องเป็นความเข้าใจถูกต้อง ว่าในขณะนี้ มีธรรมะ หรือสิ่งที่มีจริง ที่กำลังรู้ สิ่งหนึ่ง สิ่งใด เช่นกำลังเห็น รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น "เสียง" ธาตุรู้ ก็สามารถที่จะ "รู้เสียง" ที่ปรากฏ ว่า "ไม่ใช่เสียงอื่น แต่เป็นเสียงนี้"
เพราะฉะนั้น ถ้ากล่าวถึงธรรมะ ธรรมะทั้งหมด มีธรรมะเดียว อย่างเดียว ที่ปรากฏให้เห็นได้คือ "สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา" นอกจากนั้น "อยู่ในความมืด" หมด ตอนนี้ รู้สึกยังไงคะ? ตามความเป็นจริง อยู่ในความมืดแน่ๆ ถูกต้องไหม? ถ้าไม่มีการเห็น ถูกไหม? แต่การเห็น ทำให้ "ลวง" คิดว่า ... อยู่ตลอดเวลา ... ใน ... ความสว่าง ...
แต่ถ้าเป็นธรรมะที่ปรากฏจริงๆ "ความสว่าง" ชั่วขณะจิต เกิดขึ้น "เห็น" ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นเห็น จะสว่างไม่ได้เลย อยู่ในความมืด ทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ใน "ขณะใด" ที่กำลัง "เริ่มเข้าใจ" อย่างนี้ ก็เป็นเหมือน "แสงสว่าง" ที่สามารถที่จะทำให้ เห็นสิ่งซึ่งอยู่ในความมืด ตามความเป็นจริงได้ คิดถึงอีกโลกหนึ่งนี่ จะน่ากลัวไหม? ... มืด ... สนิท ... "เสียง" ปรากฏ ในความมืดได้ แล้วก็หมด แล้วก็ มืดต่อไป "กลิ่น" ปรากฏ ในความมืดได้ แล้วกลิ่นก็หมดไป ทุกอย่างก็ยังอยู่ในความมืด แม้แต่ "รส" ก็อยู่ในความมืด ปรากฏเป็นรสนั้น รสนี้ แล้วก็หมดไป แล้วก็กลับมืดอีก เพราะว่าจิต เป็นสภาพซึ่งไม่มีรูปร่างเลย
เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่ ตามความเป็นจริง ก็จะอยู่ในความมืด เว้น ขณะเห็น
"ธรรมะ" สำหรับไตร่ตรอง เข้าใจ สิ่งที่มีจริงๆ จนกระทั่งรู้ว่า ยังไม่เคยเข้าใจความจริง อย่างนั้นเลย เพราะไม่ได้ปรากฏอย่างนั้น แต่ "ปรากฏ" เหมือนกับสืบต่อกัน จนกระทั่ง ไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้ว อยู่ในความมืด แล้วในความมืด ก็จะมีจุดอยู่ ๕ จุด ถ้าจะอุปมา คือ "จุด" ที่สามารถกระทบแล้ว "เห็น" นิดหนึ่ง แล้วก็ ดับ อีกจุดหนึ่ง สามารถกระทบเสียง "ได้ยิน" นิดหนึ่ง แล้วก็ ดับ อีกจุดหนึ่ง ก็ "ได้กลิ่น" นิดหนึ่ง แล้วก็ ดับ อีกจุดหนึ่ง ก็ "รู้รส" ปรากฏนิดหนึ่ง แล้วก็ ดับ อีกจุดหนึ่ง ก็มี "เย็น" หรือ "ร้อน" ปรากฏนิดหนึ่ง แล้วก็ ดับ แล้วทุกอย่าง ก็ต้องอยู่ในความมืดหมด นอกจากสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ ก็เท่ากับเปิดโลก อีกโลกหนึ่ง ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ไม่เหมือนโลก ซึ่งเกิด-ดับ สืบต่อ จนไม่ปรากฏว่า ขณะนี้ อยู่ในความมืด เพราะเหตุว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา มาก แล้วก็ปรากฏบ่อย เช่น ถึงไม่ได้ยินเลย ก็ยังเห็นได้ เพราะฉะนั้น ก็แสดงว่า โลกทางตา มาก ปรากฏ จนกระทั่งปิดบังความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว โลกอื่นนั้น ... มืดสนิท ...
เว้นโลกเดียว คือ สิ่งที่ปรากฏ ทางตา
... ..
ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารี.
ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ประพฤติดีแล้วผู้ประพฤติธรรม ย่อมไม่ไปทุคติ ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 341
กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณโป๊ด (คุณพุทธ ธนาวสุพัชร)
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอเชิญคลิกชมกระทู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณโป๊ด ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณโป๊ด ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๘
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขต์ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณโป๊ด (คุณพุทธ ธนาวสุพัชร)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
กราบอนุโมทนาในธรรมทานโดยท่านอาจารย์
ขออนุโมทนาในกุศลกรรมทุกประการของคุณโป๊ด
ขออนุโมทนาในความเอื้อเฟื้อภาพถ่ายและข้อความธรรมะโดยคุณวันชัย
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่าน ข้อความสนทนาธรรมะดีมากๆ ค่ะ....
ขออนุโมทนา...............คุณพุทธ ธนาวสุพัชร (คุณโป๊ด) และในกุศลวิริยะของคุณวันชัย๒๕๐๔ที่ได้นำธรรมะจากการสนทนาในที่ต่างๆ มาฝากพร้อมรูปที่เป็นอิฏฐารมณ์..เป็นของฝากที่มีค่ายิ่งคะ..
กราบอนุโมทนากุศลเมตตาของท่านอาจารย์สุจินต์ในการแสดงธรรมครั้งนี้ พร้อมทั้งอาจารย์คำปั่นด้วยครับ ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณวันชัย คุณโป๊ด และทุกท่านในกุศลกิจกรรมครั้งนี้ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การสนทนาธรรมตามกาลเป็นอุดมมงคล
เป็นขณะที่เป็นไปได้ยากยิ่ง...
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณโป๊ด (คุณพุทธ ธนาวสุพัชร)
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะและกุศลจิตของคุณวันชัย
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
...ในยุคนี้สมัย ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม มีเยอะมาก การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความรู้ความเข้าใจไปตามลำดับ จึงเป็นขณะที่หาได้ยากจริงๆ ถ้าเทียบกับการหา หรือ การได้ในสิ่งอื่นๆ ...
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของพี่โป๊ด (คุณพุทธ ธนาวสุพัชร)
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัยและทุกๆ ท่าน ครับ
ท่านอาจารย์ เรียนสำหรับห้ามหรือเปล่าคะ? บังคับบัญชาไม่ได้ ก็ลืมเสียอีกแล้ว
จะไปห้ามเขา เหมือนกับจะไปบังคับให้เขา เป็นอย่างที่เราต้องการ
หรือพยายามที่จะให้เป็นอย่างนั้นนะคะ แต่ให้ทราบจริงๆ ค่ะว่า "ธรรมะเป็นอนัตตา"
ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ของใครเลยทั้งสิ้น ข้อสำคัญที่สุดนะคะ
.............................................
แต่การเห็นเนี่ย ทำให้ "ลวง" คิดว่า......อยู่ตลอดเวลา.....ใน...ความสว่าง.....
...........................................
ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของกระทู้
กราบอนุโมทนา ในสภาพธรรมอันดีงามทั้งปวงค่ะ
...................................
ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
ขอกราบขอบพระคุณในพระธรรมคำสอนของท่านอาจารย์คะ และ ขอร่วมอนุโมทนาในกุศลทุกประการของคุณพี่ โป๊ด และพี่สหายธรรม ทุกท่านคะ สาธุ
...เพราะฉะนั้น สว่างนี่ ก็ต้องเริ่มตั้งแต่ "ความเข้าใจ" เดี๋ยวนี้ นะคะ... ขณะนี้ อยู่ในความมืด เพราะเหตุว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเนี่ย มาก แล้วก็ปรากฏบ่อย เช่น ถึงไม่ได้ยินเลยนะคะ ก็ยังเห็นได้ เพราะฉะนั้น ก็แสดงว่า โลกทางตาเนี่ย มาก ปรากฏ จนกระทั่งปิดบังความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว โลกอื่นนั้น....มืดสนิท..... เว้นโลกเดียว คือ สิ่งที่ปรากฏ ทางตา... ขอกราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณโป๊ด (คุณพุทธ ธนาวสุพัชร) และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัยและทุกๆ ท่านคะ
ขอนอบน้อมพระผู้พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์..คุณพุทธ ธนาวสุพัชร และทุกๆ ท่านค่ะ
การได้เห็น ได้อ่าน ได้พิจารณา ไตร่ตรองใคร่ครวญตาม การแสดงความจริงของท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เป็นประโยชน์มาก กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์และอาจารย์คำปั่น ที่กรุณาแสดงพระธรรม คุณวันชัย ที่กรุณานำมาถ่ายทอดในเว็ปไชต์ที่ทำประโยชน์ในการสืบต่อพระศาสนาจริงๆ เสมอมา กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
กราบอนุโมทนาในธรรมทานโดยท่านอาจารย์
ขออนุโมทนาในกุศลกรรมทุกประการของคุณโป๊ด
ขออนุโมทนาในความเอื้อเฟื้อภาพถ่ายและข้อความธรรมะโดยคุณวันชัย
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
เช่นกันค่ะ
ขอกราบอนุโมทนา