ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณโป๊ด ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย วิทยากรของมูลนิธิฯ ได้รับเชิญจากคุณโป๊ด นักออกแบบทรงผมชื่อดัง เพื่อไปสนทนาธรรมที่บ้านพัก ในซอยแบริ่ง ๕๘ (สุขุมวิท ๑๐๗) ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.
ข้าพเจ้า มีโอกาสมาร่วมฟังการสนทนาธรรมที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมกระทู้ที่ได้ลงไว้แล้ว ได้ที่นี่ครับ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณโป๊ด ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔
นอกจากคุณโป๊ด จะมีความสามารถในด้านการออกแบบทรงผมที่มีชื่อเสียงแล้ว คุณโป๊ดยังมีความสามารถในการทำอาหารอร่อยๆ หลายชนิด และยังได้เคยทำอาหารไปให้ท่านอาจารย์ได้รับประทานบ่อยๆ อีกด้วย นอกจากนั้น บ้านคุณโป๊ดเอง ก็มีแม่ครัวที่ทำอาหารได้อร่อยมากๆ อีกหลายคน ประกอบกับ พื้นที่ในบ้านที่มีกว้างขวางถึงราวไร่ครึ่ง แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น คุณโป๊ดจึงได้ใช้พื้นที่ ที่เคยเป็นร้านทำผมเดิม เปิดเป็นร้านอาหารด้วย โดยใช้ชื่อร้านว่า "Pode Restaurant" และได้สร้างร้านทำผมขึ้นใหม่บริเวณด้านหน้า ซึ่งก็อยู่ติดๆ กันนั่นเอง
ความเป็นผู้มีศิลปะของคุณโป๊ด แสดงออกมาให้ทุกๆ ท่านเห็น ด้วยการจัดดอกไม้ เพื่อตกแต่งประดับประดาสถานที่โดยรอบ ทั้งภายในและภายนอก เห็นถึงความใส่ใจในความงาม อันเป็นอุปนิสัยที่สะสมมาของบุคคลที่มีต่างๆ กัน และได้ใช้ประโยชน์นั้น เพื่อการเจริญกุศลในวาระต่างๆ เช่นในวันนี้
ในตอนเช้าคุณโป๊ดได้เตรียมกาแฟและของว่างไว้บริการแก่ทุกๆ ท่านที่มา นอกจากนั้นยังมีของไม่ว่าง เช่นข้าวเหนียวหมูปิ้ง ไว้เผื่อท่านที่ยังไม่ได้รับประทานอาหารเช้า (มีข้าพเจ้า เป็นต้น) ซึ่งก็ได้ใช้บริการด้วยความขอบพระคุณยิ่งครับ
ในตอนกลางวัน คุณโป๊ดเตรียมอาหารไว้มากมายหลายอย่าง นอกจากปั้นขลิบสดใส้ปลา ไก่คั่วเค็ม ลาบหมู ไข่เจียวหมูสับ (อันนี้ดูน่ารับประทานมาก แต่ว่าหมดเสียก่อนถึงคิวข้าพเจ้า) ผัดผักรวมมิตร ปลาสลิดทอด นอกจากนั้น ยังมีขนมจีนแกงเขียวหวานไก่หม้อใหญ่ แกงส้มกุ้งสดหม้อใหญ่ และ แกงเหลืองปลากระพงชิ้นโตใส่สับปะรด รสแซ่บถึงใจ
ต้องขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณโป๊ดและเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ญาติๆ ทุกท่านนะครับ ที่ให้การต้อนรับสหายธรรมทุกท่าน ด้วยความเป็นกันเองอย่างดี คอยดูแลทุกๆ อย่าง ทั้งเรื่องการอำนวยความสะดวกในการจอดรถ ที่ได้รับความดูแลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร การให้การต้อนรับ และ คอยอำนวยความสะดวกทุกเรื่อง ตลอดการสนทนา และเรื่องน้ำดื่ม กาแฟ น้ำอัดลมต่างๆ ที่นอกจากจะมีไว้ให้ทุกท่านบริการตนเองแล้ว ยังคอยนำมาเสิร์ฟให้สหายธรรม ในห้องสนทนาธรรมอีกด้วย ประทับใจมากๆ ครับ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณโป๊ด พี่แอ๊ว (ฟองจันทร์) พี่ปุ๋ยและทุกๆ ท่านอีกครั้งนะครับ
อนึ่ง ควรที่จะได้บันทึกไว้ ถึงคำปรารภของท่านอาจารย์ หลังจบการสนทนาธรรม และ เป็นช่วงของการแสดงดนตรี ซึ่งมีนักร้องที่มีความสามารถในการร้องเพลงหลายๆ ภาษา ซึ่งคุณโป๊ด ได้นำมาแสดงให้ท่านอาจารย์และทุกๆ ท่าน ได้ชม ก่อนที่จะมีการแสดงเริ่มขึ้น ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงการเป็นผู้มีปรกติ ในการอบรมเจริญปัญญา ในเพศของคฤหัสถ์ ไว้อย่างไพเราะลึกซึ้งอย่างยิ่ง ควรแก่การที่จะพิจารณาเพื่อประโยชน์ คือ ความเข้าใจ ที่ถูกต้อง ซึ่งจะขออนุญาตบันทึกไว้ทั้งหมด ดังนี้
ต่อไปนี้ ก็คงถึงภาคบันเทิง (ทุกคนหัวเราะสนุก) ซึ่งทุกคนรอคอย เมื่อเป็นความจริง ปฏิเสธไม่ได้ เพราะ เป็นธรรมะ ต้องอาจหาญ ร่าเริง ที่จะรู้ว่า ยังมีกิเลส ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะหมดกิเลสได้ เมื่อรู้ความจริง เมื่อ "สิ่งนั้น" เกิดขึ้น
ขณะที่กำลังรอคอย ต้องการ ก็เป็นความจริง แต่ "ไม่ใช่เรา" เห็นไหม? กว่าจะหมดความเป็นเรา ไม่ใช่เรา ไปเปลี่ยนอะไรๆ บีบบังคับ ทรมาน แล้วก็เก็บความไม่รู้ กิเลส ลึก ซ่อนไว้ พยายามปกปิด ปิดบัง ไม่ให้เกิดขึ้น แต่ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงเลย
เพราะฉะนั้น ก็คือว่า อะไรจะเกิด ก็เกิด ฟังเพลง ได้ไหม? ดูหนัง ได้ไหม? ไปเที่ยว ได้ไหม? เพราะอะไร? เพราะเป็นตัวจริงๆ ให้รู้ตัวจริงๆ ไม่มีการฝืน การยับยั้ง เพราะว่า การสะสม ต่างกัน "ถ้าเป็นเพศบรรพชิต จะไม่อยู่ที่นี่" แต่คฤหัสถ์ ผู้ครองเรือน ก็จะต้องอบรม เจริญปัญญา ในเพศของคฤหัสถ์ ตามความเป็นจริง แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น โลภะ โทสะ หรืออะไร ก็เกิดได้ทั้งนั้น เมื่อมีเหตุปัจจัย
เมื่อรู้ความจริงขณะนั้น จึงสามารถที่จะ "ละ" ความเป็นเรา ได้
และอันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาในช่วงแรกของวันนั้น ซึ่งท่านอาจารย์ได้เมตตาแสดงว่า ขณะใดที่ไม่เข้าใจความจริง ก็เหมือนอยู่ในความมืด ถ้ายังไม่สว่าง ก็ไม่รู้ว่า อยู่ในความมืด คือ ความไม่รู้ เหมือนขณะที่ฝันแล้วยังไม่ตื่น ก็ไม่รู้ว่า กำลังฝันอยู่ ขอเชิญทุกท่าน พิจารณาความดังกล่าว เพื่อประโยชน์ คือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ ดังความต่อไปนี้ครับ
อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์และสวัสดีทุกท่านครับ ก็เป็นโอกาสดี ที่คุณโป๊ด ได้เชิญท่านอาจารย์มาสนทนาธรรมะ และ สหายธรรมะก็เดินทางมาหลายท่าน ที่จะได้มาร่วมกันสนทนา เป็นการสะสม ความเข้าใจธรรมะ เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งคุณโป๊ดก็ได้ปรารภในเบื้องต้นว่า การจัดสนทนาธรรมะครั้งนี้ ก็เพื่อประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ แล้วก็สหายธรรมะ ที่จะมีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง ก็เหมือนกับว่า เป็นการเริ่มต้นจริงๆ ครับท่านอาจารย์ครับสำหรับการที่จะได้สะสมความเข้าใจความจริงว่า การศึกษาธรรมะ เบื้องต้นจริงๆ ที่จะเป็นการปูพื้นฐาน สำหรับความเข้าใจในความเป็นจริงของธรรมะ ที่จะเพิ่มพูน และ มั่นคงยิ่งขึ้น
ท่านอาจารย์ ค่ะ ก่อนอื่น ก็ต้องทราบว่า ธรรมะ คือ อะไร? ถ้าเรา "ติดคำ" เราก็อาจจะคิดว่า เราศึกษาธรรมะ เราฟังธรรมะ แต่...ไม่รู้ว่า ธรรมะ คือ อะไร?
เพราะฉะนั้น "ทุกคำ" ก็ควรที่จะเข้าใจจริงๆ เพราะเหตุว่า เป็นคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยาก....ที่จะเข้าถึง ความลึกซึ้ง ของแต่ละคำ เช่น "ธรรมะ" หมายความถึง สิ่งที่มีจริง
ถ้าคนที่ไม่เคยฟังมาก่อนเลย แล้วก็สนทนากัน ด้วยคำถามเพียงว่า ขณะนี้ อะไรมีจริง? ก็ตอบไม่ได้ ไม่มีทางจะตอบได้เลย ไม่ว่า จะเป็นภาษาไทยธรรมดาๆ อย่างนี้ ขณะนี้ อะไรมีจริง?
แต่ พอฟังธรรมะแล้ว เริ่มเข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย ว่า จริง ก็คือ สิ่งที่มีปรกติ ในชีวิตประจำวัน ตามธรรมดา นั่นเอง เพราะ แม้แต่คำว่า "ธรรมดา" ก็มาจากคำภาษาบาลีว่า "ธรรมตา (ทำ-มะ-ตา) " หมายถึง ความเป็นไปของธรรมะ เป็นปรกติ คือ เป็นอย่างนี้ จะไม่เป็นอย่างอื่น เป็นธรรมดา
ขณะนี้ เป็นธรรมดา หมายความว่า สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เป็นไปตามสภาพธรรมะนั้นๆ
เช่น ขณะนี้มี "เห็น" แล้วใครจะคิดบ้าง ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ "เห็น" ทั้งๆ ที่ "เห็น" ทุกคนก็ "เห็น" แล้วก็ไม่มีความสงสัย ไม่มีความคิดใดๆ เลย เพราะไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ซึ่งก่อนที่จะมีการตรัสรู้ ความจริงของเห็น ท่านก็เห็นมาตั้งนานมาก แต่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของ "เห็น" ได้ จนกว่า บารมีที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว นานแสนนาน ด้วยคุณความดีประการต่างๆ
เพราะเหตุว่า อกุศล หรือ ความไม่ดี ไม่สามารถจะเข้าใจความจริง
ฟังอย่างนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า เราเคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว ในชาติไหน ในอดีต จนกระทั่ง เห็นประโยชน์
เพราะฉะนั้น ชาตินี้ เหมือนฝัน ว่าเรากำลังเป็นคนนี้ ชาตินี้ อย่างนี้ แต่พอตื่นขึ้น ก็ไม่มีเรา สักขณะเดียว ที่ฝันไปแล้ว แล้วก็ "ฝันทุกวัน" ว่า "เรา" ยัง "เป็น" อยู่ ในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น "การฟังธรรมะ" "ฟัง" เพื่อที่จะ "เข้าใจ" พระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่ง ทำให้เราสามารถเข้าใจถูก เห็นถูก ตามที่พระองค์ ได้ทรงบำเพ็ญบารมี ตรัสรู้ และ มีพระมหากรุณา ให้เราได้เข้าใจด้วย นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะว่า จะต้องอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ ไม่มีใครรู้ และ ที่อยู่มาแล้ว นานเท่าไหร่ ก็ไม่ต้องไปคิดถึง เพราะผ่านมาแล้ว แต่ ที่จะอยู่ต่อไปข้างหน้า จะอยู่อย่างไหน? อย่างทุกข์? อย่างสุข? อย่างลำบาก? อย่างสบาย? หรือว่า อะไรก็ตามแต่ ซึ่งไม่สามารถจะเลือกได้
แต่มาจากไหน? มาจาก ขณะนี้!!! เดี๋ยวนี้!!!
ถ้าขณะนี้ มีปัญญา มีความเข้าใจถูก สะสมไป ต่อๆ ไป ก็มีปัญญา เหมือนที่ได้มีมาแล้ว ในชาตินี้ เพราะได้ทำบุญไว้ แต่ปางก่อน มิฉะนั้น ทุกคนจะฟังทำไม? คนอื่น เขาไม่เห็นฟังเลย แล้ว เราฟังทำไม?
บางคน เขาก็สงสัย เราฟังทำไม? จะฟังแล้วมีประโยชน์อะไร? ประโยชน์ของเขา ต่างกับประโยชน์ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประโยชน์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ รู้ความจริง ซึ่งปรากฏ เมื่อเกิดแล้ว ต้องมีสิ่งที่ปรากฏทุกวันตั้งแต่เกิด จนตาย
แต่ประโยชน์ของคนอื่น ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ไม่รู้ความจริง แล้วก็มี ความติดข้อง มีความต้องการ ในสิ่งต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ของใคร เพียงแค่เห็น เป็นของใครได้?
คิดว่า เรามีสมบัติมากมาย ถ้าขณะนั้นไม่เห็น มีหรือเปล่า? ก็มีแค่ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น คิดดู พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่จะตรัสรู้ เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เพียบพร้อมด้วยสมบัตินานับประการ ถึงแก่การที่จะได้เป็นพระจักรพรรดิ
สละทั้งหมด เพื่อรู้ความจริง!!
เพราะฉะนั้น "ความจริง" มีประโยชน์กว่าสิ่งอื่นใด เพราะ ถึงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ก็จากโลกนี้ไป เป็นใครต่อไปไม่ได้นาน เพียงแค่ "ชั่วคราว"
แต่การที่จะเข้าใจความจริง สามารถที่จะสืบต่อไป จนกระทั่งรู้ความจริงได้!!
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ สิ่งที่มีจริง ถูกปกปิดไว้ เป็นดอกกุหลาบ เป็นโต๊ะ เป็นอะไรต่างๆ แต่ "ลักษณะ" ของสิ่งที่มีจริง ต้องอาศัยการ "ฟัง" เพื่อละ "ความติดข้อง" เพื่อละ "ความไม่รู้"
เพราะเหตุว่า "ติดข้อง" เพราะ "ไม่รู้" ถ้า "รู้จริงๆ " จะติดข้องได้อย่างไร? เพียงแค่ปรากฏสั้นมาก แล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก ก็ติดข้องด้วยความเห็นผิด ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่ได้
เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ความจริง ก็จะทำให้เบาบางจากความทุกข์ ซึ่ง เกิดจาก "ความไม่รู้" ซึ่งก็คือ กิเลส นั่นเองโดยไม่รู้เลยว่า ความทุกข์ของเรา มาจากไหน? มาจาก "ความไม่รู้" มาจาก "ความติดข้อง" มาจาก "ความไม่ดี" คือ "อกุศลธรรม" ทั้งหลาย
เมื่อ "รู้แล้ว" อกุศลเหล่านั้น ก็ค่อยๆ คลายลง จางลง น้อยลง จนกระทั่ง สามารถที่จะ ไม่มีอกุศลอีกต่อไปได้ ต่างกันไหม? กับการที่ "ไม่รู้" แล้วมีอกุศล แล้ว "เป็นทุกข์" กับการที่ "รู้" แล้วไม่มีอกุศล แล้ว "เป็นสุข"
เพราะฉะนั้น ก็ ฟังสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ทีละเล็ก ทีละน้อย เป็นปรกติ เพราะ "ยาก" ที่จะละการยึดถือสภาพธรรมะ ว่าเป็นตัวตน เพราะ "ตัวตน" ทำให้ "ผิดปรกติ"
เพราะฉะนั้น ความละเอียดของธรรมะ เหมือนทวนกระแสของความไม่รู้ และ กระแสของกิเลสทั้งหลาย แม้แต่ พอฟังแล้ว ก็มีกิเลส ที่จะไปทำให้ผิดปรกติ ก็ไม่ได้ทวนกระแสเลย ว่าแท้ที่จริงแล้ว ตัวกิเลสต่างหาก ที่ทำให้ปิดบังไม่ทำให้รู้ความจริง ตามปรกติ
ซึ่ง ความจริงตามปรกติ เกิดแล้วดับ เห็นไหม? เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไปทำอะไรไม่ได้ ถ้าคิดที่จะทำ ก็เพราะไม่รู้และ ทำให้หลงทาง คือ ไม่มีวันที่จะรู้ ความเป็นปรกติ
เพราะฉะนั้น วันนี้ ทุกอย่าง เป็นปรกติ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ไม่ว่าการที่เรามานั่งฟังที่นี่ ทุกอย่าง เป็นปรกติ "ชั่วคราว" เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย ทั้งหมด แต่ละหนึ่ง เกิดขึ้น ตามเหตุ ตามปัจจัย ของแต่ละคน และ ในแต่ละคน ก็ในแต่ละหนึ่งขณะ ซึ่งมีปัจจัย ที่ทำให้เกิดขึ้น เป็นอย่างนั้น แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก
"ทุกขณะ" กำลังเป็นอย่างนี้!!!
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณโป๊ด และ เพื่อนๆ ทุกท่าน
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณโป๊ด และ เพื่อนๆ ทุกท่าน
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง ครับ
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม และขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยค่ะ