มาร ๕ [กิเลสมาร...ตอนที่ ๒]
กิเลสมาร คือ กิเลสต่างๆ โลภะ โทสะ โมหะ ... อย่างหยาบจนถึงอย่างละเอียด กิเลสเกิดมากมายในชีวิตประจำวัน ขณะเห็น ขณะได้ยิน ... เพราะความไม่รู้มีมาก เมื่อเห็นแล้วก็ติดข้องทันทีในสิ่งที่น่ารักน่าปรารถนา จะเห็นได้ว่า อกุศลนั้นเกิดมากเกือบจะตลอดทั้งวัน และอกุศลเหล่านี้เมื่อเกิดแล้วก็สะสมสืบต่อเป็นอุปนิสัย เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมก็จะเกิดอีก ขณะอกุศลเกิด กุศลก็เกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ตัวกิเลสนั้นเองเป็นสิ่งขัดขวางไม่ให้ความดีได้เกิดขึ้นเลย
กิเลสนั้นเป็นสภาพธรรมที่เลว ไม่พ้นชีวิตประจำวัน ขณะนี้มีความติดข้อง ขณะนี้มีความขุ่นเคืองใจ ขณะนี้มีความไม่รู้ ขณะนี้ยังมีมารอยู่ ยังต้องเกิดอีกเพราะยังต้องมีการอุบัติของขันธ์ ซึ่งเป็นขันธมาร ซึ่งจะกล่าวในตอนต่อไปค่ะ
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ...
...ขออนุโมทนาค่ะ...
กิเลสมาร เป็นมารที่ขัดขวางกุศล กิเลสมารมีหลายประการ เช่น
โลภะ เป็นกิเลสมาร ขัดขวางไม่ให้มีการสละสิ่งที่โลภะกำลังติดข้องพอใจอยู่ ขณะที่มีโลภะ ขณะนั้นเห็นแก่ตัว ทำทุกอย่างทั้งทางสุจริตและทุจริตเพื่อแสวงหาสิ่งที่จะสนองความสุขของตน โลภะ เป็นเหตุให้วนเวียนไปในวัฏฏะไม่สิ้นสุด
โทสะ เป็นกิเลสมาร ขณะที่มีโทสะ ขณะนั้นประทุษร้ายใจของตนก่อน มีสภาพหยาบกระด้าง ขัดเคือง ไม่แช่มชื่น เมื่อสั่งสมมากขึ้นก็จะเป็นปัจจัยให้กระทำทุจริตกรรมร้ายแรงได้ โทสะขัดขวางการเจริญกุศล เวลาที่ไม่พอใจ ใจของผู้โกรธย่อมไม่น้อมไปในการเจริญความดี
โมหะ เป็นกิเลสมาร ขณะที่มีโมหะ ขณะนั้นมืดมิด ไม่รู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง หลง ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี โมหะเป็นปัจจัยให้โลภะ และ โทสะเกิด โมหะขัดขวางไม่ให้เห็นถูกในสภาพธรรมที่ปรากฏได้โดยง่าย อุปมาเหมือนภูเขาใหญ่ที่บังเมล็ดพันธุ์ผักกาดอันเล็กไว้ เมื่อโมหะทำให้ไม่เห็นสภาพธรรม สัตว์โลกจึงไม่พ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ การจะดับกิเลสมารได้ เป็นเรื่องยาก เพราะเราสะสมกิเลสมามาก แต่เริ่มต้นได้ด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจ ขณะที่เข้าใจ ขณะนั้นสั่งสมอุปนิสัยที่จะน้อมไปรู้สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เพื่อละคลายความไม่รู้ และ การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน จนกว่าจะถึงระดับที่สามารถดับกิเลสมารตามลำดับขั้นได้เป็นสมุจเฉท
สาวก ต้องฟังพระธรรม เพื่ออบรมปัญญาและเจริญบารมีทั้งหลายต่อไป ... เป็นจิรกาลภาวนา
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่เมตตาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กิเลสประการต่างๆ เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ก็เป็นเครื่องตัดหรือทำลายซึ่งความดี และประการที่สำคัญ เพราะยังมีกิเลสอยู่นี้เอง จึงยังต้องมีการเกิดและตายอย่างไม่มีวันจบสิ้น จนกว่าจะได้มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา จึงจะค่อยๆ ละคลายมาร คือ กิเลส ได้ โดยเฉพาะอวิชชา ความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ครับ
...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่เมตตา ครับ...
อุปมาเหมือนภูเขาใหญ่ ที่บังเมล็ดพันธุ์ผักกาดอันเล็กไว้ เมื่อโมหะทำให้ไม่เห็นสภาพธรรม สัตว์โลกจึงไม่พ้นไปจากสังสารวัฏฏ์
ขออนุโมทนาในกุศลจิตด้วยค่ะ