พระโสดาบันจะดำรงชีวิตอย่างไร

 
วิริยะ
วันที่  11 เม.ย. 2554
หมายเลข  18174
อ่าน  2,733

เรียนถามท่านผู้รู้

เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสคุยกับเพื่อน เพื่อนเปรยว่า อยากรู้ว่าพระโสดาบันที่ยังมีชีวิตอยู่ จะ ดำรงชีวิตอย่างไรบนโลกใบนี้ที่เต็มไปด้วยกิเลส ดิฉันตอบไปว่า ไม่ทราบเช่นกันว่าท่าน จะดำรงชีวิตอย่างไร ทราบเพียงว่า พระโสดาบันท่านละสักกายทิฏฐิได้แล้ว แต่ท่านยังมี โลภะอยู่ ดิฉันยังบอกอีกว่า ดิฉันเองก็ชอบที่จะคิดเป็นเรื่องเช่นนี้ แต่สภาพธรรมที่อยู่ ตรงหน้ากลับไม่เคยเห็น ท่านผู้รู้จะกรุณาแนะนำ หรือให้ความเห็นเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่ เพื่อนดิฉันได้ถามขึ้นมา ได้หรือไม่

ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 11 เม.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ธรรมเป็นเรื่องละเอียดและเป็นเรื่องของปัญญา ผู้ที่ศึกษาเข้าใจเท่านั้นย่อมสามารถรู้ ตามความเป็นจริง แม้เพียงประโยคที่ว่า

อยากรู้ว่าพระโสดาบันที่ยังมีชีวิตอยู่ จะดำรงชีวิตอย่างไรบนโลกใบนี้ที่เต็มไปด้วยกิเลส โลกใบนี้คืออะไร ขณะไหนเป็นกิเลส ขณะไหนไม่ใช่กิเลส โลกใบนี้คือสภาพ ธรรมที่เกิดขึ้นทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โลกที่เราสมมติขึ้นว่าเป็นคน มีสิ่งต่างๆ มี ต้นไม้ ภูเขา ความจริงแล้วเป็นเพียงรูปธรรมและนามธรรมเท่านั้น คำว่า จะดำรงชีวิต อย่างไรบนโลกใบนี้ที่เต็มไปด้วยกิเลส เราไมได้อยู่กับกิเลสเท่านั้น แต่เราอยู่กับสภาพ ธรรมที่มีจริงที่เป็นทั้งรูปธรรมคือ สี เสียง กลิ่น รส อยู่กับนามธรรมที่เกิดขึ้นคือจิตที่เป็น กุศลหรืออกุศลที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะฉะนั้นโลกที่คิดว่ามีคนมากมาย มีสิ่งต่างๆ รอบ ตัว แต่ในความเป็นจริงแล้วก็คือโลกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราเอง การดำรง ชีวิตอยู่ในโลกก็คือโลกที่กำลัง เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น.คิดนึกในขณะนี้ อยู่ในโลกคนเดียว การอบรมปัญญาจนเข้าใจความจริงถึงความเป็นพระอริยบุคคลก็คือเข้าใจโลก 6 ทางนี้ เมื่อเข้าใจความจริงทางตา หู...ใจก็เข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นว่า ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคลมีแต่ธรรมที่ปรากฎทางตา หู.......ใจ เมื่อเข้าใจความจริงบรรลุเป็นพระอริยบุคคล ชีใวิตของท่านก็อยู่ด้วยปัญญา เข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ทั้ง 6 ทาง กิเลสจึง ไม่ใช่อยู่ที่โลกอื่น รอบตัวแต่อยู่ที่ใจของเราเอง ความเห็นถูกจึงเกื้อกูลทำให้สามารถ ดำเนินชีวิตเป็นไปในทางที่ถูกทั้งทางกาย วาจาและใจอันเกิดจากความเข้าใจพระธรรม ตามความเป็นจริง ชีวิตของผู้มีความเห็นถูกจึงดำเนินไปตามโลก แต่ไม่ถูกโลกคือความ เข้าใจผิดครอบงำครับ ชีวิตของท่านจึงมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วิริยะ
วันที่ 11 เม.ย. 2554

ขอบพระคุณความเห็นที่ 1 มากค่ะ ขอเรียนถามเพิ่มเติมนะคะ ว่า เมื่อพระโสดาบันมีโลภะ เกิดขึ้น ท่านก็สามารถระลึกได้ว่า โลภะเป็นสภาพธรรม ไม่ใช่ตัวท่านที่มีโลภะ เพราะท่าน ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว ถูกต้องหรือไม่คะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 11 เม.ย. 2554

เรียน ความเห็นที่ 2

อธิายดังนี้ครับ เมื่อสภาพธรรมใดเกิดขึ้น พระโสดาบันจะไม่มีความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคลตัวตนเลยเพราะท่านดับความยึดถือ ความเห็นผิดว่ามีสัตว์ บุคคลตัวตน แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อสภาพธรรมใดเกิดจะต้องมีสติปัฏฐานเกิดทุกครั้งว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา แต่ขณะที่เกิดอกุศลมีโลภะ เป็นต้น ท่านก็ไมได้ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล เพราะท่านดับสักกายทิฏฐิแล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องสติปัฏฐานเกิดทุกครั้งคือระลึกได้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา อาจจะระลึกไมได้ขณะที่อกุศลเกิดว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราแต่ก็ไม่ได้ยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่ปุถุชนเกิดชอบ เช่น ชอบดอกไม้ มีโลภะเกิดขึ้น ขณะนั้นเพียงแค่ชอบ แต่ไม่ได้เห็นผิดว่าเป็นเราเป็นสัตว์ บุคคลแต่ยังมีสังโยชน์กิเลสที่ยังไม่ได้ดับคือสักกายทิฏฐิเพราะฉะนั้นยังมีโอกาสที่จะเกิดความเห็นผิดที่ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคลได้ ต่างจากพระโสดาบันที่จะไม่เกิดความเห็นผิดอย่างนั้นอีกเลย แต่สติปัฏฐานคือการระลึกได้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไมได้เกิดตลอดเวลา

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
วิริยะ
วันที่ 11 เม.ย. 2554

เรียน ความเห็นที่ 3

เมื่อได้อ่านข้อความที่ท่านได้กรุณาอธิบายมาแล้วนั้น ทำให้พอจะจำได้ว่า เคยได้ยินท่านอาจารย์สุจินต์ บรรยายเรื่อง โลภมูลจิตที่มีึความเห็นผิด หรือ ไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย น่าจะเป็นเรื่องเดียวกัน ดิฉันคงต้องหาโอกาสเข้าไปศึกษาอีก เพราะ ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่อยากเรียนถามบนกระดานสนทนาก่อนว่า ถ้าไม่เอ่ยถึงการละสักกายทิกฐิซึ่งปุถุชนยังทำไม่ได้ เมื่อปุถุชน มีจิตติดข้อง โดยไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น และพระโสดาบัน ก็มีจิตติดข้อง อยากทราบว่า จิตทั้งสอง มีความแตกต่างกันหรือไม่

ขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 11 เม.ย. 2554

เรียน ความเห็นที่ 4

ความติดข้องของพระโสดาบัน กับความติดข้องของปุถุชน เหมือนกันคือเป็นสภาพธรรมที่ ติดข้องไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ แต่ต่างกันตรงที่โลภะของพระโสดาบันไม่มีอนุสัยกิเลสคือ ความเห็นผิดแล้ว แต่ปุถุชนโลภะของปุถุชนยังอนุสัยคือความเห็นผิดอยู่ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 11 เม.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า พระโสดาบัน คือใคร? พระโสดาบัน คือ ผู้ที่ถึงพระนิพพาน เป็นครั้งแรก ซึ่งก็คือ เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ ๑ ที่ได้ประจักษ์แจ้งพระนิพพานดับกิเลสได้ในระดับหนึ่่ง ดับกิเลสได้เพียงบางส่วน ตามสมควรควรแก่มรรคที่ท่านได้ยังไม่สามารถได้ทั้งหมด พระโสดาบันดับความเห็นผิดทุกประการ ดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ดับความตระหนี ดับความริษยา ดับกิเลสอย่างหยาบที่จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ เพราะพระโสดาบันเป็นผู้ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป ท่านเกิดอีกอย่างมาก ไม่เกิน ๗ ชาติ เป็นผู้แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงๆ ขึ้นไป จนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งจะขาดปัญญา ไม่ได้เลย สำคัญที่เหตุ คือ การได้คบกับผู้ที่เป็นกัลยาณมิตร ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมจากกัลยาณมิตร นั้น กัลยาณมิตรสูงสุด คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อท่านเป็นพระโสดาบัน ชีวิตก็ดำเนินไปตามปกติของพระโสดาบัน แต่กิเลสที่ดับได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นอีก ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณผเดิม,คุณวิริยะ และทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
วิริยะ
วันที่ 11 เม.ย. 2554

ขอบพระคุณอาจารย์ทั้งสองท่าน ที่ได้ให้ความกระจ่าง ดิฉันจะพยายามสะสมเหตุที่ดีคือการฟังพระธรรม เพื่อที่ว่าดิฉันจะได้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 12 เม.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wannee.s
วันที่ 12 เม.ย. 2554

พระโสดาบันมีชีวิตปกติธรรมดา เพียงแต่ท่านไม่ล่วงศีล 5 ท่านมีศีล 5 บริสุทธิ์ กิเลสที่ท่านละได้แล้ว เช่น ความเห็นผิด ความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในสิกขา ในขันธ์ที่เป็นอดีต ในขันธ์ที่เป็นอนาคต สงสัยในขันธ์ทั้งอดีต และอนาคต สงสัยในปฏิจจสมุปบาท กิเลสที่ละได้แล้วจะไม่เกิดอีกเลยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
petcharath
วันที่ 12 เม.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เมตตา
วันที่ 12 เม.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
พุทธรักษา
วันที่ 12 เม.ย. 2554
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
vikrom
วันที่ 12 เม.ย. 2554

เพราะพระโสดาบันเป็นผู้ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป ท่านเกิดอีกอย่างมาก ไม่เกิน ๗ ชาติ ถ้าอย่างนั้น ชาติต่อไปถ้าหากท่านเกิดเป็นคนอีก และขณะที่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ท่านก็มีปัญญา และยังเป็นพระโสดาบันเหมือนเดิมเหมือนชาติก่อนใช่ไหมครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
paderm
วันที่ 12 เม.ย. 2554

เรียน ความเห็นที่ 13

ถูกต้องครับ ปัญญาของพระโสดาบันจะไม่เปลี่ยนแปลงคือจะไม่กลับไปเป็นปุถุชนอีก เพราะท่านประจักษ์แจ้งพระนิพพานและสำคัญที่สุดคือได้ดับกิเลสบางประเภท มีความ เห็นผิด เป็นต้น จนหมดเป็นสมุจเฉทคือจะไม่เกิดขึ้นอีกเลย เพราะฉะนั้นเมื่อพระโสดาบันตายจากโลกนี้ไป ไปเกิดเป็นบุคคลใหม่ ความเข้าใจพระธรรมและปัญญาก็ สะสมต่อไป รวมทั้งกิเลสที่ดับแล้วก็จะไม่เกิดอีก ยังคงเป็นความเป็นพระโสดาบันครับ เพราะฉะนั้น เด็กก็คือสมมติเรียกกันสำหรับบุคคลผู้มีอายุน้อย แต่ในความจริงแล้วก็มี เพียงแต่จิตและเจตสิกที่สืบต่อกันไป เมื่อจุติจิตของพระโสดาบันเกิดขึ้น (ตาย) ปฏิสนธิจิตเกิดต่อ (เกิด) เกิดเป็นบุคคลใหม่ แล้วก็มีจิตดวงอื่นๆ สืบต่อกันไป ปัญญาก็ ไม่ได้หายไปไหนเพราะปัญญาประจักษ์แจ้งความจริงดับกิเลสแล้ว วัยและอายุจึงเป็น เพียงสมมติ สิ่งที่มีจริงก็คือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม มีปัญญา เป็นต้นครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
vikrom
วันที่ 12 เม.ย. 2554
ขอบคุณมากครับ ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
Thirachat.P
วันที่ 12 เม.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
pamali
วันที่ 12 เม.ย. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
วิริยะ
วันที่ 12 เม.ย. 2554

จากความเห็นที่ 9 อยากทราบว่า ความลังเล สงสัยใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น มีลักษณะเช่นไร

ขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
paderm
วันที่ 13 เม.ย. 2554

เรียน ความเห็นที่ 18

วิจิกิจฉาหรือความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์เป็นดังนี้ ความลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า คือ บุคคลใดมีความสงสัยว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือ บุคคลที่ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เองและสามารถสอนหมู่สัตว์ให้บรรลุตามมีจริงหรือ หรือสงสัยว่าพระพุทธเจ้าประกอบด้วยลักษณะร่างกายที่ประเสริฐจริงหรือ (สงสัยในพระ สรีระ) หรือสงสัยว่าพระพุทะเจ้าประกอบด้วยคุณธรรมต่างๆ มากมายจริงหรือ (สงสัยใน พระคุณ) นี่คือความลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า

ความลังเลสงสัยในพระธรรม คือ บุคคลใดมีความสงสัยว่าพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรง แสดงมีจริงหรือ สงสัยว่าพระธรรมของพระพุทธเจ้าสามารถนำสัตว์ออกจากทุกข์ ดับ กิเลสได้จริงหรือ สงสัยว่าหนทางในการดับกิเลสที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงมีจริงหรือ พระนิพพานอันเป็นธรรมที่ไม่เกิดดับ สละซึ่งสิ่งทั้งปวงมีจริงหรือ นี่คือสงสัยในพระธรรม

ความลังเลสงสัยในพระสงฆ์ คือ บุคคลใดสงสัยว่าพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติตามพระธรรมจนบรรลุมีจริงหรือไม่

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ....

ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย [อรรถกาสังคีติสูตร]

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
วิริยะ
วันที่ 13 เม.ย. 2554

เรียน ความเห็นที่ 19

อยากทราบว่าขันธ์ในอดีต และขันธ์ในอนาคต เป็นเช่นไร ดิฉันพอเข้าใจแต่เพียงรูปขันธ์ และนามขันธ์ในขันธ์ 5 แต่เมื่อมีคำว่า อดีตและอนาคตต่อท้ายคำว่าขันธ์ ดิฉันเริ่มไม่แน่ใจ ค่ะว่าคืออะไร

ขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
paderm
วันที่ 13 เม.ย. 2554

เรียน ความเห็นที่ 20

ความลังเลงสงสัยในขันธ์ที่เป็นอดีต อนาคต หมายถึงขันธ์ที่เป็นอดีต คือ ขันธ์หรือ สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมที่ดับไปแล้ว ผ่านไปแล้วเรียกว่าขันธ์ที่เป็นไปใน อดีต ส่วนขันธ์หรือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น เป็นขันธ์ที่เป็น อนาคต

ความลังเลสงสัยในขันธ์ที่เป็นอดีต คือ สงสัยว่าธรรมที่ดับไปแล้วมีจริงหรือรวมทั้ง ปุถุชนผู้ไมได้สดับย่อมสงสัยว่าเรามีแล้วในอดีตจริงหรือ (ในชาติก่อนๆ ) เราเป็นอะไรใน อดีต

ความลังเลสงสัยในขันธ์ที่เป็นอนาคต คือ สงสัยว่าธรรมที่จะเกิดขึ้นมีจริงหรือรวมทั้ง ปุถุชนผู้ไมได้สดับย่อมสงสัยว่าเราจะเป็นอะไรในอนาคตหรือจะไม่เป็นอีก เราจะต้องมี ต้องเกิดอนาคตหรือ

พระโสดาบันละความสงสัยในขันธ์ที่เป็นส่วนในอดีตและอนาคตเพราะท่านไม่ยึดถือ ว่ามีเราเกิดในอดีต เราเกิดในอนาคตเพราะท่านรู้ว่าไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนที่เกิด มีแต่ ธรรมที่เกิดและดับไป อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ท่านประจักษ์ความเกิดดับของสภาพ ธรรม จึงไม่สงสัยในขันธ์ในอดีตและอนาคต และท่านดับวิจิกิจฉาได้หมดแล้วครับ

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ...

วิจิกิจฉาโดยพิศดาร

[เล่มที่ 76] พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 371

ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ที่ล่วงไปแล้ว เรียกว่า ปุพพันตะ (ส่วนอดีต) ที่ยังไม่มาถึงเรียกว่า อปรันตะ (ส่วนอนาคต) ในบรรดาส่วนทั้ง ๒ นั้น เมื่อเคลือบแคลงว่า ขันธ์ในส่วนอดีตในธรรมทั้งหลาย มีขันธ์ที่เป็นส่วนอดีต เป็นต้น มีอยู่หรือไม่มี? ชื่อว่า เคลือบแคลงในขันธ์เป็นต้นในส่วนอดีต. เมื่อเคลือบแคลงว่า ขันธ์เป็นต้นที่เป็นส่วนแห่งอนาคตในอนาคต มีอยู่หรือไม่หนอ ชื่อว่า เคลือบแคลงในขันธ์ เป็นต้นในส่วนอนาคต. เมื่อเคลือบ แคลงในส่วนทั้ง ๒ ชื่อว่า เคลือบแคลงในปุพพันตะและอปรันตะ (ส่วน อดีตและอนาคต) .

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
วิริยะ
วันที่ 14 เม.ย. 2554

เรียนถามค่ะ

พระโสดาบันท่านมีศีล 5 ที่บริสุทธิ์ เช่นนี้ เรียกว่า ศีลสิกขา ใช่หรือไม่ ส่วนปุถุชน ยังมีโอกาสล่วงศีล 5 จึงไม่เรียกว่า ศีลสิกขา หรืออย่างไรคะ

ขอบพระคุณอย่างสูง

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
paderm
วันที่ 14 เม.ย. 2554

เรียน ความเห็นที่ 22

ทั้งพระโสดาบันและปุถุชนมีศีลสิกขาด้วยกันทั้งคู่ครับ ศีลสิกขาคือ ศีลอันเป็นไปเพื่อ การศึกษาน้อมไปเพื่อดับกิเลส การรักษาศีลเพื่อดับกิเลสกิเลส ศีลที่เป็นไปคือการระลึก รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ก็เป็นศีลสิกขา เช่นกัน การที่ภิกษุทั้งหลาย สำรวมในพระวินัยที่พระองค์ทรงแสดง แม้ภิกษุนั้นจะเป็นปุถุชนแต่น้อมไปในการสำรวม พระวินัยเพื่อดับกิเลส ศีลนั้นก็เป็นอธิศีลสิกขาด้วยครับ เพราะฉะนั้นศีลสิกขาคือศีล ที่เป็นไปเพื่อดับกิเลส แม้การรักษาศีลเพื่อดับกิเลสรวมทั้งการเจริญสติปัฏฐานที่เป็น อินทรียสังวรศีลก็เป็นศีลที่เป็นสิกขา ซึ่งสามารถเกิดได้กับปุถุชนครับ ส่วนศีล 5 ที่พระ- โสดาบันท่านไม่ล่วงศีลอีกไม่ได้หมายถึงว่า การไม่ล่วงจะเป็นศีลสิกขาครับ แต่ขณะใด ที่อบรมปัญญาหรือศีลใดเป็นไปเพื่อดับกิเลส ศีลนั้นเป็นศีลสิกขาซึ่งสามารถเกิดได้ทั้ง ปุถุชนและพระโสดาบันครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 14 พ.ค. 2554
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 25  
 
orawan.c
วันที่ 14 พ.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 26  
 
Thanapolb
วันที่ 20 ก.พ. 2555

ขอเรียนถามเพื่มเติมครับ ข้อความที่ว่า "พระโสดาบันดับกิเลสอย่างหยาบที่จะเป็นเหตุ ให้ไปเกิดในอบายภูมิ" อยากรบกวนให้ยกตัวอย่าง กิเลสอย่างอยาบ หลายๆ ตัวอย่างมา พอสังเขปได้ไหมครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 27  
 
paderm
วันที่ 20 ก.พ. 2555

เรียน ความเห็นที่ 26 ครับ

กิเลสอย่างหยาบ เช่น ความอิจฉา ริษยา ความลำเอียง ความเห็นผิด การฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ เป็นต้น พระโสดาบันละได้ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 28  
 
Thanapolb
วันที่ 21 ก.พ. 2555

ขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 29  
 
chatchai.k
วันที่ 18 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ