500 ชาติ
คนเรามีภพชาติที่ต้องไปเกิด 500 ชาติหรือเปล่าครับ?
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำว่าชาติครับว่า ชาติหมายถึงการเกิด การเกิดของอะไร ไม่ใช่
การเกิดขึ้นของคนและสัตว์ แต่ในสัจจะความจริงแล้วหมายถึงการเกิดขึ้นของสภาพ
ธรรมที่เป็น จิต เจตสิก รูปที่เป็นขันธ์ 5 นั่นเองครับ และเมื่อมีการเกิดขึ้นของขันธ์ 5
จึงบัญญัติว่าเป็นคน หรือเป็นสัตว์ เป็นเทวดาที่เกิดตามรูปร่างสัณฐานและภพภูมิที่
เกิดครับ เพราะฉะนั้นเราจะต้องเข้าใจความจริงก่อนครับว่า ไม่มีสัตว์ บุคคลที่เกิดแต่
เป็นสภาพธรรมที่เป็นขันธ์ 5 ที่เกิดแต่เมื่อมีขันธ์ 5 เกิด แล้วจึงบัญญัติภายหลังว่าเป็น
สิ่งใดครับ นั่นคือสมมติกันขึ้นมา ดังนั้น ชาติ คือการเกิดขึ้นของสภาพธรรมทีเ่ป็นขันธ์ 5
เป็นต้นครับ
ที่เรียกว่าพระพุทธเจ้าก็เพราะมีสภาพธรรเกิดคือมีจิต มีเจตสิก มีรูปเกิดขึ้นจึง
บัญญัติว่าเป็นพระพุทธเจ้า ดังนั้นการเกิดขึ้นหรือชาติของสภาพธรรมก็จะเกิดขึ้น
ตลอดเวลา สืบเนื่องกันไปที่เรียกว่าสังสารวัฏฏ์ ไม่มีที่สิ้นสุดจนกว่าจะดับกิเลสได้
หมดครับ ดังนั้นเมื่อจะกล่าวโดยสมมติบัญญัติแล้ว ในอดีตก่อนเป็นพระพุทธเจ้า
รวมถึงสัตว์โลกที่ยังมีกิเลสก็เกิดมามากมายนับชาติไม่ถ้วนแล้วครับ ไม่ใช่แค่ 500 ชาติ
แต่นับประมาณไม่ไ่ด้เพราะอะไร เพราะมีความไม่รู้ มีอวิชชา ไม่เห็นอริยสัจตามความ
เป็นจริงจึงทำให้เกิดนับชาติไม่ถ้วนครับ
[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 438
๑. ปฐมวัชชีสูตร
ว่าด้วยการตรัสรู้และไม่ตรัสรู้อริยสัจ ๔
[๑๖๙๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ โกฏิคาม ในแคว้นวัชชี ณ
ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เพราะไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ได้แทงตลอดอริยสัจ ๔ เราด้วย เธอทั้งหลายด้วย จึงแล่นไป
ท่องเที่ยวไปยังสังสารวัฎนี้ตลอดกาลนานอย่างนี้
ดังนั้นจากคำถามที่ว่า มี 500 ชาติไหม
มีครับ มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่เรียกว่าชาติ แล้วจึงบัญญัติว่าเป็นใคร แม้พระพุทธ
องค์ก็เคยเกิดเป็นบุคคลต่างๆ มาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ิ บางพระชาติก็เกิดมีความเกี่ยวพัน
กับบุคคลบางบุคคล 500 ชาติ เช่นผู้นี้เคยเป็นบิดาของพระพุทธองค์เมื่อครั้งยังไม่
ตรัสรู้เป็นบิดามาติดต่อกัน 500 ชาติบ้าง เป็นลุงบ้าง หรือพระสารีบุตรก็เคยบวชเป็น
ฤาษีและมีปัญญามากในอดีตติดต่อกัน 500 ชาติบ้างครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
อดีตชาติพระพุทธเจ้าเคยเป็นบุตรและญาติพราหมณ์ 500 ชาติ[เอกนิบาต]
ที่สำคัญจะเห็นได้ว่าตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ และยังไม่เห็นอริยสัจจะ ไม่ว่าบุคคลใด
ก็ต้องมีการเกิดมาแล้วในอดีตนับชาติไม่ถ้วนและในอนาคตอีกนับชาติไม่ถ้วนครับ การ
เข้าใจพระธรรมในหนทางที่ถูกต้องเป็นหนทางเดียวที่จะละความไม่รู้และเห็นอริยสัจจะ
เพื่อความไม่เกิดขึ้นของสภาพธรรมอันหมายถึงการดับกิเลสหมดนั่นเองครับ ปัญญา
เท่านั้นที่เป็นที่พึ่งและจากคำถามนี้ก็ทำให้ย้อนไปถึงความเข้าใจในอริยสัจจะว่า การ
เกิดขึ้นที่สมมติกันว่า 500 ชาติ ชาติคือการเกิดขึ้นนี้ที่เป็นอริยสัจจะคือสภาพธรรมที่มี
จริงทีเ่ป็นนามธรรมและรูปธรรม ทีเ่ป็นขันธ์ 5 ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคลเกิด การเข้าใจ
ความเป็นอนัตตาอย่างนี้ในขั้นการฟังย่อมละความไม่รู้ที่หลงผิดว่ามีสัตว์ บุคคล ละด้วย
ปัญญาขั้นการฟังย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เข้าใจความจริงืที่เป็นอริยสัจจะขึ้นจนเป็นปัจจัย
ให้ดับกิเลสในอนาคต ไม่ต้องเกิดอีกต่อไปไม่ว่าจะกี่ชาติก็ตามเพราะความเกิดเป็นทุกข์
และนำมาซึ่งทุกข์ครับ สำคัญที่สุดคือเข้าใจก่อนว่าชาติคือะไรและมีสัตว์ บุคคลเกิดหรือ
ไม่ที่เกิด เพียงแต่ว่าเราสมมติให้เป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นใครที่เกิดครับ ขออนุโมทนาครับ
[เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 342
คัททูลสูตรที่ ๒
[๒๕๘] กรุงสาวัตถี. ที่เชตวนาราม. ดูก่อนภิกษุทั้งหลายสงสารนี้ มีที่สุด
เบื้องต้นอันบุคคลตามไปรู้ไม่ได้แล้ว เงื่อนต้นแห่งสงสารจะไม่ปรากฏ แก่สัตว์ทั้ง
หลายผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้นมีตัณหาเป็นเครื่องผูกไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่.
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น "เกิดมาแล้วนับชาิติไม่ถ้วน" [เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒๖ - หน้าที่ ๕๒๙ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังสาระ (สังสารวัฏฏ์) นี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ... สัตว์ที่ไม่เคยเป็นมารดาโดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
เพราะว่าสังสาระนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้าตลอดกาลนาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียว เพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้” (จาก ... พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค มาตุสูตร) การเกิดในแต่ละภพในแต่ละชาิติ ย่อมไม่พ้นไปจากความเป็นไปของสภาพธรรมคือ จิต เจตสิก และรูป ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลาเกิดแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ชีวิตประจำวันที่ดำเินินไปอยู่นี้ เป็นธรรมทั้งหมดซึ่งก็ไม่ใช่เฉพาะชาิตินี้ชาิติเดียวที่เป็นอย่างนี้ แต่เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสาร-วัฏฏ์ คำว่า สังสารวัฏฏ์ ในอรรถกถาท่านได้แก้ไว้ว่า "ลำดับแห่งขันธ์ ธาตุ และ อายตนะยังเป็นไปอย่างไม่ขาดสาย ชื่อว่า สังสาระ" หรือจะหมายถึง การท่องเที่ยวไปก็ได้ กล่าวคือ ท่องเที่ยวไปจากภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่ง หรือแม้กระทั่งจากจิตขณะหนึ่งไปสู่จิตอีกขณะหนึ่ง ก็กล่าวได้ว่าเป็นสังสาระเช่นเดียวกัน ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริง คือ นามธรรมและรูปธรรม เลย บุคคลผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ตัณหา (โลภะ) และ อวิชชา (ความไม่รู้) จึงต้องมีการเกิดการตายอยู่ร่ำไป สังสารวัฏฏ์ดำเนินไปอย่างไม่จบสิ้น และกว่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติปัจจุบันนี้นั้น ในชาติที่ผ่านๆ มาก็เคยเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ต้องเน้นว่านับชาติไม่ถ้วน เคยเป็นมาแล้วทุกอย่าง ทั้งคนมั่งมี ยากจน คนตกทุกข์ได้ยาก เป็นพระราชา พระมหากษัตริย์ เป็นต้น (ซึ่งการเกิดในภพต่างๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นสุคติภูมิ หรือ ทุคติภูมิ ก็ตาม ก็เป็นเพียงที่พักชั่วคราวเท่านั้นจริงๆ ) เพราะสังสารวัฏฏ์ยาวนานหาที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ และเมื่อยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหมดอย่างเด็ดขาดขณะสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้ที่จุติจิตเกิดขึ้นเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้แล้วดับไปปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันทีเกิดทันทีในภพใหม่ชาติใหม่ เป็นบุคคลใหม่ในชาติใหม่ มีจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) เกิดขึ้นเป็นไป สืบเนื่องต่อไปเป็นสังสารวัฏฏ์ที่ยืดยาวต่อไปอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงควรที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าการอบรมเจริญปัญญาเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส ดับกิเลส ดับทุกข์ ไม่มีการเกิดการตายอีกเลย ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
"..บุคคลผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงอย่างเด็ดขาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ตัณหา (โลภะ) และ อวิชชา (ความไม่รู้)
จึงต้องมีการเกิดการตายอยู่ร่ำไป สังสารวัฏฏ์ดำเนินไปอย่างไม่จบสิ้น.."
"การเข้าใจพระธรรมในหนทางที่ถูกต้อง
เป็นหนทางเดียวที่จะละความไม่รู้
และเห็นอริยสัจจะ
เพื่อความไม่เกิดขึ้นของสภาพธรรม อันหมายถึงการดับกิเลสหมดนั่นเองครับ"
ขอบพระคุณ อ.ผเดิม อ.คำปั่น
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ธรรมมีเหตุมีปัจจัยก็เกิดอีก เมื่อยังมีกิเลสอยู่ก็ต้องเกิดอีกแน่นอน ไม่ใช่แค่ 500 ชาติ
ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่มีวันที่สิ้นสุด ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้นจะที่จะดับภพชาติ
ไม่เกิดอีกเลยค่ะ
มีพระองค์หนึ่งเข้าผ่าตัดบอกวูบไป9ช.ม.เหมือนไร้ตัวตน (วางยาสลบ,ไม่มีฝันเลย) ,โดย
ทฤษฎีคล้ายสภาวะ"นิพพาน" (ไม่มีตัวตน ณ ที่ใดๆ ในจักรวาล) ใช่หรือไม่?หรือคล้ายสภาพ
ฌานขั้น"อสัญญีสัตว์" (พรหมลูกฟัก,เหมือนไร้ตัวตน,เข้าใจในส่วนลึกๆ ๆ ๆ ว่าหลุดพ้น
แล้ว) ,ช่วยชี้แนะด้วยครับ
เรียนความเห็นที่ 9 ครับ
ขณะที่สลบตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ขณะนั้นเป็นชวนจิต 6 ขณะที่มีกำลังอ่อนจึง
ดูเหมือนไม่ฝัน ไม่คิดนึก ซึงไม่ใช่นิพพาน เพราะนิพพานจะไม่มีความเกิดขึ้นของ
สภาพธรรมอะไรเลยครับ แต่ขณะที่สลบ ขณะนั้นยังมีจิตอยู่ แต่ที่ดูเหมือนไม่รู้ตัวเพราะ
มีกำลังอ่อน เมื่อยังมีจิตอยู่จึงไม่ใช่นิพพานและการจะถึงพระนิพพานต้องเป็นการอบรม
ปัญญาด้วยปัญญาไม่ใช่ด้วยสลบครับ ส่วนการหลุดพ้น เป็นการหลุดพ้นจากกิเลสและ
หลุดพ้นจากสภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรมที่ไม่เที่ยง แต่ในเมื่่อขณะที่สลบยังมีจิตอยู่
จึงไมไ่ด้หลุดพ้นจากกิเลสและสังขารธรรมคือจิต เป็นต้น การสลบจึงไม่ใช่การหลุดพ้น
ครับ ขออนุโมทนา
ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาสำหรับคำตอบและขอความอนุเคราะห์เพิ่มเติมดังนี้ครับ..
1.พระอรหันต์เวลาหลับยังมีสติอยู่หรือไม่?และจะฝันหรือไม่?
2.เคยได้ยิน"เวลาหลับจะสอนเทวดา"หมายความว่าอย่างไร?
3.พระอรหันต์ขาดสติได้หรือไม่?
4.ช่วยอธิบายคำว่า"อเสขะศีล"และ"สติวินัย"ด้วยครับ?
...ขอบพระคุณครับ...
เรียนความเห็นที่ 121.พระอรหันต์เวลาหลับยังมีสติอยู่หรือไม่?และจะฝันหรือไม่?
พระอรหันต์ขณะที่หลับสนิทเป็นภวังคจิต มีสติที่เกิดพร้อมกับจิตที่เป็นชาติวิบาก แต่สตินั้นไมไ่ด้ทำหน้าที่ระลึกว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา
2.เคยได้ยิน"เวลาหลับจะสอนเทวดา"หมายความว่าอย่างไร?
ขณะที่หลับสนิทเป็นภวังคจิตจะสอนใครไมไ่ด้ เพราะไม่รู้อารมณืทางตา หู จมูก ลิ้น กายและไม่คิดนึกครับ
3.พระอรหันต์ขาดสติได้หรือไม่?
พระอรหันต์ไม่ได้มีสติเจตสิกเกิดตลอดเวลา เช่น ขณะที่เห็น ขณะนั้นไม่มีสติเจตสิก
แต่พระอรหันต์จะไม่เป็นอกุศลเลย ท่านจึงไม่หลงลืมสติที่จะเป็นไปในอกุศล พูดโดย
นัยนี้ก็ได้ครับ
4.ช่วยอธิบายคำว่า"อเสขะศีล"และ"สติวินัย"ด้วยครับ?
อเสขะศีล คือศีลของพระอเสข พระอเสขคือผู้ที่ไม่ต้องศึกษาแล้ว ดังนั้นจึงต้องเป็น
ศีลของพระอรหันต์ครับ ส่วนสติวินัย ไม่มีคำนี้โดยตรงครับ แต่เป็นที่พอเข้าใจได้ว่า
วินัยแปลว่า การกำจัดอย่างวิเศษหรือการขัดเกลาอย่างวิเศษหรืออย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น
สติเป็นสภาพธรรมที่ระลึกและเป็นสภาพธรรมที่กั้นกระแสของกิเลส เพราะฉะนั้น สติ
วินัย ตัวสติเองจึงเป็นเครื่องกั้นกระแส กำจัด ขัดเกลากิเลสในขณะนั้นอย่างวิเศษครับ
ซึ่งวินัยแบ่งเป็นสองอย่างคือ สังวรวินัยและปหานวินัย ซึ่งสังวรวินัยคือการสำรวมนั้น มี
การสำรวม ขัดเกลากำจัดกิเลส ด้วยสติประการหนึ่งครับ เรียกว่า สติสังวร ซึ่ง สติสังวร
อยู่ในส่วนของวินัย อันเป็นธรรมกำจัด ขัดเกลากิเลสและทุจริตทางกายและวาจา ใจ
เป็นต้นเพราะตัวสติเองเป็นธรรมเครื่องกั้นกระแสกิเลสครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ...วินัย ๒ - - ปหานะ ๕
ขออนุโมทนาครับ