ที่พึ่ง [ตอนที่ ๑ พึ่งอะไร...เพื่ออะไร...]
[เล่มที่ 30] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ ๗๔ ปฐมกัลยาณมิตตสูตร (มิตรดีเป็นนิมิตแห่งอริยมรรค) [๑๒๙] สาวัตถีนิทาน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้นสิ่งที่ขึ้นก่อน สิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน คือ แสงเงินแสงทอง สิ่งที่เป็นเบื้องต้นเป็นนิมิตมาก่อน เพื่อความบังเกิดแห่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ของภิกษุ คือ ความเป็นผู้มีมิตรดี ฉันนั้นเหมือนกัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันภิกษุผู้มีมิตรดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์๘ จักทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘.
คำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ทำให้ผู้ฟังเข้าใจถึงหนทางการอบรมเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งก็คือ การอบรมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะมีกัลยาณมิตรอย่างท่าน จึงเป็นเหตุให้พวกเรามีพระธรรมเป็นที่พึ่ง.... เมื่อกรรมทำให้เกิดมาแล้ว จะมีอะไรเป็นที่พึ่ง ทุกชีวิตต้องพึ่งปัจจัย ๔ ถ้าไม่มีอาหารชีวิตก็ดำรงอยู่ไม่ได้ สัตว์โลกพึ่งอาหารแล้วก็ติดข้อง พึ่งที่อยู่อาศัยเมื่อมีแล้วก็ติดข้อง เช่นเดียวกับเครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย...ด้วยความไม่รู้คืออวิชชา ก็ติดข้อง อยู่ในความมึด เมื่อยังไม่เจอที่พึ่งอื่นเลย ในกาละที่พระธรรมยังไม่มี ยังไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็อยู่กับความไม่รู้ความติดข้อง แทนที่จะกินเพื่ออยู่ ที่อยู่ เสื้อผ้าพอเพียง ในกาละที่แสงเงินแสงทอง คือ พระธรรมยังไม่ปรากฏ สัตว์โลกยังไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ โลกนี้ก็มึดสนิท ทุกคนอยู่ในความมึด เพราะฉะนั้น เกิดมาแล้ว จะพึ่งอะไร...เพื่ออะไร...
....ขออนุโมทนาค่ะ..
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เกิดมาแล้ว...จะพึ่่่งอะไร...เพื่ออะไร....
สัตว์โลกผู้ยังมักิเลส ย่อมมีความเกิดและตายเป็นที่สุด วนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์
และการดำเนินชีวิตของสัตว์โลก ก็ต้องอาศัยปัจจัย 4 เพื่อความดำรงอยู่เพราะฉะนั้น
สัตว์โลกผู้เต็มไปด้วยความไมู่รู้และกิเลส ย่อมแสวงหาปัจจัย 4 ด้วยอกุศล ด้วยทุจริต
บ้าง ตามการสะสมมาและสัตว์โลกนั้นเองก็ติดข้องในปัจจัย 4 และสิ่งต่างๆ ทีไ่ด้มา
ไม่ไ่ด้รู้ตามความเป็นจริง
ปัจจัย 4 รวมทั้งลาภ สักการะ ชื่อเสียงอันน่าปรารถนา น่าพอใจ คืออะไรก็คือสภาพ
ธรรมที่ปรากฎทางตา หู จมูก ลิ้น กายเท่านั้น ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เป็นเพียง สี
เสียง กลิ่น รส กระทบสัมผัส แต่เพราะความไ่รู้จึงติดข้องในสิ่งเหล่านี้ และสภาพธรรม
ที่ปรากฎทางตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นที่พึ่งได้หรือไม่ ซึ่งคำว่าที่พึ่งก็มีหลายหลายตาม
ความคิดของต่ละคน แต่ที่พึ่งที่เป็นสัจจะและเป็นสิ่งที่ประเสริฐคือที่พึ่งที่ทำให้พ้นจาก
ทุกข์ถึงการดับกิเลสได้ครับ ปัจจัย 4 ไม่ใช่ที่พึ่งอันประเสริฐเพราะเพียงแค่ให้สัตว์โลก
ดำรงอยู่ได้ในชีวิตประจำวัน แต่ปัญญาที่มีความเห็นถูก เข้าใจความจริงของสภาพ
ธรรมที่มีจริงในขณะนี้ อันเป็นการเจริญสติปัฏฐานเป็นที่พึ่งที่ทำให้สัตว์พ้นจากห้วงน้ำ
มหาสมุทรคือการเกิดและกิเลส ขึ้นสู่เกาะอันกิเลสท่วมไม่ถึง ด้วยปัญญาและการดับ
กิเลสหมดครับ
ที่พึ่งในพระพุทธศาสนาจึงมีหลากหลายนัย ตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงสูงสุดครับ
ที่พึ่งในพระพุทธศาสนาอันที่พึ่งอันประเสริฐมีดังนี้ครับ
1.ที่พึ่งคือบุญ
2.ที่พึ่งคือกัลยาณมิตร
3.ที่พึ่งคือพระธรรมคือการเจริญสติปัฏฐาน
4.ที่พึ่งอันสูงสุดคือพระนิพพาน การบรรลุอริยสัจธรรมดับกิเลส
ที่พึ่งคือบุญ บุญเป็นที่พึ่งในโลกหน้า ในสังสารวัฏฏ์ สัตว์ต้องเกิด ตายมากมายนับ
ไม่ถ้วน เปรียบเหมือนการเดินทางไกล หากไม่มีเสบียงในการเดินทางแล้ว ย่อมลำบาก
ในการเดินทาง และหากไม่เป็นกุศลแล้ว จิตก็ย่อมเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นการสะสมบุญ
ย่อมเป็นเหมือนเสบียงและเป็นที่พึ่ง พึ่่งให้ไม่ตกไปในอบายบ่อยๆ เพื่อเกิดในภพภูมิที่ดี
อันเป็นปัจจัยที่จะได้อบรมปัญญาได้อีกครับ บุญจึงเป็นที่พึ่งในโลกหน้าครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ [ทุติยปุตตกสูตร]
ที่พึ่งคือกัลยาณมิตร หากไม่มีมิตรดีที่เป็นกัลยาณมิตร กัลยาณมิตรคือผู้มีคุณธรรม
มีศรัทธา ศีล สึตะ จาคะ ปัญญา เป็นต้น หากไม่มีมิตรดี ก็จะไม่ได้มีโอกาสได้ฟังพระ
ธรรมที่จะทำให้เหล่าสัตว์ได้ที่พึ่งอันสูงสุดคือดับกิเลส เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นมิตรดีจึง
เป็นที่พึ่่งกับบุคคลที่เข้าไปอาศัยและเสพคุ้นด้วยครับ พระพุทธเจ้าและพระอริยสาวก
และผู้มีคุณธรรมที่เข้าใจพระธรรมคำสอนจึงเป็นกัลยาณมิตรและเป็นที่พึ่งของบุคคล
ที่คบหา เข้าไปใกล้ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์
ลักษณะกัลยาณมิตร [อรรถกถาเมฆิยสูตร]
อาจารย์ที่เข้าใจพระธรรมถูกต้องคือกัลยาณมิตร
[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 62
ทุติยปาปณิกสูตร
ภิกษุเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยที่พึ่งอาศัยอย่างไร ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ภิกษุเหล่าใด
เป็นพหูสูต คล่องอาคม ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกาเธอเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้น
ตามกาลอันควร ไต่ถามปัญหาว่า ท่านเจ้าข้าข้อนี้อย่างไร อะไรเป็นความหมายแห่ง
ธรรมนี้. ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ลี้ลับ ทำข้อที่ลึกให้ตื้น และบรรเทาความ
เคลือบแคลงในธรรมทั้งหลายที่น่าเคลือบแคลงแก่เธอได้ อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุชื่อว่า ถึงพร้อมด้วยที่พึ่งอาศัย
ที่พึ่งคือพระธรรมคือการเจริญสติปัฏฐาน พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าเธอจงมีตน
เป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง และทรงแสดงว่ามีตนเป็นที่พึ่งอย่างไร คือมีพระ
ธรรมเป็นที่พึ่ง และทรงแสดงว่ามีพระธรรมเป็นที่พึ่งอย่างไร คือการเจริญสติปัฏฐาน 4
เพราะเหตุว่าการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้เป็นหนทางเดียว เป็น
ทางสายเอกที่จะทำให้หมู่สัตว์ที่ขาดที่พึ่งเพราะตกอยู่ในห้วงน้ำคือกิเลส ได้มีที่พึ่งคือ
ปัญญาที่ละความไม่รู้ ขึ้นสู่ฝั่งคือการดับกิเลสหมดด้วยการเจริญสติปัฏฐาน เพราะ
ฉะนั้นสติปัฏฐาน 4 หรือการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรม
ไม่่ใช่เรา เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์ที่จะดับกิเลสได้ครับเชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ..... การมีธรรมเป็นเกาะเป็นที่พึ่งคือการเจริญสติปัฏฐาน
คำว่ามีตนเป็นที่พึ่ง จึงหมายถึงว่า การจะบริสุทธิ์ ดับกิเลสได้ ไม่ใช่เพราะต้องเป็น
ปัญญาของบุคคลอื่น แต่ต้องเป็นปัญญาของตนเองที่จะต้องอบรม พระพุทธองค์เป็น
แต่ผู้บอกทางเท่านั้น ส่วนผู้ฟังต้องมีตนเป็นที่พึ่งคืออบรมปัญญาของตนเอง ฟังด้วย
ความแยบคายครับ ที่สำคัญการมีตนเป็นที่พึ่งก็ไม่พ้นการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม
โดบเฉพาะในเรื่องการเจริญสติปัฏฐานเพราะพระธรรมเท่านั้นเป็นที่พึ่งอันแท้จริงครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ.........ตนแลเป็นที่พึ่งของตน [คาถาธรรมบท]
ที่พึ่งอันสูงสุดคือพระนิพพาน การบรรลุอริยสัจธรรมดับกิเลส
ที่พึงอันประเสริฐสุดคือพระนิพพาน อันเป็นสภาพธรรมที่ดับกิเลสหมดไม่เหลือเลย
สัตว์โลกผู้มากไปด้วยกิเลส แม้จะมีทรัพย์สิน เงินทองมากมาย มีปัจจัย 4 บริบูรณ์แต่
ยังเต็มไปด้วยกิเลสและความไม่รู้ จะกล่าวว่ามีที่พึ่งได้อย่างไร เพราะยังต้องทุกข์ักับ
สิ่งเหล่านี้ ติดข้องในสิ่งเหล่านี้และต้องประสบทุกข์มากมายในสังสารวัฏฏ์ แต่พระ
นิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่ปรุงแต่งเมื่่อถึงการดับกิเลส ประจักษ์พระนิพพาน ย่อมจะ
ไม่มีการเกิดอีกเลย ไม่ต้องประสบทุกข์ในกิเลสในการเกิดในภพต่างๆ ครับ เพราะฉะนั้น
พระนิพพานจึงเป็นที่พึ่งอันประเสริฐที่สุดครับ
[เล่มที่ 67]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้าที่ 263
คำว่า ไม่ใช่ธรรมอย่างอื่น คือ ที่พึ่งอื่น คือ อย่างอื่นจากนิพพานนั้นมิได้มี โดยที่
แท้ที่พึ่งนั้นนั่นแหละเป็นที่พึ่งอันเลิศ ประเสริฐ วิเศษเป็นประธานสูงสุด และอย่าง
ยิ่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ที่พึ่งนี้ไม่ใช่อย่างอื่น.
ปัญญา ความเข้าใจพระธรรมจะเป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์ผู้เห็นประโยชน์และสะสมบุญมา
ที่จะสนใจพระธรรม ส่วนปัจจัย 4 ย่อมเป็นที่พึ่งอันสูงสุดของหมู่สัตว์ที่ไมไ่ด้สะสม
ความเข้าใจพระธรรมมา เพราะฉะนั้นความถูกต้องไม่ได้้ขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละ
บุคคล แต่สัจจะความจริงไมไ่ด้ขึ้นอยู่ักับใคร แต่สัจจะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นที่พึ่ง
ที่ประเสริฐคือปัญญา ความเข้าใจพระธรรม สติปัฏฐานและการดับกิเลสถึงนิพพาน อัน
เป็นที่พึ่งอันสูงสุด แต่จะไม่ถึงที่พึ่งอันสูงสุดได้เลย ถ้าไม่มีกัลยาณมิตร เพราะก็จะไม่ได้
มีโอกาสฟังพระธรรมจนทำให้ดับกิเลสครับ ดังนั้นพึ่งอะไรถ้าไม่ใช่ตัวเอง ด้วยพระธรรม
ความเข้าใจพระธรรมของตนเองโดยอาศัยกัลยาณมิตร เพื่ออะไร เพื่อดับกิเลสจนหมด
สิ้นจนถึงที่พึ่งอันแท้จริงคือบรรลุพระนิพพาน ขออนุโมทนาครับ [เล่มที่ 67] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้าที่ 262
เราจะบอกธรรมเป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งหลาย ผู้ที่ตั้งอยู่
ในท่ามกลางสงสาร เมื่อห้วงกิเลสเกิดแล้ว เมื่อภัยใหญ่
มีแล้ว ผู้อันชราและมัจจุถึงรอบแล้ว ดูก่อนกัปปะ เรา
จะบอกธรรมเป็นที่พึ่งแก่ท่าน.
เราขอบอกนิพพานอันไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่มี
ตัณหาเครื่องถือมั่น ไม่ใช่ธรรมอย่างอื่น เป็นที่สิ้นไป
แห่งชราและมัจจุนี้นั้นว่า ธรรมเป็นที่พึ่ง.
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
“...เกิดมาแล้ว พึ่งกุศลธรรม เพราะอกุศลธรรมพึ่งไม่ได้...” ทุกขณะของชีวิต ไม่พ้นไปจากจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) และ เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) เลย จะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ก็ไม่พ้นไปจากจิตและเจตสิก ทุกครั้งที่จิตเกิดขึ้นจะต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ตามควรแก่ประเภทของจิตนั้นๆ นี้คือ ความจริง เป็นความจริงที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้เพื่อให้ผู้ที่เป็นสาวก ฟัง ศึกษาเพื่อเข้าใจตามความเป็นจริง ว่า จิตและเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวัน สำหรับบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น ถึงแม้จะมีปัจจัยเครื่องอาศัยในชีวิตประจำวันพร้อมทุกอย่างที่จะทำให้ชีวิตดำเนินไปอย่างสะดวกสบายไม่เดือดร้อน ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้ที่มีความสุขอย่างแท้จริง เพราะใจยังเต็มไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยอกุศลประการต่างๆ มีกิเลสอยู่ครบ ยังไม่ได้ดับเลยแม้แต่อย่างเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นว่า อกุศลธรรม เป็นที่พึ่งไม่ได้ ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง มีแต่จะนำมาซึ่งทุกข์ ให้ผลเป็นทุกข์โดยส่วนเดียว ส่วนธรรมที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ คือ กุศลธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง, กุศลที่ได้สะสมไว้ ไม่สูญหายไปไหน และ ที่สำคัญ กุศล ให้ผลเป็นสุข ไม่นำทุกข์มาให้เลยแม้แต่น้อย
ดังนั้น การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ แล้วน้อมปฏิบัติตามพระธรรม ตามกำลังสติปัญญาของตนเอง ย่อมจะเป็นหนทางที่ทำให้พบกับความสุขที่แท้จริงได้ เป็นผู้มีที่พึ่ง สามารถทำให้พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงได้ในที่สุด เหมือนอย่างพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีตที่ท่านดำเนินไปถึงตรงนั้นแล้ว ด้วยปัญญาที่เข้าใจถูกในหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ที่เริ่มด้วยความเห็นถูก ประการสำคัญที่จะต้องพิจารณา คือ ก่อนอื่น ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกตั้งแต่ในขณะนี้ จึงจะสามารถไปถึงการดับกิเลสได้ เป็นผู้ที่ได้ที่พึ่งที่ได้อย่างยากแสนยาก คือ ความเป็นพระอรหันต์ ครับ. ...ขอบพระคุณพี่เมตตาและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา อ. คำปั่น , คุณpaderm
ที่ให้ความละเอียด ลึกซึ้งของธรรม
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ