ภัยของห้วงน้ำ คือ สังสารวัฏฏ์ [อุทกูปมสูตร]
คิดว่าอยู่สบาย แต่ความจริงแล้ว กำลังถูกท่วมทับด้วยห้วงน้ำใหญ่ (คือ โอฆะ ๔ ได้แก่ กาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ) ผู้มีปัญญาจึงเห็นภัยของสังสารวัฏฏ์ ขวนขวายการพ้นจากสังสารวัฏฏ์คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งโดยละเอียดแล้ว หมายถึง แม้ขณะจิตที่เกิดดับ สืบต่อ
อ่านข้อความเตือนสติทั้งหมดจากอุทกูปม สูตร..ข้อความเตือนสติเรื่องอุทกูปมสูตร
ทำไม โลภะ ทิฏฐิ โมหะ จึงยิ่งใหญ่ฉุดเราให้จมอยู่ในห้วงน้ำ เจตสิกดวงอื่นอีก11 ดวง ทำได้มั้ยค่ะ
เรียนความคิดเห็นที่ 3 ครับ
ทำไม โลภะ ทิฏฐิ โมหะ จึงยิ่งใหญ่ฉุดเราให้จมอยู่ในห้วงน้ำ
ห้วงน้ำคือสังสารวัฏฏ์คือการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งก็คือสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิกที่เกิดขึ้นและดับไปสืบต่อกันไม่มีที่สิ้นสุดครับ เป็นสังสารวัฏฏ์ เหตุที่ทำให้มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมไม่มีที่สิ้นสุด อันเรียกสมมติว่ามีการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น เพราะอกุศลธรรม ซึ่งอกุศลธรรมก็มีหลายประเภท แต่รากเหง้า
ต้นเหตุที่ทำให้เกิดอกุศลธรรมประการต่างๆ ก็คือ อวิชชา ความไม่รู้ (โมหะ) อวิชชา พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า อวิชชา โมหะ เป็นหัวหน้าของอกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นประธรรม เพราะมีความไม่รู้ จึงทำอกุศลกรรมที่เป็นบาปบ้าง ทำกุศลกรรมบ้าง ทำให้เป็นปัจจัยแก่สังขาร (เจตนาที่เป็นกรรม) ทำให้เกิดวิญญาณ (ปฏิสนธิวิญญาณ) การเกิด ทำให้เกิดนาม รูป จึงเป็นสังสารวัฏฏ์ทีเ่ป็นห้วงน้ำไม่มีที่สิ้นสุด เพราะความไม่รู้ และอวิชชา โมหะ ถ้าศึกษาพระอภิธรรม ขณะที่เป็นอกุศลจิตไม่ว่าประเภทใด ก็จะมีโมหเจตสิกเกิดร่วมด้วยเสมอครับ และเพราะความเห็นผิด (ทิฏฐิ) ที่เห็นผิดก็ย่อมปฏิบัติผิด ก็ย่อมไม่สามารถออกไปจากสังสารวัฏฏ์ได้ เพราะมีความเห็นผิดนั่นเอง ผู้ที่เห็นผิดดิ่ง พระองค์ทรงแสดงว่าเป็นตอของสังสารวัฏฏ์คือไม่สามารถจะออกจากสังสารวัฏฏ์ได้เลยครับ และโลภะก็เป็นสมุทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ นำมาซึ่งทุกข์ในปัจจุบันและทุกข์คือสังสารวัฏฏ์ครับ
เพราะฉะนั้น อกุศลมีมากมายก็จริง แต่อกุศลที่เป็นต้นเหตุ อกุศลที่ทำให้เห็นผิดแล้วก็ไม่หลุดพ้น และอกุศลที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง ทั้ง โลภะ ทิฏฐิและอวิชชา (โมหะ) ย่อมทำให้เหล่าสัตว์จมอยู่ในห้วงน้ำ คือ สังสารวัฏฏ์และ ห้วงน้ำคือความไม่รู้ครับ การอบรมปัญญาที่ถูกต้อง ย่อมข้ามห้วงน้ำนี้ได้ จนถึงฝั่งคือพระนิพพานครับ ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.เผดิม ค่ะ กราบขอบพระคุณอย่างสูง ได้เข้าใจชัดเจนค่ะ ทำให้เชื่อมกับอริยสัจจ์๔ คือ โลภะเป็นสมุทัย ดิฉันขอให้ โลภะ ทิฏฐิ อวิชชา ในตัวดิฉันเองเบาบางลงด้วย การพยายามไม่ให้เกิดขึ้นมาเพิ่มที่มีอยู่ ก็จะพยายามละให้ได้บ้างค่ะ และทำกุศลให้เกิดและเจริญรุ่งเรืองขึ้นต่อๆ ไปค่ะ