การสร้างจักรวาล
เรียนท่านวิทยากร ขอเรียนถามว่า
๑ ในพระไตรปิฎกมีการกล่าวถึงการสร้างจักรวาล ที่เราอยู่คือโลกนี้หรือไม่
๒ เรื่องการสร้าง รูป อ่านจากพระอภิธรรมมาบ้าง แล้วยังไม่เข้าใจ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
โดยเฉพาะ ที่มีคำว่า กลาปะ นี้เป็นหน่วยอะไรในรูป
๓ ในการสร้างรูปของกามาวจรเช่น คน นี้ เวลา จุติแล้วมาปฏิสนธิให้เกิดเป็น คนนี่
อาศัยจิต ใดมาปฏิสนธิ แล้วทำไมมาเกิดเป็นคนสวย ขี้เหร่ พิการ อาการครบ ทั้งนนี้
เพราะมีเหตุปัจจัยอะไรคะ
๔. ในเรื่องภาวะรูป คนผู้หญิงและผู้ชาย มี ภาวะรูปสองคือทั้งอิถถินภาวะรูปและปุริสสิน
ใช่ไหม ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย๑. ในพระไตรปิฎกมีการกล่าวถึงการสร้างจักรวาล ที่เราอยู่คือโลกนี้หรือไม่
ในพระไตรปิฎก แสดงถึงเรื่องการสร้างโลกและจักรวาลไว้ด้วย เพราะพระพุทธเจ้า
ทรงเป็นโลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลกตามความเป็นจริงทั้งหมด ทั้งโลกที่เป็นจักรวาล ที่
เป็นโอกาสโลก พระองค์ก็รู้ทั้งหมด โลกที่เป็นสัตวโลกคือหมู่สัตวทั้งหมดและสังขาร
โลก คือสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ทั้งหมด ที่เกิดขึ้นดับไปตามความเป็นจริงครับ
ซึ่งในส่วนในเรื่องที่เป็นโอกาสโลก ที่เป็นกำเนิดโลกและจักรวาล พระพุทธองค์
แสดงไว้ว่า เมื่อถึงคราวที่กัปพินาศ โลกและจักรวาลก็ถูกทำลายทั้งหมด จาก ลม
และไฟ เป็นต้น และเมื่อจักรวาลถูกทำลายหมดแล้ว ผ่านไปนาน ฝนก็จะค่อยๆ ตก
จนเต็มจักรวาล และก็เวลาผ่านไปนานอีก เทวโลก็ปรากฎ พรหมโลก็ปรากฎ สัตว์ที่
เป็นพรหมมีอยู่เป็นส่วนมาก และก็ค่อยๆ เริ่มเกิดเพศชาย หญิง วันเวลา เป็นไปตาม
ลำดับครับ นี่กล่าวเพียงย่อๆ ในส่วนการกำเนิดของจักรวาล ซึ่งสามารถหาอ่านได้ ใน
คัมภีร์วิสุทธิมรรค ในหมวดปัญญา ในเรื่องปุพเพนิวาสนุสสติญาณ และในพระไตรปิฎก
ในพระสูตร อัคคัญญสูตรครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ... การกำเนิดโลก และมนุษย์ต้นกัปป์ [อัคคัญญสูตร] ---------------------------------------------------------------------------
ที่สำคัญ การจะเข้าใจความจริงและถึงการดับกิเลสได้ ก็ด้วยปัญญาที่รู้ความจริงใน
โลก ที่เราไม่เคยรู้เลย คือ โลกที่เป็นสังขารโลก อันเป็นสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้
ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ โดยเริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจนั่นเองครับ
2.เรื่องการสร้าง รูป อ่านจากพระอภิธรรมมาบ้าง แล้วยังไม่เข้าใจ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
โดยเฉพาะ ที่มีคำว่า กลาปะ นี้เป็นหน่วยอะไรในรูป
รูปเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ไม่รูอะไร เมื่อรูปเกิดขึ้น จะไม่เกิดขึ้น
เพียงรูปด้วย แต่ต้องอาศัยรูปอื่นๆ เกิดร่วมด้วยครับ อย่างน้อยที่สุด 8 รูป มีรูปที่เกิด
พร้อมกันและอาศัยกันเกิดขึ้นหลายรูป รวมกันเป็น ๑ กลุ่มเล็กๆ ซึ่งแยกออกจากกัน
ไม่ได้เลย ภาษาบาลีเรียกว่า ๑ กลาป
กลาป หมายถึง กลุ่มของรูปซึ่งประชุมรวมกันอยู่ เป็นส่วนที่เล็กที่สุดของรูปธรรม
ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่รู้อารมณ์ ส่วนละเอียดของรูปธรรมนี้อย่างน้อยที่สุดมี ๘ รูป
ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา เรียกกลุ่มนี้ว่า อวินิโภครูป (รูปที่ไม่
สามารถแยกออกจากกันได้) หรือ สุทธัฏฐกกลาป (กลุ่มของรูปที่มี ๘ รูปล้วน) กลาป
หรือกลุ่มของรูป ไม่ได้มีเพียง ๘ รูปเท่านั้น บางกลาปมี ๙ รูป บางกลาปมี ๑๐ รูป
บางกลาปมี ๑๑, ๑๒, ๑๓ รูป ขึ้นอยู่กับกลุ่มของรูปนั้นเกิดจากสมุฏฐานใด
ดังนั้น กลาป จึงหมายถึง กลุ่มของรูปที่ประชุมรวมกัน อาศัยกันละกันนั่นเองครับ
ซึ่งการเกิดของรูป รูปจะเกิดขึ้นด้วย สมุฏฐาน 4 อย่างคือ กรรม จิต อุตุ อาหาร ครับ นี่
คือการเกิดขึ้นของรูปครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ... หลายรูปรวมกันเป็นกลาป
3.ในการสร้างรูปของกามาวจรเช่น คน นี้ เวลา จุติแล้วมาปฏิสนธิให้เกิดเป็น คนนี่
อาศัยจิต ใดมาปฏิสนธิ แล้วทำไมมาเกิดเป็นคนสวย ขี้เหร่ พิการ อาการครบ ทั้งนนี้
เพราะมีเหตุปัจจัยอะไรคะ
เมื่อจุติเกิดขึ้นคือตายจากความเป็นบุคคลนี้ ก็มีกรรมใดกรรมหนึ่งที่เคยทำไว้ เป็น
ปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิจิต และขณะที่ปฏฺสนธิจิตเกิดก็มี รูปที่เกิดพร้อมจิตนั้นด้วยครับ
เกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต รูปที่เกิดพร้อมปฏิสนธิจิต ก็มี หทยัยวัตถุรูป กายปสาทรูป
เป็นต้น และขณะต่อๆ มาก็มีรูปอื่นๆ เกิดต่อมา เช่น จักขุปสาท (ตา) เป็นต้นครับ ดังนั้น
เพราะอาศัยกรรมในอดีตที่ทำไว้นั่นเอง เป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิจิตและรูปอื่นๆ ด้วยครับ
และจากคำถามที่ว่าทำไมบางคนมีรูปสวย บางคนไม่สวย ขี้เหร่ พิการ เป็นต้น เพราะ
อะไร ก็เพราะกรรมในอดีตที่ทำมาให้ผลครับ กรรมที่ไม่ดี ไม่ประณีต ก็ทำให้เกิดรูปไม่ดี
น่าเกลี่ยด เป็นต้นครับ เพราะกุศลกรรมอย่างอ่อน นำเกิดก็ทำให้เกิดมาพิการตั้งแต่
กำเนิด เป็นต้นครับ ดังนั้นเพราะกรรมไม่ดี หรือ อกุศลกรรมให้ผล และกุศลกรรมอย่าง
อ่อนให้ผล ก็เป็นปัจจัยให้เกิดมามีรูปร่างหน้าตาไม่ดี หรือ พิการครับ ส่วนบางคนรูปร่าง
หน้าตาดี ก็เพราะผลของกรรมที่ดี ที่ทำไว้ให้ผลนั่นเองครับ ดังที่พระพุทธเจ้าได้แสดง
ว่า สัตว์ทั้งหลาย แตกต่างกันไป เพราะความแตกต่างกันมาของกรรมที่ทำมานั่นเองครับ
4.ในเรื่องภาวะรูป คนผู้หญิงและผู้ชาย มี ภาวะรูปสองคือทั้งอิถถินภาวะรูปและปุริสสิน
ใช่ไหม ขออนุโมทนาค่ะ
ภาวรูป มี 2 คือ รูปที่เป็นสุมรูป ที่แผ่ไปทั่วร่างกาย อันแสดงความเป็นหญิงและชาย
ครับ มี 2 รูปคือ ปุริสภาวรูป และ อิตถีภาวรูป เพราะฉะนั้นการที่สัตว์บุคคลทั้งหลาย
โดยทั่วไปต่างกันเป็นหญิงและชายนั้นเพราะภาวรูป ๒
ปุริสภาวรูป รูปที่แสดงความเป็นชาย มีลักษณะที่ซึมซาบอยู่ทั่วร่างกาย โดยแสดง
ความเป็นชาย คือ ทำให้ปรากฏเป็นทรวดทรง สัณฐานกิริยา อาการของเพศชาย
อิตถีภาวรูป คือ รูปที่แสดงความเป็นหญิงมีลักษณะที่ซึมซาบอยู่ทั่วร่างกาย แสดง
ความเป็นหญิง คือทำให้ปรากฏเป็นทรวดทรง สัณฐานกิริยา อาการของเพศหญิง
ในแต่ละบุคคลจะมีภาวรูปหนึ่งภาวรูปใด คือ อิตถีภาวรูป หรือ ปุริสภาวรูปเท่านั้น
และบางบุคคลก็ไม่มีภาวรูปเลย เช่น พรหมบุคคลในพรหมโลก และผู้ที่เป็นกะเทยครับ
ดังนั้นไม่มีบุคคลใดเลยที่จะมี ภาวรูปทั้ง 2 รูปครับ จะต้องมีเพียงรูปใดรูปหนึ่งของ
ภาวรูป หรือ ไม่มีเลยครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ.. ภาวรูป ๒ คือ อิตถีภาวรูป และปุริสภาวรูป ปุริสภาวรูป
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาเพื่อความเข้าใจถูกครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
กราบอนุโมทนาในธรรมทานค่ะ เรื่องโลก เมื่อถึงคราวที่กัปพินาศ โลกและจักรวาลก็ถูกทำลายทั้งหมด จาก ลม และไฟ เป็นต้น และเมื่อจักรวาลถูกทำลายหมดแล้ว
นรก โลกถูกทำลาย สวรรค์ถูกทำลายไปหลายชั้นมาก (แต่ก็ยังมีเหลือ
ชั้นสูงๆ ไม่ถูกทำลาย) แล้ว เทวดา มนุษย์ พวกอบายภูมิ
จะไปอยู่ที่ไหนกันค่ะ ดิฉันสงสัยมานานแล้ว ถามพระอาจารย์ท่านก็ไม่
อธิบายให้ฟัง ท่านว่าให้คอยไปเรียนในชั้นต่อไปค่ะ ช่วยตอบด้วยค่ะ
สงสัยเหมือนกันค่ะ
เรียนความเห็นที่ 5 ครับ
เทวดาและมนุษย์ส่วนมากอบรมฌานกันก่อนถึงกัปพินาศ ดังนั้นสัตว์โลกส่วนมากจึง
ไปเกิดเป็นพรหมส่วนใหญ่ ในชั้นที่ไฟและลมทำลายไม่ถึงครับ ส่วนสัตว์อบาย เช่น
โลกันตริยนรก ที่เป็นช่องว่างระหว่างจักรวาล 3 จักรวาล บางครั้งท่านแสดงว่าไฟไหม้
ไม่ถึง เป็นต้นครับ แต่โดยมากสัตว์โลก เมื่อรู้ว่ากัปจะพินาศก็จะอบรมฌานกัน ไปเกิดใน
พรหมโลกเป็นส่วนใหญ่ครับ ขออนุโมทนา
อ.เผดิมครับ,ธรรมดา”สัตตะ”ใน”ภพภูมิ”ต่างๆ ที่ถึงคราว”จุติ”และต้อง”ปฏิสนธิ”เป็น
มนุษย์โดย”กรรม”นำพาย่อมจะมีมากกว่า”รูป”ของมนุษย์ซึ่งพร้อมที่จะให้”จุติจิต”มา
“ปฏิสนธิ”,แล้วเช่นนี้”จุติจิต”ซึ่งปกติถึงวาระต้อง”เกิด”และต้อง”ดับ”ในความเร็วกว่า
“พริบตา”จะเป็นอย่างไร?,หรือถ้าต้องไป”ปฏิสนธิ”ใน”ภพภูมิ”อื่นไปพรางก่อน,จะไม่
เป็นการ”เบี่ยงเบน”ไปจาก”หลัก (กฎ) ของกรรม”หรือครับ?...ขอบคุณครับ...
เรียนความเห็นที่ 7 ครับ
ไม่ผิดหลักกฎแห่งกรรมหรอกครับ เพราะกฎแห่งกรรมก็ต้องยึดหลักคือ มีเหตุและก็ต้อง
มีผล เหตุถูกมี ผลที่ถูกก็ต้องมีครับ ดังนั้น ผู้ที่อบรมฌาน ก่อนกัปจะพินาศมีมาก เมื่อจุติ
ฌานไม่เสื่อมก็ไปเกิดที่พรหมโลกนั่นเองครับ ดังนั้นเป็นไปตามกฎแห่งกรรม คือ มีเหตุ
คือการทำฌาน และผลคือการเกิดในพรหมโลกครับ