ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๐๖

 
khampan.a
วันที่  6 ก.ค. 2554
หมายเลข  18692
อ่าน  2,068

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมในแต่ละครั้งรวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖]

[๑] พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ เพื่อทรงตรัสรู้ธรรม และ ทรงแสดงหนทางที่เป็นไปเพื่อดับกิเลสทั้งหมดแก่สัตว์โลก

[๒] จุดมุ่งหมายสูงสุดของการทรงแสดงพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้บรรลุถึงการดับทุกข์ได้อย่างแท้จริงไม่ใช่เพียงแก้ทุกข์ชั่วคราวอย่างคนที่รักษาโรคให้หายชั่วคราวแล้วก็เป็นอีก อย่างนี้ไม่ชื่อว่าการดับทุกข์อย่างแท้จริงเพราะการดับทุกข์ที่แท้จริงต้องดับที่กิเลสอันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง

[๓] บุคคลผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ชื่อว่าพุทธศาสนิกชนเพราะยังไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อรู้ตัวว่ายังไม่เข้าใจคำสอน ก็ควรจะเริ่มศึกษาให้เข้าใจยิ่งขึ้น

[๔] อวิชชาหรือโมหะ ซึ่งเป็นความหลง ความไม่รู้ นี้ มีกันทุกคน (พระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่มีอวิชชา) อวิชชา เป็นต้นเหตุของกิเลสทุกประเภท ที่เกิดโลภะความติดข้องต้องการ หรือที่เกิดโทสะ ความโกรธความขุ่นเคืองใจ ก็เพราะมีอวิชชา ความไม่รู้ เป็นเหตุ

[๕] เมื่อยังมีเหตุปัจจัยที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด ก็ต้องเกิด ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ต้องเกิดอีกแน่นอน ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ก็ต้องเกิด เหมือนกับชาตินี้ ก็ไม่รู้ แต่ก็เกิดมาแล้ว ไม่ใช่ว่าอยากจะเกิดที่ไหนวันไหนก็ได้ แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน ก็เกิดเมื่อนั้น และ ที่นั้น

[๖] ในชาตินี้ ความเข้าใจยังน้อย ก็จะต้องสะสมศรัทธา มีความมั่นคงที่จะฟัง ที่จะศึกษาธรรมต่อไปด้วยความไม่ท้อถอย สะสมเป็นเหตุที่ดีไว้ ค่อยๆ ออกห่างจากความเสื่อมที่เลวร้ายที่สุด (คือความเสื่อมจากปัญญา) ไปทีละเล็กทีละน้อย

[๗] สภาพจิตที่เอื้อเฟื้อเผือแผ่ มีเมตตาช่วยเหลือคนอื่น แม้เพียงเล็กน้อย ก็เป็นกุศล บางคนมีวาจางาม คิดถึงใจเขาใจเรา คำพูดที่จะทำให้คนอื่นเสียใจ ก็งดเว้นไม่กล่าวคำอย่างนั้น

[๘] ไม่ควรจะใช้คำว่า วิปัสสนา ในเมื่อยังไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจตามปกติในชีวิตประจำวัน

[๙] การศึกษาธรรมนั้น เป็นการศึกษาสภาพธรรมที่มีจริงและกำลังปรากฏทุกๆ ขณะในชีวิต เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรม ทั้งหมด ขณะใดก็ตามที่ตรึกอยู่ด้วยอกุศลวิตกก็ตาม หลับอยู่ก็ตาม ขณะนั้นบุญไม่เจริญแต่เมื่อใดที่สติเกิดระลึกได้เป็นไปในกุศลประการต่างๆ กล่าวคือ ระลึกเป็นไปในทาน ศีล ความสงบของจิต และการอบรมเจริญปัญญา เมื่อนั้นบุญย่อมเจริญ ซึ่งไม่จำกัดเลย กรรมเป็นเหตุปัจจัยให้แต่ละบุคคลมีสุข มีทุกข์ต่างกัน เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ต่างกัน ถ้าไม่มีกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นเหตุเป็นปัจจัยสภาพธรรมต่างๆ เหล่านี้ก็จะเกิดปรากฏไม่ได้ (ทำผิดแล้ว เราก็ต้องขอโทษ คนดีๆ เขาจะไม่โกรธ มีแต่จะยกโทษให้อภัย) เมื่อกระทำผิด ถ้าขอโทษได้ ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิต พร้อมที่จะขอโทษในสิ่งที่เราได้กระทำไม่ดี ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใครก็ตาม เพราะเราเป็นผู้กระทำผิด

[๑๐] ถึงเขาจะชั่วช้าเลวทรามสิ้นดี อย่างไร ก็ไม่ควรไปโกรธ ไปเกลียดเขาเสียดายใจของเราที่โกรธ เกลียดเขา ในขณะนั้นเพิ่มกิเลสให้กับตนเเพราะไม่มีพระพุทธพจน์แม้แต่บทเดียวที่สอนหรือส่งเสริมให้คนมีกิเลสแม้เพียงชั่วขณะเดียว

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๕ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ผ้าเช็ดธุลี
วันที่ 6 ก.ค. 2554

กราบขออนุโมทนาบุญ

และ

ขอบพระคุณที่เอื้อเฟื้อสิ่งดีดีที่สุดครับ

ขอให้อาจารย์สุจินต์ของผม และ อาจารย์คำปั่น มีความสุขมากที่สุดครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 6 ก.ค. 2554

ถึงเขาจะชั่วช้าเลวทรามสิ้นดี อย่างไร ก็ไม่ควรไปโกรธ ไปเกลียดเขาเสียดายใจของเราที่โกรธ เกลียดเขา ในขณะนั้นเพิ่มกิเลสให้กับตนเเพราะไม่มีพระพุทธพจน์แม้แต่บทเดียวที่สอนหรือส่งเสริมให้คนมีกิเลสแม้เพียงชั่วขณะเดียว.

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Noparat
วันที่ 6 ก.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
พุทธรักษา
วันที่ 6 ก.ค. 2554
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Maimii
วันที่ 7 ก.ค. 2554
กราบอนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 7 ก.ค. 2554

ไม่ควรจะใช้คำว่า วิปัสสนา ในเมื่อยังไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจตามปกติในชีวิตประจำวัน

... ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 7 ก.ค. 2554

อวิชชา เป็นต้นเหตุของกิเลสทุกประเภท ที่เกิดโลภะความติดข้องต้องการ หรือที่เกิดโทสะ ความโกรธความขุ่นเคืองใจ ก็เพราะมีอวิชชา ความไม่รู้ เป็นเหตุ หนทางเดียวคือเจริญวิชชาเพื่อละความไม่รู้ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
raynu.p
วันที่ 7 ก.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 7 ก.ค. 2554

[ทำผิดแล้ว เราก็ต้องขอโทษ คนดีๆ เขาจะไม่โกรธ มีแต่จะยกโทษให้อภัย] เมื่อกระทำผิด ถ้าขอโทษได้ ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิต พร้อมที่จะขอโทษในสิ่งที่เราได้กระทำไม่ดี ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใครก็ตาม เพราะเราเป็นผู้กระทำผิด

กราบเท้าท่านอาจารย์

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณคำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
aditap
วันที่ 7 ก.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
nong
วันที่ 7 ก.ค. 2554

สภาพจิตที่เอื้อเฟื้อเผือแผ่ มีเมตตาช่วยเหลือคนอื่น แม้เพียงเล็กน้อย ก็เป็นกุศล บางคนมีวาจางาม คิดถึงใจเขาใจเรา คำพูดที่จะทำให้คนอื่นเสียใจ ก็งดเว้นไม่กล่าวคำอย่างนั้น .....

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 7 ก.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
wittawat
วันที่ 8 ก.ค. 2554

ขออนุโมทนาครับ

เมื่อทำผิดแล้วก็ต้องขอโทษครับ คนดีๆ จะไม่โกรธ มีแต่จะให้อภัย ถ้าโกรธขุ่นเคืองก็เพราะ อวิชชาเป็นเหตุ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
พร้อมเสมอ
วันที่ 8 ก.ค. 2554
ขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
Jans
วันที่ 12 ก.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
พรรณี
วันที่ 15 ก.ค. 2554

ขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
homenumber5
วันที่ 31 ก.ค. 2554

เรียนอ คำปัน

สรุปว่า สัตว มีวิปากของเขา หากเขาไม่มาเบียดเบียนเราก็เรื่องของเขา ตามวิบาก ช่างเขา หากเขามาเบียดเบียนเรา เราต้องคิดว่าเป็นวิบากของเรา ดีที่สุดคือ สิกขาธรรมให้เข้าใจและ สร้างอภัยทาน ทานอันยิ่งใหญ่แก่เขาไป คิดแบบนี้ เป็นกุสล ไหมคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
khampan.a
วันที่ 31 ก.ค. 2554
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 18692 ความคิดเห็นที่ 18 โดย homenumber5

เรียนอ คำปัน

สรุปว่า สัตว มีวิปากของเขา หากเขาไม่มาเบียดเบียนเราก็เรื่องของเขา ตามวิบาก ช่างเขา หากเขามาเบียดเบียนเรา เราต้องคิดว่าเป็นวิบากของเรา ดีที่สุดคือ สิกขาธรรมให้เข้าใจและ สร้างอภัยทาน ทานอันยิ่งใหญ่แก่เขาไป คิดแบบนี้ เป็นกุสล ไหมคะ

ต้องเข้าใจว่า วิบาก นั้น เป็นผลของกรรม ซึ่งไม่พ้นไปจากขณะที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ที่น่าปรารถนาบ้าง ไม่น่าปรารถนาบ้าง ตามกรรมที่ได้กระทำแล้วที่ถึงคราวให้ผล ถ้าได้รับสิ่งที่น่าปรารถนา ก็เป็นผลของกุศลกรรม แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม แล้ว ย่อมทำให้ได้รับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา แต่ละบุคคลมีการสะสมที่แตกต่างกัน มีความประพฤติเป็นไปต่างกัน ควรที่จะเห็นใจคนที่มีกิเลสด้วยกัน ด้วยการให้อภัย เข้าใจในการสะสมมาของผู้นั้น พร้อมกันนั้นก็ต้องศึกษา ต้องฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป ตามที่คุณ homenumber5 ได้แล้วไว้ ว่า "ดีที่สุดคือ ศึกษาธรรมให้เข้าใจและ ให้อภัยทาน อันเป็นทานอันยิ่งใหญ่แก่เขาไป" เป็นความคิดที่ถูกต้อง ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นอย่างนั้น เพราะพระธรรมคำสอนทั้งหมดเกื้อกูลให้เกิดกุศล ไม่ใช่เป็นอกุศล ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณhomenumber5 และ ทุกๆ ท่านด้วยครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
jaturong
วันที่ 6 ต.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
kullawat
วันที่ 15 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
chatchai.k
วันที่ 29 ต.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
worrasak
วันที่ 23 พ.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ