ทุกข์เหลือเกิน
กรณีที่เราต้องทนทุกข์อยู่กับคนที่ทำให้เราทุกข์กาย ทุกข์ใจ (เขาผู้นั้นเบียดเบียนเรา) ถ้า เรามีความปรารถนาว่า เราไม่ต้องการพบเจอเขาผู้นั้นอีก (ชาติหน้าและชาติต่อๆ ไป อย่าได้มาพบเจอกันอีกเลย) โดยที่คนๆ นั้น ในปัจจุบัน เค้าก็อยู่ใกล้ชิดเรามากด้วย เราจะมีวิธีการทำบุญ หรือต้องทำอย่างไรบ้างครับ ในทางพระพุทธศาสนาน่ะครับ เรียน ท่านผู้รู้ช่วยให้คำตอบด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ในสังสารวัฏฏ์ที่เกิดมา บุคคลที่ไม่เคยเป็นญาติไม่มี หรือ เกิดมาก็มีความสัมพันธ์แบบ ต่างๆ มาทั้งหมดแล้ว เพราะความยาวนานของสังสารวัฏฏ์ที่นับชาติไม่ถ้วนครับ และต่อ ไปหากยังมีกิเลสก็ต้องวนเวียนันไปในสังสารวัฏฏ์กันอีก ต้องพอเจอกันอีก แต่พอเจอ กันก็อาจจะลืมกันแล้วว่าเป็นใคร เป็นบุคคลใดที่เคยกระทำกรรมที่ไม่ดีกันไว้ครับ และ บางคนในชาตินี้ที่เป็นญาติเราที่ทำดีกับเราในชาตินี้ ในอดีตก็ต้องเคยมีการกระทำไม่ดี ต่อกันแน่นอนครับ เพราะยังมีกิเลสด้วยกันทั้งสิ้น เพราะชาตินี้ก็มาเป็นคนที่ทำดีต่อกันก็ ได้ ทั้งที่ชาติไหนก็ไม่รู้ก็เคยทำไม่ดีกับเรามา นั่นแสดงให้เห็นว่าตราบใดที่ยังมีกิเลส ด้วยกันทุกคนก็ยังมีการกระทำที่ล่วงเกินกันไปตามอำนาจกิเลสและก็ลืมกันไป เพราะชาติใหม่ก็ลืมกันอีก และเจอบุคคลใหม่ที่ทำไม่ดีกับเราอีก เราก็ตั้งใจปรารถนาไม่เจอกับ คนนั้นอีก เป็นอันว่า เราก็ต้องทำบุญไม่เจอกับสัตว์หาประมาณไมได้เลย เพราะที่ล่วง เกินเราในชาตินี้ก็มีไม่มาก แต่ชาติก่อนๆ ชาติหน้า ต้องเจอกับคนที่ล่วงเกินเราเท่าไหร่ ก็นับไม่ได้เลยครับ ดังนั้นจากกันก็ลืมกันไปแล้ว ดังนั้นการทำบุญไม่เจอกัน เท่ากับว่า ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะยังไงก็ต้องเจอกันในสังสารวัฏฏ์ในอนาคตและก็จำกัน ไม่ได้แล้วด้วยครับ
ดังนั้นต้นเหตุปัญหาที่ทำให้ทุกข์ใจ จริงๆ คือ เขา คนอื่น หรือว่า กรรมของเราเองที่ เคยทำไมดีเอาไว้ หากไม่มีกรรมที่ไม่ดีที่ตัวเราเองทำไว้ จะทำให้เราถูกเบียดเบียนได้ อย่างไรครับ ดังนั้นจึงโทษใครไมได้เลยครับ เพราะทำกรรมที่ไม่ดีเอาไว้นั่นเอง ดังนั้น การจะแก้ปัญหา ไม่เจอเหตุการณ์แบบนี้อีก คือ ชาติหน้า อาจไม่เจอคนนี้ที่เบียดเบียนก็ ต้องเจอคนอื่นที่เบียดเบียน และทำไมถึงถูกเบียดเบียนก็เพราะกรรมไม่ดีที่ทำในอดีต นั่นเอง ดังนั้นการแก้ปัญหาคือไม่ใช่การทำบุญไม่ให้เจอคนนั้นที่ทำไมดีกับเรา แต่การ แก้ปัญหาที่ถูกต้องคือ การไม่ทำบาป ทำอกุศลกรรม ไม่ทำเหตุใหม่ที่ไม่ดี ก็จะไม่ถูก เบียดเบียนนั่นเองครับ ดังนั้นเมื่อเห็นโทษของการถูกเบียดเบียนในปัจจุบัน ให้ระลึกไว้ เลยครับว่าเพราะกรรมไม่ดีที่เราได้ทำเอาไว้ ดังนั้นจึงควรสังเวช สลดใจด้วยการที่จะไม่ ทำสิ่งที่ไม่ดีใหม่ อันจะทำให้ได้รับการเบียดเบียนอีกนั่นเอง นี่คือการคิดที่แยบคาย ถูก ต้องครับ
ประการที่สำคัญที่สุดที่ควรพิจาณณาว่าเหตุให้เกิดทุกขข์จริงๆ นั้น ที่ทุกข์ใจเหลือเกิน ก็เพราะกิเลสที่มีอยู่นั่นเองครับ ไมได้อยู่ที่การกระทำคนอื่นเป็นสำคัญ เพราะถ้าไม่มี กิเลส ก็ไม่ต้องทุกข์ แม้ในพุทธกาล มีคนมาทำร้ายพระอริยสาวก ท่านก็ไม่โทษคนนั้น กับบอกว่าเป็นโทษของวัฏฏะที่ต้องเกิดมาและได้รับกรรมไม่ดีต่างๆ เพราะการกระทำ ไม่ดีในอดีตของท่านเอง ดังนั้นท่านจึงไม่ทุกข์ใจ แม้จะได้รับสิ่งที่ไม่ดีมากกมายครับ
ดังนั้นต้นเหตุจริงๆ คือ กิเลสของเราเองที่มีมาก หนาด้วยกิเลสครับ
และจากคำกล่าวที่ว่า โดยที่คนๆ นั้น ในปัจจุบัน เค้าก็อยู่ใกล้ชิดเรามากด้วย ในความเป็นจริงคนที่ใกล้ชิดเราที่สุดและทำให้เราทุกข์ไม่ใช่คนนั้น คนนี้หรอกครับ คนๆ นี้ก็อาจเจอกันเพียงชาตินี้ ชาติหน้าก็เป็นบุคคลใหม่ ลืมกันแล้วครับว่าทำกรรมอะไร กันมา แต่เพื่อนสนิท คนที่ใกล้ชิดเราที่สุด ตามไปทุกหนทุกแห่ง และไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ ด้วยนะครับ ทุกภพ ทุกชาติเลย และก็นำสิ่งที่ไม่ดีมาให้ และก็ทำให้เราเข้าใจผิดไปเสีย ทุกอย่าง เพื่อนสนิทคนนั้นที่ใกล้ชิดเราคือ กิเลส มีโลภะ เป็นต้นครับ เพื่อนสนิทใกล้ ชิดที่สุดที่ทำให้เราเดือดร้อนใจ ทุกข์ใจเหลือเกินก็เพราะเพื่อนคนนี้ คนใกล้ชิดคนนี้ ต่างหากที่ทำให้เดือดร้อน นี่เราพูดด้วยสัจจะความจริงนะครับว่า คนที่ทำให้เดือดร้อน จริงๆ คือกิเลส และเพราะมีกิเลสก็ทำให้มีการกระทำกรรมที่ไม่ดี เมื่อเราทำกรรมไม่ดี เช่น ในอดีตชาติทำกรรมไม่ดี ชาติปัจจุบันเมื่อกรรมไม่ดีให้ผลก็ทำให้ได้รับสิ่งที่ไม่ดีอัน สำคัญว่าเป็นคนอื่นทำให้นั่นเองครับ ดังนั้นเพราะกิเลสจริงๆ ที่เป็นต้นตอของปัญหา
ดังนั้น เหตุการณ์ที่คุณเจอในปัจจุบันก็เพราะกรรมในอดีตที่ไม่ดีที่ได้ทำเองได้ทำไว้ โทษใครไมได้เลย และเมื่อยังมีกรรมไม่ดีในอดีตที่ทำไว้มากกมาย ชาติหน้า ชาติต่อๆ ไป ก็ต้องเจอบุคคลต่างๆ ทำไมดีอีกแน่นอนครับ
การแก้ปัญหาคืออดทน อยู่ด้วความเข้าใจ และ ไม่ทำเหตุใหม่ คือ อกุศลกรรม และ อบรมปัญญาเพื่อละตัวปัญหาที่แท้จริงคือกิเลสครับ ทุกคนก็ต้องทุกข์ใจด้วยกันทั้งนั้น ครับ เพราะยังมีกิเลสแต่เมื่อทุกข์ใจแล้วจะต้องพิจารณาให้ถูกต้องด้วยวิธีที่แยบคาย คือ แก้ที่ต้นเหตุคือศึกษาธรรม อบรมปัญญาเพื่อดับกิเลสครับ ส่วนปัจจุบันจะถูกเบียดเบียน อย่างไร หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีการเกิดก็ต้องได้รับสิ่งที่ไมดี่ทาง ตา หู จมุก ลิ้น กาย ดังนั้นหนทางที่จะไม่ต้องรับสิ่งที่ไม่ดี จากคนอื่นก็คือการไม่เกิดนั่นเองครับ ด้วย การศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมครับ
อดทนและเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นนะครับ เป็นกำลังใจให้กับคุณ lovedhamma ด้วยพระธรรมครับ ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ทุกข์ทางกายเป็นผลของกรรม-ทุกข์ทางใจเกิดจากกิเลส ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย..เหตุดีผลย่อมดีเหตุไม่ดีผลย่อมไม่ดี..เป็นธรรมะ
ลองคลิกฟัง..เผื่อคลายความทุกข์ได้บ้างนะคะ
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด...
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะ.. ส่วนสุด 2 อย่าง
เพราะยังมีกิเลส จึงยังมีทุกข์ ทางเดียวที่จะละคลายทุกข์ คือการศึกษาพระธรรม ให้เข้าใจ เข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ที่เกิดเพราะัเหตุปัจจัย แล้วดับไป ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ เช่น นางรัชชุมาลา เป็นสาวใช้ ได้รับทุกข์ ทรมานจากเจ้านาย ถูกตี ฯลฯ ถึงขนาดนางคิดจะฆ่าตัวตาย แต่พระพุทธเจ้าเสด็จ มาโปรด นางได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ทุกข์ก็เบาบาง ลง ตามกำลังปัญญา ชีวิตที่มีค่าคือการได้ฟังธรรมและเข้าใจธรรมตามลำดับค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกข์ทางกาย เป็นผลของกรรม ถ้าไม่เคยได้กระทำอกุศลกรรมมาเลย ทุกข์ทางกายก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ แต่เพราะถึงคราวที่อกุศลกรรมให้ผล ทุกข์ทางกายจึงเกิดขึ้น ไ่ม่มีการรอดพ้นไปได้ ถ้ากรรมให้ผล แต่ทุกข์ใจ เป็นเรื่องของกิเลส ถูกกิเลสเสียดแทงจิตใจ มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ซึ่งเมื่อได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้นทันที แต่ละบุคคลมีการสะสมมาที่แตกต่างกัน ความคิด การกระทำและคำพูด จึงแตกต่างกันออกไปตามการสะสม มีทั้งส่วนที่ดีและไม่ดี ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ซึ่งเมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้วก็ไม่มีตัวตนสัตว์บุคคลเลย มีแต่ความเป็นไปของสภาพธรรม กล่าวคือ นามธรรม กับ รูปธรรม เท่านั้น ที่สำคัญเราไม่ได้อยู่ในโลกนี้เพียงคนเดียว อยู่รวมกันหลายคน ทั้งเขาทั้งเราก็มีส่วนที่ไม่ดี ด้วยกันทั้งนั้น ตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ถึงการดับกิเลสได้ทั้งหมด จึงควรอย่างยิ่งที่จะเห็นใจคนที่มีกิเลสด้วยกัน ยิ่งถ้ามีการไตร่ตรองพิจารณาเข้าใจในเหตุในผลของธรรมจริงๆ ก็จะมีความเข้าใจ มีความเห็นใจแล้วมีเมตตาในบุคคลนั้นๆ ได้
และควรที่จะพิจารณาว่า การที่บุคคลนั้นจะมีความเห็นและพฤติกรรมที่ไม่ดีอย่างนั้นได้ ต้องมีเหตุมีปัจจัยที่ทำให้เขาเป็นอย่างนั้น เมื่อเขาเป็นอย่างนั้นแล้ว เราก็ควรที่จะเข้าใจเห็นใจ แล้วก็ช่วยแก้ไขเท่าที่สามารถจะช่วยได้ ตามกำลังปัญญาของตนเอง ย่อมจะเป็นประโยชน์กว่าการที่จะเกิดอกุศล กิเลสอกุศลธรรมประการต่างๆ ที่มี อันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์นั้น ต้องอาศัยปัญญาความเข้าใจถูก เห็นถูก ที่เกิดจากการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เท่านั้น จึงจะค่อยๆ ละคลายไปตามลำดับได้ ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว การดับกิเลสเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความเข้าใจพระธรรมจึงเป็นประโยชน์เกื้อกูลสำหรับชีวิตอย่างแท้จริง เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมประการต่างๆ ซึ่งจะเป็นการขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน การได้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเรื่องที่ยากมาก เมื่อได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ขอให้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาต่อไป ชีวิตจะลำบากเดือดร้อนอย่างไร ก็ยังมีค่า มีค่าที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความดีต่อไป [ซึ่งคนทีี่่มีชีิวิตที่สะดวกสบายหลายคน ไม่มีโอกาสอย่างนี้] ครับ .
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สุข หรือ ทุกข์ คิดว่าอยู่ที่ใจนะคะ ถ้าคิดว่าทุกข์เราก็จะทุกข์ ถ้าเราคิดว่าสุขเราก็จะสุขนะ ถ้าเมื่อใดรู้สึกว่าทุกข์เราก็ไปทำบุญโดยการช่วยเหลือผุ้ที่อยู่ในความทุกข์ให้เขาพ้นทุกข์ อย่ามามั่วแต่คิดว่าเรามีทุกข์มากเพราะเราช่วยคนที่ตกทุกข์ได้ยากเราก็จะได้ความสุขมา แทน ที่ความทุกข์ของเรานะคะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ธรรมะเปรียบเสมือนโอสถ ป้องกันและรักษาโรคได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียวค่ะ
ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย..เหตุดีผลย่อมดีเหตุไม่ดีผลย่อมไม่ดี..ทุกข์ก็เป็นธรรมะ ค่ะ ยังมีตัวเราอยู่ทุกข์ก็มีอยู่
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
เรียนท่านวิทยากรและทุกท่าน ทุกข์ เกิดเพราะ เรา มีโมหะ หลงว่า เราทำดีแล้วทำไมเขายังเบียดเบียนเราให้ทุกข์ ถ้าระลึกว่าเพราะกรรมในอดีตที่กระทำไว้แก่เขา มาก่อเป็นวิบากในชาตินี้เขามาก่อทุข์แก่เรา เมื่อรับความจริงแล้วทุกข์ก็คลายลงไปได้ หากคิดดังนี้จะถูกผิดประการใดคะ แต่พอเวลาผ่านไปเราก้จะหลงอีก ว่าจริงหรือที่เราต้องทนทุกข์แบบนี้เพราะกรรมเก่า แล้วเราก็ทุกข์อีก หาทางออกอีก ดิฉันเคยเป็นแบบนี้ค่ะที่สุดคือไม่สนใจว่าทุกข์เพราะอะไร และจะทำอย่างไรให้หายทุกข์ ดิฉันหันมาอ่านธรรมในบ้านธัมมะและสวดมนต์สิกขาพระธรรมตามเวบ หนังสือ ท่านเจ้าของกระทู้เชื่อเถอดว่า สิ่งต่างๆ จะคลี่คลายไปทางที่ดีเอก ใช้เวลาไมนานนัก
เรียนถามท่านวิทยากร หากคิดแบบนี้ ถูกต้องหรือไม่คะ กรรมในอดีตเป็นวิบากในชาติปัจจุบัน เวลาปัจจุบันเป็นเวลาที่ต้องสิกขาธรรมเพื่อแก้ไข และทำให้ถูกต้องจะได้ไม่สร้างอกุสลกรรมต่อตนเองและสัตวอื่นๆ ใหเป็นอกุสลวิบากในชาติ ต่อๆ ไป
เรียนความเห็นที่ 12 ครับ
การคิดพิจารณาที่ถูกคือ การที่ได้รับสิ่งที่ไม่ดีในปัจจุบัน คือ การเห็น การได้ยิน การ ได้กลิ่น การลิ้มรส การู้กระทบสัมผัสที่ไม่ดี่ เกิดจากการกระทำกรรมในอดีตที่ไม่ดีเอาไว้ เมื่อกรรมนั้นให้ผล ก็ทำให้ได้รับสิ่งที่ไม่ดี แต่ขณะที่ทุกข์ใจ เป็นกิเลสของเราเอง ไม่ เกี่ยวกับกรรมในอดีตที่ทำไว้ครับ ดังนั้นการพิจารณาถูกอย่างนี้เป็นกุศลในขณะนั้น ขณะนั้นไม่ทุกข์ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเมื่อเป็นปุถุชน ก็ยังมกิเลสมาก เมื่อคิดถูกได้ไม่นาน ก็คิดผิดตามอกุศลที่สะสมมามากกว่ากุศลมากนั่นเองครับ เป็นธรรมดา
เรียนความเห็นที่ 13 ครับ
ถูกต้องครับ การได้รับสิ่งที่ไม่ดีเพราะกรรมในอดีตที่เป็นอกุศลกรรมได้ทำไว้ ผู้ที่จะไม่ ได้รับวิบากอีกเลย คือ ผู้ที่ไม่เกิด ไม่มีขันธ์ 5 ดังนั้นหนทางที่จะไม่เกิด คือ การศึกษา พระธรรม ดับกิเลสที่เป็นสาเหตุของการเกิดครับ ดังนั้นอีกยาวนานที่จะต้องได้รับผล ของกรรมที่ไม่ดีเพราะยังต้องเกิดอีกมาก และก็ทำกรรมไม่ดีในอดีตชาิืติไว้มาก และเมื่อ ยังมีกิเลสมาก ในอนาคตก็ยังจะทำอกุศลกรรมได้แน่นอน จึงขอให้เข้าใจถึงความเป็น ธรรมและประโยชน์คือศึกษาพระธรรมในปัจจุบันชาติ สะสมปัญญา ขออนุโมทนาที่ เข้าใจถูกครับ
เรียน ท่านความเห็นที่ 15
จากกระทู้ที่กล่าวถึงว่าโลกนี้กำลังถูก วัตถุ และอกุสลครอบงำ เป็นไปตามพุทธ ทำนายว่าโลกหลังกึ่งพุทธกาล คนที่มีกุสลธรรมจะมีน้อยกว่า ต้องพา กันไปหาที่สงบเพื่ออบรม เจริญะรรม แล้ว ลูกหลานของเราที่จำเป็นต้องดำเนินชีวิตต่อ ไปในยุคนี้ด้วยวิบากเก่านั้น เขาก็ ต้องศึกษาวิชาเพื่อทำมาหากินและเขาต้องไปแย่งชิง ในหมู่คนที่มากด้วยอกุสล ท่านวิทยากร จะแนะนำเขาซึ่งอยู่ในวัยรุ่นอย่างไร และพ่อแม่ เขาด้วย เร็วๆ นี้ทราบว่ามีเด็กชายวัยรุ่นทั้งติดยา มีความสัมพันธ์กับหญิงไม่เหมาะสมพ่อ แม่จึงให้ไปบวช เป็นเณรเพื่อบวชเรียน สังคมพุทธ สังคมวัด ทำแบบนี้ดีหรือ พระภิกษุ ท่านมีกิจมากมาย เท่าที่ทราบส่วนที่เป็นภัยพระพุทธศาสนาก็เป็นประเภทนี้ อายุมาก ป่วยเรื้อรัง เด็กไม่มี คนดูแล ก็ให้มาเป็นเพศบรรพชิต แล้วศาสนาพุทธในประเทศไทย จะ มีอนาคตอย่างไร ขอ ท่าน วิทยากรช่วยชี้แนะด้วย
เรียนความเห็นที่ 16 ครับ
โลกต้องดำเนินไปตามเหตุปัจจัย ตามยุคเสื่อม แม้ลูกหลานในปัจจุบันและอนาคต พวกเขาก็ต้องดำเนินไปตามเหตุปัจจัยที่สะสมมา ผู้ใดสะสมศรัทธาปัญญามา แม้เกิด ในอนาคต และมีจำนวนน้อย เมื่อมีเหตุปัจจัยก็ต้องได้พบพระธรรม ได้พบหนทางที่ถูก ผู้ที่สะสมกิเลส ไม่สะสมความเห็นถูกมา ไม่ว่าเกิดในยุคสมัยไหน และยิ่งเกิดในสมัยยุค เสื่อมก็ต้องไหลไปตามอำนาจกิเลส และทุจริตต่างๆ เป็นธรรมจริงๆ ครับ ต่างคนก็ต่างมี เหตุปัจจัยต่างๆ กันไปและก็ดำเนินไปตามเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นของแต่ละคน แม้แต่การ บวชในปัจจุบัน จุดประสงค์ก็ผิดไปจากสมัยพุทธกาล นั่นก็แสดงถึงความเสื่อมไปของ พระพุทธศานาและอื่นๆ ก็บังคับบัญชาไมได้เลยครับ ดังนั้นศาสนาพุทธจะเป็นอย่างไร ก็ต้องเสื่อมไปเรื่อยๆ ไม่เช่นนั้น พระศาสนาก็จะไม่อันตรธานหมดไปเมื่อเวลา 5000 ปี แน่นอนครับ นี่ก็พันปีที่ 3 แล้ว จึงเป็นธรรมดา ความห่วง ควรจะเป็นความเข้าใจความ จริงที่โลกต้องเป็นไปอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ก็เริ่มที่ตัวเราที่มีความเข้าใจถูก และ เมื่อมีความเข้าใจถูกบ้างก็สามารถแนะนำกับบุคคลที่เขาจะพอรับฟังพระธรรมและสะสม ปัญญามา ส่วนผู้อื่น สังคม วัด คงไม่สามารถแก้ได้ทั้งหมดเพราะต้องเสื่อมไปเป็นอย่าง นั้นเป็นธรรมดานั่นเองครับ
ขออนุโมทนา