ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๐๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมในแต่ละครั้งรวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๙]
[๑] บุคคลผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ศึกษาพระธรรม จะเป็นผู้ถึงความเจริญด้วยปัญญาไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าความเจริญจริงๆ ไม่ใช่ความเจริญทางวัตถุ หรือ ความเพิ่มมากขึ้นของความโลภ ความติดข้องต้องการหรือแสวงหาในสิ่งที่คิดว่าน่าปรารถนาคือ ลาภ ยศ สักการะ สรรเสริญ สุข แต่ความเจริญจริงๆ เป็นความเจริญของจิต ซึ่งเริ่มมีปัญญาที่เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูกเลย อะไรที่เจริญ? ย่อมเป็นความไม่รู้ และ อกุศลต่างๆ ที่เกิดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิดพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง
[๒] ทุกคนที่เกิดมา ล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วจะไม่ตาย เมื่อตายไปแล้วไม่มีอะไรติดตัวไปเลยแม้แต่อย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ ทรัพย์สินเงินทอง ญาติสนิทมิตรสหายผู้เป็นที่รัก บุคคลผู้ที่เคยรู้จักกัน ก็จะไม่ได้เห็น ไม่ได้รู้จักกันอีกแล้วในชาตินี้ เพราะต้องจากทุกสิ่งทุกอย่างไป สูญสิ้นความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ทั้งหมด แต่ก็ยังมีสิ่งที่สะสมอยู่ในจิตติดตามไปในภพหน้านั่นก็คือ กุศล และ อกุศล
[๓] โลกมีทั้งส่วนที่มืดและส่วนที่สว่างสลับกันอยู่ตลอดเวลา ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน บางครั้งก็มืดด้วยความเห็นผิด ด้วยความเขลา และด้วยกิเลสประการต่างๆ และบางครั้งก็มีความสว่างด้วยแสงแห่งพระธรรม ที่ทำให้รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงความประพฤติและขัดเกลากิเลสของตนเอง ด้วยการกระทำในสิ่งที่ดีงาม เป็นบุญเป็นกุศล ต่อไป
[๔] การกล่าวเท็จ (มุสาวาท) ส่องถึงกิเลสที่มีอยู่ในใจ กล่าวคือ ใคร มุสามาก คนนั้นมีกิเลสมาก เพราะฉะนั้น ก็ควรจะขัดเกลากิเลสซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการมุสาด้วย เพราะเหตุว่าเรื่องของมุสาวาท ถ้าพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า เนื่องกับอกุศลกรรมทั้งปวง เช่น การฆ่า หรือว่าการทุจริต คดโกง รวมไปถึงการประพฤติผิดในกาม ทั้งหมดเมื่อได้กระทำอกุศลกรรมลงไปแล้ว มีไหมที่จะไม่มุสา? เมื่อได้กระทำอกุศลกรรมลงไปแล้ว เช่น เมื่อมีการทุจริต คดโกง ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เป็นต้น ซึ่งเมื่อได้กระทำไปแล้ว ก็มีการมุสาติดตามมาด้วย เพื่อเป็นการเอาตัวรอด ปกปิดไม่ให้คนอื่นรู้ตามความเป็นจริง แต่ขณะนั้น ก็เป็นการสะสมอกุศลเพิ่มขึ้นแล้ว แม้คนอื่นจะไม่รู้ก็ตาม
[๕] บุคคลที่เมื่อถูกคนอื่นทำสิ่งที่ไม่น่าพอใจให้แล้ว ไม่โกรธ ต้องเป็นบุคคลที่หายาก แต่ที่ละเอียดไปกว่านั้น คือ ความขุ่นใจแม้เล็กน้อย มีบ้างหรือไม่ ถ้ามีผู้อื่นประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์หรือกระทำสิ่งที่ไม่ดีให้กับเรา
[๖] เวลาที่เกิดโกรธขึ้น ส่วนใหญ่มักจะมองคนอื่นหรือว่าเห็นโทษของคนอื่น แต่ลืมย้อนกลับมาพิจารณาตนเองว่าตนเองได้กระทำผิดอะไรบ้างหรือไม่แม้เพียงเล็กน้อย
[๗] ควรจะเห็นข้าศึกภายใน คือ ความโกรธของตนเอง แทนที่จะคิดว่าเรามีศัตรูหลายคน หรือว่าอาจจะมีคนที่ไม่ชอบเรา มีคนหลายคนที่ทำสิ่งที่ไม่ดีให้กับเรา เป็นต้น แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ข้าศึกที่แท้จริงอยู่ภายใน คือ ความโกรธของเราเอง ที่ควรจะได้ขัดเกลาให้เบาบางลง
[๘] กว่าจะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล ต้องเริ่มที่เข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ก็ไม่สามารถเข้าใจธรรมตามความเป็นจริงได้
[๙] จะให้ถึงฝั่งของการดับกิเลสด้วยการไม่เข้าใจอะไรเลย เป็นไปไม่ได้
[๑๐] ไหนๆ ก็มีศรัทธา มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม แล้ว จะละทิ้ง (การฟัง) ไปทำไม?
[๑๑] สิ่งที่มีจริง เป็นของชั่วคราว เพราะเกิดแล้วดับ
[๑๒] พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เพื่อละอกุศล ขณะที่เข้าใจก็ละโลภะและละความไม่รู้ เป็นต้น
[๑๓] เริ่มเข้าใจธรรมทีละหนึ่งๆ จะได้เข้าใจว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน จริงๆ
[๑๔] กิเลสทั้งหลาย ไม่ใช่มิตร
[๑๕] เกิดมา เพื่อจากไปด้วยดี ด้วยการสะสมความดีและฟังพระธรรมให้เข้าใจ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๘ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม...ครั้งที่ ๘
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
@ ความเจริญจริงๆ เป็นความเจริญของจิต ซึ่งเริ่มมีปัญญาที่เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูกเลย อะไรที่เจริญ ย่อมเป็นความไม่รู้ และ อกุศลต่างๆ ที่เกิดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิดพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง
@ ควรจะเห็นข้าศึกภายใน คือ ความโกรธของตนเอง แทนที่จะคิดว่าเรามีศัตรูหลายคน หรือว่าอาจจะมีคนที่ไม่ชอบเรา มีคนหลายคนที่ทำสิ่งที่ไม่ดีให้กับเรา เป็นต้นแต่ตามความเป็นจริงแล้ว ข้าศึกที่แท้จริงอยู่ภายใน คือ ความโกรธของเราเอง ที่ควรจะได้ขัดเกลาให้เบาลง
@ เกิดมา เพื่อจากไปด้วยดี ด้วยการสะสมความดีและฟังพระธรรมให้เข้าใจ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของอาจารย์คำปั่น ด้วยคะ
เริ่มเข้าใจธรรมทีละหนึ่งๆ จะได้เข้าใจว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน จริงๆ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ
สิ่งที่มีจริง เป็นของชั่วคราว เพราะเกิดแล้วดับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ
คำสรุปจากคำบรรยายธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ มีคุณค่ามาก ซึ่งอาจารย์คำปั่นได้นำมาลงในปันธรรม-ปัญญ์ธรรม แต่ละครั้งนับเป็นประโยชน์ยิ่ง ทำให้ได้ทบทวน สะสมความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น หากทางมูลนิธิฯ ได้รวบรวมจัดพิมพ์เป็นเล่มก็จะทำให้ผู้สนใจมีโอกาสได้ศึกษาทบทวนบ่อยขึ้น หลายครั้งไม่ได้อ่าน เมื่อเห็นข้อความยาว เพราะไม่สะดวกในการใช้สายตา จึงขออภัยด้วย
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และอนุโมทนาในส่วนกุศลจิตของอาจารย์คำปั่น และทุกท่านด้วยค่ะ
"เกิดมา เพื่อจากไปด้วยดี ด้วยการสะสมความดีและฟังพระธรรมให้เข้าใจ"
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.คำปั่นคะ