ปฐมรูปารามสูตร ... วันเสาร์ที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๔

 
มศพ.
วันที่  6 ส.ค. 2554
หมายเลข  18879
อ่าน  2,003

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ

ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ

สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

สนทนาธรรมที่

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)

พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ วันเสาร์ที่ ๑๓ สิงหาาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. คือ

๓. ปฐมรูปารามสูตร (ว่าด้วยผู้ยินดีในอายตนะ ๖ อยู่เป็นทุกข์)

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ หน้าที่ ๒๖๒-๒๖๗

(ภาพแสดงบรรยากาศการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ในวันอาทิตย์ที่ ๖ มี.ค. ๒๕๕๔)

...นำสนทนาโดย...

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ หน้าที่ ๒๖๒-๒๖๗

๓. ปฐมรูปารามสูตร (ว่าด้วยผู้ยินดีในอายตนะ ๖ อยู่เป็นทุกข์)

[๒๑๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์เป็นผู้มีรูปเป็นที่ มายินดี เป็นผู้ยินดีแล้วในรูป เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในรูป เพราะรูปแปรปรวน คลายไปและดับไป เทวดาและมนุษย์ย่อมอยู่เป็นทุกข์, เทวดา และมนุษย์ เป็นผู้มีเสียงเป็นที่มายินดี..., เป็นผู้มีกลิ่นเป็นที่มายินดี..., เป็นผู้มีรสเป็นที่มายินดี..., เป็นผู้มีโผฏฐัพพะเป็นที่มายินดี...,เป็นผู้มีธรรมเป็นที่มายินดี เป็นผู้ยินดีแล้วในธรรม เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในธรรม เพราะธรรมแปรปรวนคลายไปและดับไป เทวดาและมนุษย์ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนตถาคตผู้เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ รู้แจ้งแล้วซึ่งความเกิดขึ้น ความดับไป คุณโทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งรูปทั้งหลาย ตามความเป็นจริง ไม่เป็นผู้มีรูปเป็นที่มายินดี ไม่เป็นผู้ยินดีแล้วในรูป ไม่เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในรูป เพราะรูปแปรปรวน คลายไปและดับไป ตถาคตย่อมอยู่เป็นสุข ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตผู้เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ รู้แจ้งแล้วซึ่งความเกิดขึ้นความดับไป คุณ โทษและอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งเสียง ... กลิ่น ... รส ... โผฏฐัพพะ ... ตถาคต ผู้เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ รู้แจ้งแล้วซึ่งความเกิดขึ้น ความดับไป คุณโทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งธรรม ตามความเป็นจริง ย่อมไม่เป็นผู้มีธรรมเป็นที่มายินดี ไม่เป็นผู้ยินดีแล้วในธรรม ไม่เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในธรรม เพราะธรรมแปรปรวนไปคลายไปและดับไป ตถาคตก็ย่อมอยู่เป็นสุข. ครั้นพระ ผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า

[พระคาถา] [๒๑๗] รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรม ทั้งสิ้น อันน่าปรารถนา น่าใคร่และน่าพอใจ ที่กล่าวกันว่ามีอยู่ประมาณเท่าใด รูปารมณ์เป็นต้นเหล่านั้นนั่นแล เป็นสิ่งอันชาวโลกพร้อม ทั้งเทวโลก สมมติว่าเป็นสุข ถ้าว่า รูปา-รมณ์เป็นต้น เหล่านั้นดับไปในที่ใด ที่นั้น เทวดา และมนุษย์ เหล่านั้น สมมติว่าเป็นทุกข์, ส่วนว่าพระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นการดับสักกายะ (รูปารมณ์เป็นต้นที่บุคคลถือว่าเป็นของตน) ว่าเป็นสุข, การเห็นของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ผู้เห็นอยู่นี้ ย่อมเป็นข้าศึกกับชาวโลกทั้งปวง, บุคคลเหล่าอื่น กล่าวสิ่งใดว่าเป็นสุข พระอริย-เจ้าทั้งหลายกล่าวสิ่งนั้นว่าเป็นทุกข์, บุคคลเหล่าอื่น กล่าวสิ่งใดว่า เป็นทุกข์พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้แจ้งสิ่งนั้นว่าเป็นสุข, เธอจงเห็นธรรมที่รู้ได้ยาก, คนพาลผู้หลงไม่รู้แจ้งในนิพพานนี้, ความมืดย่อมมีแก่บุคคลผู้ถูกนิวรณ์หุ้มห่อ เหมือนความมืดมนย่อมมีแก่บุคคลผู้ไม่เห็น, นิพพานย่อมมีแก่สัตบุรุษ เหมือนแสงสว่างย่อมมีแก่บุคคลผู้เห็น, ชนทั้งหลายผู้แสวงหา ไม่ฉลาดในธรรม ถึงอยู่ใกล้ก็ไม่รู้แจ้งธรรมนี้ อันบุคคลผู้ถูกความกำหนัดในภพครอบงำ ผู้แล่นไปตามกระแสตัณหาในภพ ผู้อันบ่วงแห่งมารรัดรึงไว้แล้ว ไม่ตรัสรู้ได้ง่ายเลย, ใครหนอเว้นจากพระอริยเจ้าทั้งหลายแล้ว ย่อมควรจะตรัสรู้นิพพานบทที่พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้โดยชอบ เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปรินิพพาน.

จบ ปฐมรูปารามสูตรที่ ๓.

อรรถกถาปฐมรูปารามสูตรที่ ๓

ในปฐมรูปารามสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ บทว่า รูปสมุทิตา แปลว่า บันเทิงในรูป. บทว่า ทุกฺขา แปลว่า ถึงทุกข์. บทว่าสุโข แปลว่า ถึงสุข ด้วยสุข ในพระนิพพาน. บทว่า เกวลา แปลว่า ทั้งสิ้น. บทว่า ยาวตตฺถีติ วุจฺจติ ความว่ากล่าวว่า มีอยู่ประมาณเท่าใด. โว อักษร ในคำว่า เอเต โว นี้ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า ปจฺจนิกมิท โหติ สพฺพโลเกน ปสฺสตความว่า ความเห็นของบัณฑิตผู้เห็น ย่อมขัดแย้งผิดกับชาวโลกทั้งมวล. จริงอยู่ ชาวโลก สำคัญขันธ์ ๕ ว่าเที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตา เป็นของงาม บัณฑิต สำคัญว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่งาม. บทว่า สุขโต อาหุ ได้แก่ กล่าวว่า เป็นสุข. บทว่า สุขโต วิทูความว่า บัณฑิตทั้งหลาย รู้ว่าเป็นสุข. คำทั้งหมดนี้ ท่านกล่าวหมายเอาพระนิพพานทั้งนั้น. ในบทว่า สมฺมูฬฺเหตฺถ นี้ ได้แก่ ผู้หลงพระนิพพาน. บทว่า อวิทฺทสุได้แก่ คนเขลาทั้งหลาย. จริงอยู่ เจ้าลัทธิ ผู้ถูกนิวรณ์ ๕ กางกั้น ทั้งหมดมีความสำคัญว่า "พวกเราจักบรรลุพระนิพุพาน" แต่พวกเขา ย่อมไม่รู้แม้ว่า "ชื่อว่านิพพานคือสิ่งนี้". บทว่า นิวุตาน ได้แก่ ถูกเครื่องกางกั้นคือกิเลส หุ้มห่อ ร้อยรัดไว้. บทว่า อนฺธกาโร อปสฺสต ได้แก่ ความมืดมนย่อมมีแก่ผู้ไม่เห็น. ถามว่าข้อนั้น เพราะเหตุใด จึงเป็นอย่างนั้น. แก้ว่า คนเขลา ย่อมไม่ประสบพระนิพพานหรือเห็นพระนิพพาน. จริงอยู่ พระนิพพาน ก็ดี การเห็นพระนิพพานก็ดี ของคนพาลผู้ไม่เห็นอยู่ ย่อมเป็นเหมือนมณฑลพระจันทร์ที่ถูกเมฆดำปิดไว้, เหมือนภาชนะที่กะทะบังไว้และเหมือนสิ่งของที่ถูกปิดไว้อยู่เป็นนิตย์. สองบาทพระคาถาว่าสตญฺจ วิวฏฺฏ โหติ อาโลโก ปสฺสตามิว ความว่า วิวัฏฏะ คือ พระนิพพานย่อมมีแก่ผู้สงบ คือ สัตบุรุษผู้เห็นอยู่ ด้วยปัญญาทัสสนะ เหมือนแสงสว่างมีอยู่แก่บุคคลเห็นอยู่. บทว่า สนฺติเก น วิชานนฺติ มคฺคา ธมฺมสฺส อโกวิทา ความว่า พระนิพพานใด ชื่อว่า อยู่ใกล้ เพราะผู้แสวงหากำหนดส่วนในผมหรือขนเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง ในร่างกายของตน เป็นอารมณ์พึงบรรลุได้โดยลำดับ หรือเพราะแสวงหาความดับขันธ์ทั้งหลายของตน พระนิพพานนั้นนั่นแหละแม้จะอยู่ใกล้ๆ แต่เหล่าชนผู้แสวงหา ผู้ไม่ฉลาดในธรรม ก็ไม่รู้ซึ่งที่ใช่ทางและมิใช่ทาง หรือ ไม่รู้สัจจ-ธรรม ๔. บทว่า มารเธยฺยานุปนฺเนภิ ได้แก่ ผู้เข้าถึงวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ อันเป็นสถานที่อยู่ของมาร. บทว่า โก นุ อญฺตฺรมริเยภิ ความว่า เว้นพระอริยะทั้งหลายเสียแล้ว คนอื่นใครเล่า ควรเพื่อจะรู้บท คือ พระนิพพาน. บทว่า สมฺมทญฺาย ปรินิพฺพนฺติ ความว่า รู้โดยชอบด้วยปัญญาอันสัมปยุตต์ด้วยอรหัต ในลำดับนั่นแล เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมดับสนิท ด้วยกิเลสปรินิพพาน (การดับกิเลส) อีกนัยหนึ่ง เป็นผู้ไม่มีอาสวะ เพราะรู้ชอบ ย่อมปรินิพพาน ด้วยขันธปรินิพพาน (ดับขันธ์) ในที่สุด.

จบ อรรถกถาปฐมรูปารามสูตรที่ ๓.


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 6 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ข้อความโดยสรุป ปฐมรูปารามสูตร

(ว่าดวยผู้ยินดีในอายตนะ ๖ อยู่เป็นทุกข์) พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า เทวดาและมนุษย์ ผู้ติดข้องยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและ ธรรม เมื่อสภาพธรรมเหล่านี้แปรปรวนไป ดับไป ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ส่วนพระองค์ (พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า) ไม่ติดข้องยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและ ธรรม เพราะทรงรู้ความเกิด ความดับ คุณ โทษ อุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งสภาพธรรมเหล่านี้ ตามความเป็นจริง เมื่อสภาพธรรมเหล่านี้แปรปรวนไป ดับไป ก็ย่อมอยู่เป็นสุข
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นได้ที่นี่ ครับ
มีหนทางเดียวคือ หนทางละความไม่รู้ ละความติดข้อง
ปฐมสัมโพธสูตร .. ความรู้แท้ในเรื่องอายตนะ
เมื่อไหร่สังสารวัฏฏ์ถึงจะสิ้นสุดลง
ขยะในใจ
กิเลสตัณหา
อยู่เป็นสุขเพราะหมดตัณหา [สุทัตตสูตร]
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 6 ส.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nong
วันที่ 7 ส.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
หลานตาจอน
วันที่ 7 ส.ค. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 8 ส.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Jans
วันที่ 8 ส.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาคะ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pat_jesty
วันที่ 9 ส.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
paew_int
วันที่ 11 ส.ค. 2554
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 11 ส.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
คนไทยพบธรรม
วันที่ 12 ส.ค. 2554

ขออนุโมทนาด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
raynu.p
วันที่ 13 ส.ค. 2554
กราบอนุโมทนาค่ะ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ