เตรียมตัวตายอย่างไร
ความตายไม่ได้เกรงใจใครเลยว่าผู้นี้เป็นพระราชา เป็นมหาเศรษฐี หรือเป็นยาจก ... ทุกคนต้องตายแน่ๆ ไม่ช้าก็เร็ว ความตายเป็นผลของกรรมเป็นวิบากจิต ไม่มีใครรู้ว่า ผลของกรรมหนึ่งในอดีต จะให้ผลคือความตายเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ไม่มีใครเตรียมตัวได้ เลยว่าจะตายเมื่อไหร่ ที่ไหน ถ้าจะเตรียมตัว ต้องเตรียมเดี๋ยวนี้คือ สะสมความเห็นถูก ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จึงต้องไม่ประมาทในการฟังพระธรรมค่อยๆ สะสมความ เห็นถูกเข้าใจถูกในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อสักวันหนึ่งเมื่อจากโลกนี้พร้อมด้วยความเข้า ใจความจริง ไม่ใช่จากไปด้วยความไม่รู้ จากไปด้วยความติดข้องเพลิดเพลิน
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ...
ขออนุโมทนาค่ะ ...
เกิด ก็เพราะ ผลกรรม
ตาย ก็เพราะ ผลกรรม
ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้กระทบสัมผัส ก็เพราะ ผลกรรม
เกิด ชื่อว่า ปฏิสนธิจิต
ตาย ชื่อว่า จุติจิต
ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้กระทบสัมผัส เรียกว่า จักขุวิญญาณ เป็นต้น เหล่านี้ ชื่อว่า วิบากจิต คือ จิตที่เกิดขึ้นเพราะผลกรรมในอดีต
อดีต ตั้งแต่เมื่อไร มาให้ผล ... อันนี้ไม่เรียงลำดับ เป็นเรื่อง อจินไตย ความตาย จึงกำหนดไม่ได้ว่า จะมาเมื่อไร ผลกรรมให้ตาย จะมาถึงเมื่อไร
ความตายสามประการ
สมมติมรณะ คือ การตายจากอัตภาพนี้
ขนิกมรณะ คือ จิตที่เกิดขึ้นทำกิจแล้วดับไปทันที
สมุจเฉทมรณะ คือ การดับขันธปรินิพพานของพระอรหันต์
สมมติมรณะเป็นเรื่องของอนาคตที่แม้จะมาถึงแน่ แต่ไม่มีใครทราบว่าจะเป็น เมื่อไร ส่วนสมุจเฉทมรณะนั้นเป็นเรื่องแสนไกลที่อาจไม่มาถึงหากปราศจากปัญญา ดังนั้น จึงควรศึกษาขนิกมรณะที่กำลังมีอยู่ในขณะนี้ ว่าจิตแต่ละประเภทเกิดขึ้น ทำกิจและดับไปทันทีอย่างไร แล้วจิตขณะต่อๆ ไปเกิดขึ้นทำกิจแล้วดับไปทันทีอย่างต่อ เนื่องไม่มีหยุดอย่างไร หากเข้าใจขนิกมรณะในขณะนี้ ก็จะคลายความห่วงกังวลต่อสมมติ มรณะ เพราะการตายจากอัตภาพนี้ก็เป็นเพียงจุติจิตดวงหนึ่งที่เกิดขึ้นทำกิจแล้วดับไป อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ความเข้าใจและการประจักษ์แจ้งขนิกมรณะในขณะนี้ คือหนทางไปสู่ การดับกิเลส และสมุทเฉทมรณะได้ในที่สุดครับ