พระโสดาบันยื่นอาวุธให้สามีไปล่าสัตว์ ไม่เป็นการสนับสนุนการฆ่า
ขออาจารย์ช่วยอธิบาย ชาดก เรื่อง ท่านพระโสดาบันยื่นอาวุธให้สามีไปล่าสัตว์ ไม่เป็นการสนับสนุนการฆ่า ได้อย่างไร?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความที่คุณสุรศักดิ์ ได้กล่าวถึงนั้น ปรากฏอยู่ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่มที่ ๔๒ เรื่อง นายพรานกุกกุฏมิตร ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความทั้งหมดได้ที่นี่ ครับ
เรื่องนายพรานกุกกุฏมิตร [คาถาธรรมบท]
พระอริยบุคคล [บุคคลผู้ประเสริฐ ผู้ห่างไกลจากกิเลส ตามลำดับมรรค สูงสุด คือ พระอรหันต์ เป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง] ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปท่านมีปัญญาประจักษ์แจ้งอริยสัจจธรรมทั้ง ๔ ตามความเป็นจริง ละกิเลสอันเป็นเหตุของการล่วงศีลได้แล้ว ท่านจึงไม่มีการล่วงศีลอีก ซึ่งจะแตกต่างจากปุถุชนอย่างสิ้นเชิง เพราะปุถุชน เป็นผู้หนาแน่นด้วยกิเลส เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็สามารถล่วงศีลข้อต่างๆ ได้ตามกำลังของกิเลส ซึ่งจะประมาทกำลังของกิเลสไม่ได้เลยทีเดียว อันดับแรก ควรที่จะได้เข้าใจว่า พระโสดาบัน คือใคร? พระโสดาบัน คือ ผู้ที่ถึงพระนิพพาน เป็นครั้งแรก ซึ่งก็คือ เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่หนึ่ง ที่ได้ประจักษ์แจ้งพระนิพพานดับกิเลสได้ในระดับหนึ่่ง ดับกิเลสได้เพียงบางส่วนตามสมควรควรแก่มรรคที่ท่านได้ ยังไม่สามารถดับได้ทั้งหมด [เพราะยังไม่ใช่พระอรหันต์] พระโสดาบันดับความเห็นผิดทุกประการ ดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ดับความตระหนี ดับความริษยา พระโสดาบันเป็นผู้มีศีล ๕ ที่บริสุทธิ์ ครบถ้วน ไม่ล่วงศีล ๕ เลยพร้อมทั้งเป็นผู้มีศรัทธาอย่างมั่นคงในพระรัตนตรัย พระโสดาบันดับกิเลสอย่างหยาบที่จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ เพราะพระโสดาบันเป็นผู้ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป ท่านเกิดอีกอย่างมาก ไม่เกิน ๗ ชาติ เป็นผู้แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงๆ ขึ้นไป กล่าวคือ บรรลุเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามีจนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์ในที่สุด เมื่อมีความเข้าใจเป็นเบื้องต้นแล้วว่า พระโสดาบัน ไม่ล่วงศีล ๕ พอได้อ่านเนื้อเรื่องของภรรยานายพรานกุกกุฏมิตร ก็พอจะเข้าใจได้ว่า เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วท่านไม่ล่วงศีล ๕ คือ ไ่ม่ฆ่าสัตว์ เป็นต้น แต่ท่านเป็นภรรยาของนายพราน ท่านก็จะต้องทำกิจหน้าที่ของภรรยา ด้วยการส่งอาวุธให้นายพรานผู้เป็นสามีตามคำบอกของสามี แต่ไม่มีเจตนาว่าขอให้สามีเอาอาวุธเหล่านี้ไปฆ่าสัตว์ และเป็นที่น่าพิจารณาอีกว่า นายพรานผู้เป็นสามี ตอนที่ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน ก็ฆ่าสัตว์แต่เพราะได้ฟังพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ท่านก็ไม่ฆ่าสัตว์อีกเลย ตามข้อความที่ปรากฏในพระสูตรทั้งหมด จะเห็นได้ว่าแม้ในครั้งนั้น พระภิกษุทั้งหลาย ท่านก็สงสัยเหมือนกันในกรณีที่ภรรยาของนายพรานกุกกุฏมิตรส่งอาวุธให้สามี ว่าจะเป็นการกระทำปาณาติบาตหรือไม่? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ทรงแสดงพระธรรมให้ได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ซึ่งผลจากการแสดงพระธรรมในครั้งนี้ มีผู้ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล มากมายซึ่งก่อนหน้านั้น นายพรานกุกกุฏมิตร พร้อมด้วยบุตร ๗ คน ลูกสะใภ้อีก ๗ คน รวมเป็น ๑๕ คน ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน แล้ว การเป็นพระโสดาบัน เป็นได้ด้วยปัญญา จะขาดปัญญา ไม่ได้เลย สำคัญที่เหตุ คือ การได้คบกับผู้ที่เป็นกัลยาณมิตร ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมจากกัลยาณมิตร นั้น กัลยาณมิตรสูงสุด คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง และเพราะได้สะสมปัญญามาแล้วในอดีต จึงสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคลได้ ซึ่งปัญญาที่ได้สะสมมานั้น ไม่สูญหายไปไหน มีแต่จะเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
พระอริยเจ้าเท่านั้น ไม่ล่วงศีล 5 [อรรถกถา พหุธาตุกสูตร]
ธรรมที่พระโสดาบันละได้แล้ว [ปหีนสูตร]
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่นมากครับ
ธรรมะเป็นเรื่องละเอียดมากๆ แม้แต่เจตนาที่จะทำร้ายหรือเบียดเบียนผู้อื่น ก็พิจารณา เพียงแต่กิริยาอาการแสดงออกภายนอกมิได้ ผมขออนุญาตเรียนสอบถามเพิ่มเติมสักนิดนะครับว่า ภรรยานายพราน ท่านจะพิจารณา ด้วยหรือไม่ในเรื่องของกรรมว่า สัตว์ที่อาจจะถูกล่าน้ั้น ก็ต้องเป็นไปตามกรรม อาจจะถูก ล่าโดยนายพราน หรือเป็นไปด้วยเหตุอื่นก็ได้ โดยมิได้เกี่ยวข้องกับนายพราน ดังเช่นที่ นายพรานท่านบรรลุคุณธรรมเสียก่อน ดังนี้ ก็เป็นไปตามกรรมและผลของกรรม ภรรยาของนายพรานจะมีความมั่นคงในเรื่องของกรรมด้วยหรือไม่ครับ นอกจากจะไม่มี เจตนาเบียดเบียนสัตว์แล้ว
เรียนความเห็นที่ 4 ครับ
ผู้ที่เป็นพระโสดาบันแล้ว คือ ภรรยาของนายพราน ย่อมเป็นผู้มีความมั่นคงของกรรม ด้วยปัญญาที่รู้ตามความเป็นจริง ที่ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะท่านประจักษ์ตัวกรรมที่ เป็นกุศล และ อกุศลในขณะนี้ และประจักษ์ ผลของกรรมที่เป็นวิบาก ในขณะนี้ มีเห็น ได้ยิน เป็นต้น โดยรู้ตรงลักษณะ ไม่ใช่การรู้เรื่องกรรมและผลของกรรม โดยเป็นเรื่อง ราวว่า ทำดีได้ ดี ทำชั่วได้ชั่ว ให้ทานทำให้มีทรัพย์ แต่ท่านประจักษ์ตัวลักษณะจริงๆ ของกรรมและผลของกรรม ท่าึงมีปัญญาที่เป็นกัมมัสสกตาปัญญา คือ การเชื่อกรรมและ ผลของกรรมด้วยการประจักษ์แจ้ง ท่านจึงมั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรมอย่างมาก ครับ เพราะประจักษ์ความจริงแล้วนั่นเอง ดังนั้นเหตุการณ์ที่ท่านส่งเครื่องมือให้ในการ ให้นายพรานนั้น ท่านก็ต้องมีความมั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรม พิจารณาถูกด้วย ว่าสัตว์ก็มีกรรมที่จะถูกฆ่า และมั่นคงในเรื่องของกรรมอีกว่า แม้สามีของท่านก็มีกรรมเป็น ของๆ ตนที่ทำกรรมคือปาณาติบาตเช่นกัน ท่านจึงไม่สามารถห้ามได้ แต่ทำหน้าที่ คือ เขาให้หยิบอาวุธก็หยิบ แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะหยิบอาวุธเพื่อให้ฆ่านั่นเองครับ ดังนั้นที่ ท่านผู้ร่วมเดินทางกล่าวไว้ว่า ท่านจะต้องพิจาณาเรื่องกรรมและผลของกรรมนั้น ก็เป็น ธรรมดาของพระอริยะที่พิจาณาตามความเป็นจริงในเรื่องกรรมและผลของกรรมอยู่แล้ว
ครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา