ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๑๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมในแต่ละครั้งรวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕]
[1] ขณะนี้ทุกคนมีอันตรายรอบข้าง อาจจะคิดว่าเป็นอันตรายจากโจร จากผู้ร้าย จากคนที่ไม่หวังดี แต่บุคคลเหล่านั้นไม่สามารถจะทำร้ายใจของท่านได้ อย่างมากที่สุดที่จะทำร้ายได้ ก็คือ ทำร้ายกาย ทำร้ายทรัพย์สมบัติ แต่สำหรับจิตใจนั้นต้องเป็นกิเลสของท่านเอง เพราะฉะนั้น ทุกคนกำลังอยู่ในที่ที่ไม่ปลอดภัย แล้วแต่ว่าขณะใดกิเลสจะเกิดขึ้นทำร้ายเมื่อใด ขณะนั้นก็จะเห็นได้ว่าอยู่ไม่ปลอดภัยเลย
[2] แต่ละคนก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตหนึ่ง ชีวิตของใครจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น สุขสบาย ทุกข์ยาก ลำบาก มากน้อยสักเท่าใด จะเห็นอะไร ได้ยินอะไร ทั้งหมดก็ให้ทราบว่า แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นเพียงชั่วขณะจิตหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้นจริงๆ
[3] พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นประโยชน์ และโทษแม้ของการคบค้าสมาคม เพราะเหตุว่าถ้าได้คบหากับผู้ที่เป็นบัณฑิต ก็ย่อมเป็นผู้ที่มีปัญญาเจริญขึ้น กุศลธรรมเจริญขึ้น แต่ถ้าได้สมคบกับคนพาล ย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน เพราะเมื่อคบหาสมาคมกับคนพาล ในที่สุดก็จะคล้อยตามคนพาลทุกอย่าง ทั้งความคิด การกระทำ และคำพูด มีแต่จะทำให้ถึงความเสื่อมโดยส่วนเดียว
[4] ถ้าพูดไม่จริง ก็เหม็นเหมือนคูถ ในสายตาในความคิดของพระอริยเจ้า เห็นว่าเป็นคำพูดที่เหม็นเหมือนคูถจริงๆ แต่ถ้าเป็นคำจริง ก็เป็นคำพูดที่หอมเหมือนดอกไม้ และถ้าเป็นคำที่เว้นขาดจากคำหยาบ โดยพูดวาจาที่ไม่มีโทษ พูดแต่วาจาที่ไพเราะเสนาะโสต (หู) เป็นที่รัก จับใจ เป็นวาจาของชาวเมือง ก็เป็นคำที่หวานปานน้ำผึ้ง ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง ก็จะต้องคิดด้วยว่า เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์
[5] ถ้าเป็นประโยชน์ คือ เพื่อให้กุศลจิตเกิด ให้มีความเข้าใจถูก ให้พ้นจากอกุศลซึ่งจะติดตามมาอีกมากมาย ก็ควรที่จะพูด แต่ว่าไม่ใช่จงใจเจตนาที่จะพูดเพื่อที่จะให้เกิดอกุศล
[6] เกิดโลภะ เกิดโทสะ เกิดความตระหนี่ เกิดความริษยา เกิดการสำคัญตน เกิดการไม่เป็นมิตร นั่นคือ อกุศลธรรม แต่ถ้าเป็นกุศลธรรม แล้ว ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
[7] เวลาที่มีทุกขเวทนาเกิด แล้วก็เป็นทุกข์เดือดร้อนใจ ให้ทราบได้ว่า เพิ่มทุกข์ให้กับตนเอง เหมือนกับถูกลูกศรดอกที่หนึ่งทางกาย แล้วก็ยังไม่พอ ยังจะต้องถูกยิงด้วยลูกศรดอกที่สองที่แผลเก่านั้นอีกซ้ำลงไป เพราะฉะนั้น ทุกข์ก็ต้องเพิ่มขึ้น เพราะนอกจากทุกข์กายแล้วก็ยังมีทุกข์ใจ ด้วย
[8] ผลของกุศล ย่อมทำให้ปฏิสนธิในสุคติภูมิ แต่ตราบใดที่ยังไม่เป็นพระโสดาบัน อกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว ก็ยังมีโอกาสทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิได้ บุคคลผู้ที่จะไม่ปฏิสนธิในอบายภูมิเลย ต้องเป็นพระอริยบุคคลเท่านั้น
[9] มีใครพ้นจากการเกิดได้ไหม ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ เมื่อมีการเกิดแล้ว ต้องมีชรา ต้องมีมรณะ และต้องมีความเร่าร้อนจากทุกข์กายและทุกข์ใจ มากมาย
[10] ทุกขณะ นามธรรมและรูปธรรมดับไปไม่เหลือ เหมือนคนที่ตายแล้ว คนที่ตายจากไปไม่เหลืออะไรอีกแล้ว สิ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้น ฉันใด นามธรรมและรูปธรรมของทุกๆ คนในขณะนี้ก็เหมือนกัน ฉันนั้น คือ จากไป ดับไปอยู่ทุกขณะ
[11] ก่อนการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น โลกมืด มืดด้วยอวิชชา เพราะแม้สภาพธรรมจะมีจริง เกิดขึ้นเป็นไป แต่ก็ไม่สามารถรู้ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมนั้นๆ ได้ แต่เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ และทรงประกาศอริยสัจจธรรมความสว่างด้วยปัญญา คือ การที่สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม ก็เกิดขึ้นในโลก แต่ก็เฉพาะในพุทธบริษัท เท่านั้น
[12] บุคคลผู้ที่ศึกษาพระธรรม น้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม กาย วาจา ใจของผู้นั้นก็สงบจากกิเลสขึ้น ซึ่งผู้นั้นเองก็จะรู้สึกตัวว่า เป็นผู้ที่ฝึกแล้ว โดยได้รับการฝึกจากพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
[13] แต่ละบุคคลกำลังป่วยกันอยู่ แต่ว่าเดินไปไหนมาไหนได้ตามปกติ เพราะป่วยเป็นโรคใจ (โรคกิเลส) ไม่ใช่โรคทางกาย และยาที่จะรักษาโรคทุกโรคของใจ ก็ต้องเป็นพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดง เท่านั้นจริงๆ ซึ่งได้ศึกษา มีความเข้าใจถูก เห็นถูก จนกระทั่งสามารถที่จะรักษาโรคใจของตนเองได้
[14] กิเลส เป็นสภาพธรรมที่บัณฑิตหรือคนดี เกลียด ไม่ควรแก่การเข้าใกล้โดยประการทั้งปวง
[15] ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง แต่ต้องรอบรู้ในสิ่งที่กำลังฟัง ด้วย
[16] ที่พึ่งจริงๆ คือ ความเข้าใจถูก เห็นถูก
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๑๔ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๔
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
"พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นประโยชน์และโทษแม้ของการคบค้าสมาคม .. เมื่อคบหาสมาคมกับคนพาล ในที่สุดก็จะคล้อยตามคนพาลทุกอย่าง ทั้งความคิด การกระทำ และคำพูด มีแต่จะทำให้ถึงความเสื่อมโดยส่วนเดียว"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ในพระสูตรมีแสดงไว้ อาหารของมิตร คือ การไม่พูดโกหก และมิตรที่แหนงหน่ายกัน ก็เพราะเหตุ 3 ประการ คือ
1. ขอของรัก
2. ห่างเหิน
3. คลุกคลี่กันมากเกินไป
ขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่นครับ
ทุกคนนั่งอยู่ในที่ที่ไม่ปลอดภัยแล้วแต่ว่ากิเลสจะทำร้ายเมื่อใด คำไม่จริงเหม็นเหมือนคูถ คำจริงหอมเหมือนดอกไม้ เว้นคำหยาบอันเป็นโทษ พูดคำไพเราะเสนาะหูของชาวเมือง คือคำหวานประดุจน้ำผึ้ง ทุกข์กายคือลูกศรดอกที่หนึ่งแล้ว ทุกข์ใจยังซ้ำด้วยดอกที่สอง เป็นคำเตือนสติที่เป็นประโยชน์ครับ
อนุโมทนาครับ
แต่ละคนก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตหนึ่ง ชีวิตของใครจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น สุขสบาย ทุกข์ยาก ลำบาก มากน้อยสักเท่าใด จะเห็นอะไร ได้ยินอะไร ทั้งหมดก็ให้ทราบว่า แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นเพียงชั่วขณะจิตหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้นจริงๆ น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ