กายและจิต
ร่างกายดำรงอยู่ได้ด้วย 2 ปัจจัย1.อาหารดี (สารอาหาร แร่ธาตุ อากาศ) 2.ประพฤติดี (กินดี อยู่ดี พักผ่อน นอนหลับ ออกกำลังกายตามสมควร) คำถาม...
จิตดำรงอยู่ได้ด้วยปัจจัยใด
อาหารแห่งจิตคืออะไร
และจิตจะมีสุขภาพที่ดีได้ด้วยเหตุใด
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
จิตเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ จิต มีลักษณะคือ เป็นใหญ่ใน
การรู้อารมณ์ สภาพธรรมทุกอย่างที่เป็นสังขารธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ต้องอาศัยเหตุ
ปัจจัยประการต่างๆ จึงเกิดขึ้นครับ
ซึ่งสำหรับอาหารของจิต หรือ เหตุให้เกิดจิตนั้น คือ นามรูปเป็นเหตุใกล้ให้เกิดจิต
หมายถึง เพราะมีนาม คือ เจตสิก จิตจึงเกิดขึ้นได้ครับ หากไม่มีเจตสิกที่เป็นสภาพธรรม
ที่ปรุงแต่งจิต เช่น ผัสสเจตสิก เวทนาเนาเจตสิก เป็นต้นเกิดแล้ว จิตก็ไม่สามารถ
เกิดขึ้นได้ เพราะจิตและเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้อารมณ์
เดียวกัน เจตสิกจะเกิดก็ต้องมีจิต และจิตจะเกิดก็ต้องอาศัยเจตสิก เพราะฉะนั้น
เจตสิก (นาม) เป็นเหตุให้เกิดจิตประการหรนึ่งครับ และ รูป ก็เป็นเหตุใกล้ให้เกิดจิต เป็น
เหตุให้เกิดจิตเช่นกัน คือ จิตและเจตสิกจึงเกิดขึ้น จะต้องมีที่เกิด เรียกว่าวัตถุรูป ที่เกิด
ของจิต คือ รูป ยกตัวอย่างเช่น จิตเห็นจะเกิดขึ้นก็ต้องอาศัยที่เกิดคือ จักขุปสาทรูป
เป็นที่เกิดของจิตเห็น เพราะฉะนั้น จิตจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยรูปที่เป็นทีเกิดของจิตใน
ภูมิที่มีขันธ์ 5 ครับ เพราะฉะนั้น อาหารของจิต หรือ เหตุให้เกิดจิต คือ นามและรูปครับ
เป็นเหตุใกล้ให้เกิดจิตนั่นเองครับ
เชิญคลิกฟังเพิ่มเติมที่นี่ครับ...ปทัฏฐานของจิต
อีกนัยหนึ่ง การเกิดของจิต ที่เป็นนามธรรม เกิดขึ้นได้โดยอาศัยอาหาร ที่เรียกว่า
มโนสัญเจตนาหาร หมายถึง เจตนาที่เป็นกรรม ทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม ย่อมนำ
มาซึ่งปฏิสนธิจิต และจิตอื่นๆ ที่เป็นผลของกรรมที่เป็นวิบาก สรุปคือ เพราะอาศัย
เจตนาที่ทำกรรมต่างๆ เมื่อมีการทำกรรม ก็ต้องได้รับผลของกรรม การได้รับผลของ
กรรมก็ทำให้เกิดจิตขึ้น เช่นทำกรรมดี ก็ทำให้เกิด ปฏิสนธิจิตที่ดี ที่เป็นผลของกรรมใน
ภพภูมิมนุษย์ และทำให้เกิดการเห็นที่ดี ก็คือ เกิดจิตเห็น เกิดจิตได้ยิน เกิดจิตได้กลิ่น
ที่ดี เพราะอาศัยอาหารคือ มโนสัญเจตนาหาร คือการกระทำกรรมประการต่างๆ ครับ จิต
จะเกิดขึ้นได้ก็เพราะอาศัยการทำกรรมนั่นเองครับ เพราะถ้าไม่มีการทำกรรมก็ไม่มีการ
เกิดของจิต เจตสิกเลยครับ
จิตดำรงอยู่ได้ด้วยปัจจัยใด จิตดำรงอยู่ได้ด้วยอาศัยสภาพธรรมอื่นๆ เกิดร่วมด้วย คือ
เจตสิกเกิดร่วมด้วย รวมทั้งอาศัยรูปเป็นที่เกิดของจิต และที่สำคัญที่จิตดำรงอยู่ได้
เพราะอาศัย เจตสิกที่เรียกว่า ชีวิตินทริยเจตสิก เป็นเจตสิกที่ดำรงรักษาสัมปยุตตธรรม
คือ จิตและเจตสิก ให้ดำรงชีวิตอยู่ก่อนที่จะดับไป แม้แต่นามธรรมที่เกิดขึ้นแล้วนั้นจะ
ดำรงอยู่ได้เพียงชั่วขณะ ก็ยังต้องอาศัยปัจจัย คือ ชีวิตินทริยเจตสิก ที่เกิดร่วมกันใน
ขณะนั้นรักษาไว้จึงดำรงอยู่ได้ เพราะฉะนั้นจิตจะดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยเจตสิก โดย
เฉพาะชีวิตินทริยเจตสิก ที่ดำรงจิตและเจตสิกให้ดำรงอยู่ครับ
จิตจะมีสุขภาพที่ดีได้ด้วยเหตุใด
จิตจะดี ก็เพราะอาศัยเจตสิกฝ่ายดีเกิดขึ้น เป็นกุศลจิต กุศลธรรม ดังนั้น จิตไม่ดี ไม่
แข็งแรงเพราะอกุศลเจตสิก ที่เป็นโลภะ โทสะ โมหะเกิดร่วมด้วย ทำให้จิตไม่ดี ไม่แข็ง
แรง จิตที่ดี แข็งแรง ก็เพราะมีเครื่องป้องกันจิตที่ดีจากอกุศลเจตสิก นั่นคือเพราะมี
ปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ดังนั้น จิตที่ดี แข็งแรง ป้องกันอกุศล มีความไม่รู้ เป็นต้น
เพราะมีปัญญา มีความเห็นถูกตามความเป็นจริง จิตจะสุขภาพดี เป็นจิตที่ดี แข็งแรง
ด้วยเพราะมีปัญญาเป็นเครื่องต้านทานอกุศลประการต่างๆ นั่นเองครับ ซึ่ง การจะอบรม
ปัญญา อบรมให้จิตแข็งแรงด้วยการมีปัญญา ก็ด้วยการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมที่
พระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะทำให้ค่อยๆ มีความเห็นถูก เพิ่มมากขึ้น ก็ละความไม่รู้และ
กิเลสประการต่างๆ ทีละน้อย ทำให้จิตทีดี่เกิดขึ้นมากขึ้น และในที่สุดสามารถดับกิเลส
ได้หมด เพราะปัญญาเจริญถึงที่สุด ก็เป็นจิตที่สุขภาพดีอย่างแท้จริง เพราะไม่มีสิ่งที่
ไม่ดี ทีเป็นอกุศล เปรียบเหมือนเชื้อโรคที่ไม่ดี มาเกิดขึ้นกับร่างกายอีกเลยครับ ก็ทำให้
ไม่เป็นผู้มีโรคใจ คือ โรคกิเลสอีก เพราะอาศัยปัญญาที่อบรมมาจนดับกิเลสได้ครับ จิต
จะสุขภาพดีได้ด้วยการมีปัญญา โดยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมครับ ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
จิตดำรงอยู่ได้ด้วยหลาย ๆ ปัจจัย เช่น อารัมมณปัจจัย ทุกครั้งที่จิตเกิดขึ้นต้อง
รู้่อารมณ์ นิสสยปัจจัย จิตเกิดขึ้นต้องมีทึี่อาศัย ฯลฯ ขณะที่ฟังธรรมแล้ว
เข้าใจ ขณะนั้นจิตผ่องใส เป็นกุศล ไม่มีโรค ขณะใดที่เป็นอกุศลจิตขณะนั้น
เศร้าหมอง มีโทษ มีโรค ฯลฯ ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
-จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นนามธรรมที่รู้แจ้งซึ่งอารมณ์ ชีวิตทุกขณะ เป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของจิตแต่ละขณะๆ จริงๆ เพราะแท้ที่จริงแล้ว ชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะมีอายุที่ยืนยาวสักเท่าใด ก็ไม่สามารถมีจิตเกิดขึ้นพร้อมกันสองขณะได้เลย จิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว จิตขณะหนึ่งดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น เป็นไปอย่างนี้ อย่างไม่ขาดสาย ซึ่งเป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ และจะเป็นอย่างนี้อีกต่อไป จนกว่าจะมีการอบรมเจริญปัญญาบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีสภาพธรรมใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย, จิต เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เช่น ในขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้น ชั่วขณะสั้นๆ นั้น มีปัจจัยหลายอย่าง เช่น ต้องมีเจตสิกธรรมเกิดร่วมด้วย ต้องมีที่อาศัยให้จิตเห็นเกิด ต้องมีอารมณ์ คือ สี ซึ่งเกิดก่อนแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครบังคับหรือทำให้เกิดได้เลย -ถ้าจะกล่าวอย่างกว้างๆ แล้ว จิตขณะนี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าไม่มีเหตุที่ทำให้มีการเกิดในภพนี้ชาตินี้ นั่นก็คือ ตัณหาซึ่งเปรียบเสมือนมารดาผู้ยังสัตว์ให้เกิดในภพภูมิต่างๆ พร้อมกันนั้น รากของสังสารวัฏฏ์จริงๆ ก็คือ อวิชชา เพราะมีการเกิดในภพนี้ชาตินี้ จึงมีการเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม กล่าวคือ จิต ซึ่งก็หมายรวมถึงเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต ด้วย นอกจากนั้น สภาพธรรมยังมีรูปธรรม อีกด้วยซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แต่ถ้ากล่าวอย่างละเอียดแล้ว จิตแต่ละขณะมีอายุที่สั้นแสนสั้น เพียงแค่ ๓ อนุขณะ (ขณะย่อย) เท่านั้น คือ ขณะที่เกิดขึ้น ขณะที่ดำรงอยู่และขณที่ดับไป ซึ่งจะต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างจึงจะทำให้จิตเกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้ ทั้งที่เกิด อารมณ์ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย เป็นต้น -จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เมื่อว่าโดยลักษณะแล้ว มีลักษณะเดียว คือ รู้แจ้งซึ่งอารมณ์ ที่กล่าวว่า เป็นจิต ที่ดี หรือ จิต ที่ไม่ดี นั้น เพราะธรรมที่เกิดร่วมด้วย
เช่น ถ้าโลภะ เกิดกับจิต จิตนั้น ก็ไม่ดี เพราะอกุศลเจตสิก คือ โลภะ ความติดข้องต้องการเกิดร่วมด้วย ในทางตรงกันข้าม ถ้า ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ หรือ แม้กระทั่ง อโมหะ คือ ปัญญา เกิดร่วมด้วยกับจิตในขณะนั้น ก็เป็นจิตที่ดี เป็นกุศลจิต ขณะที่กุศลจิตเกิดขึ้นนั้น เป็นการพักจากอกุศล ชั่วขณะที่จิตเป็นกุศล จนกว่าจะพักได้อย่างเด็ดขาดไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย เมื่อดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดง ตลอด ๔๕ พรรษา จึงเป็นเครื่องเตือนที่ดีอยู่เสมอ เป็นประโยชน์ทุกกาลสมัย และ เป็นประโยชน์สำหรับผู้ศึกษาและน้อมประพฤติปฏิบัตามเท่านั้น บุคคลผู้เห็นประโยชน์ของกุศล เห็นโทษของอกุศล โดยอาศัยการฟังพระธรรม บ่อยๆ เนืองๆ จิตใจย่อมน้อมไปในทางกุศล เพิ่มมากยิ่งขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้จิตใจเข้มแข็ง เป็นจิตใจที่ดีมีกำลังด้วยกำลังของกุศล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...