ลืมไปว่าต้องเห็น ต้องได้ยิน ....
คำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ ในปกิณกธรรม ตอนที่ ๖๘ สนทนาธรรมระหว่างไปนมัสการสังเวชณียสถาน ประเทศอินเดีย เดือนตุลาคม ๒๕๔๔
ท่านอาจารย์สุจินต์ ถ้าไม่มีจิต รูปไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย มีแต่รูปก็ไม่ต้องเดือนร้อนใช่ไหมค่ะ และใครจะยับยั้งการเกิดของนามธาตุ เพราะเป็นธาตุไม่ใช่เรา
ท่านผู้ร่วมสนทนา อาจารย์ค่ะ อย่างนี้ความหมายคือ อรูปพรหมก็เดือดร้อนเหมือนกัน เพราะเขาไม่มีรูป แต่เขาก็มีนามธรรม
ท่านอาจารย์สุจินต์ ถ้าเขามีปัญญาเขาก็รู้ว่าจิตเกิดดับ
ท่านผู้ร่วมสนทนา แต่ความหมายของอาจารย์เดือนร้อนตรงนี้คืออะไร เพราะว่าเขาไม่เห็นต้องเดือนร้อนเลย เขาอยู่ข้างบนสบาย
ท่านอาจารย์สุจินต์ จิตเกิดหรือเปล่าค่ะ
ท่านผู้ร่วมสนทนา เกิดค่ะ
ท่านอาจารย์สุจินต์ ไม่รู้ได้ไหมค่ะ เวลาจิตเกิดแล้วไม่รู้อะไร ได้ไหม?
ท่านผู้ร่วมสนทนา ได้
ท่านอาจารย์สุจินต์ ได้เหรอค่ะ?
ท่านผู้ร่วมสนทนา ยังไม่เข้าใจค่ะ
ท่านอาจารย์สุจินต์ จิตเป็นสภาพรู้ค่ะ ต้องรู้ และก็ดีไหมละค่ะที่เกิดขึ้นต้องรู้เนี่ย
อย่างเราเนี่ย ต้องเห็นนะค่ะ แต่เราลืมค่ะ เราอยากเห็น แต่ความจริงเราต้องเห็น ขณะที่ได้ยินเสียงเพราะๆ นะค่ะ เราก็ลืมอีก ว่าแท้ที่จริงแล้วต้องได้ยิน ไม่มีใครยับยั้งไม่ให้ได้ยินเกิด ต้องได้ยิน
เราจะต้องศึกษาเรื่องนามธาตุจนกระทั่งเข้าใจว่าเป็นอนัตตา ลักษณะที่เกิดดับสืบต่อ มีปัจจัยต่างๆ และก็ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั่้งได้ เมื่อมีปัจจัย ก็เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ อย่างนี้แหละ และก็ออกไปจากนี้ไม่ได้ด้วย จะต้องตายแล้วก็เกิดอีก แล้วก็ตายแล้วก็เกิดอีก ก็เห็นอีก ได้ยินอีก คิดนึกอีก
เวลาตายเนี่ยไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย ที่เคยเป็น ก็ไม่เป็นอีกต่อไป ที่เคยเข้าใจว่าเป็นของเรา ก็จำไม่ได้หมดเลย
ชาติก่อนเนี่ยค่ะ เราจะเคยนั่งที่นี่ได้ไหมค่ะ แต่ไม่ใช่อย่างนี่ใช่ไหมค่ะ ไม่ใช่โรงแรมอย่างนี่ ใช่ไหมค่ะ หรือว่า ๒๕๐๐ กว่าปีเนี่ย ที่ตรงนี้เป็นอะไร และเราจะเคยอยู่ตรงนี้ไหม เราก็ไม่เคยรู้ จำไม่ได้
เพราะฉะนั้นไม่มีวันสิ้นสุดนะค่ะ การเกิดดับสืบต่อแต่ละภพแต่ละชาติ แต่ว่าไม่มีอะไรเป็นของใครจริงๆ สักอย่างเดียว เพียงแต่เกิดเห็น แล้วก็ติดข้อง แล้วก็หมดไป ได้ยิน แล้วก็ติดข้อง แล้วก็หมดไป ทั้งวันเนี่ยค่ะ เป็นเรื่องของความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็หมดไปเลย ไม่เหลือเลยค่ะ รูปทุกรูป เกิดแล้วดับ มีอายุเพียงแค่ ๑๗ ขณะจิต ถ้าเป็นรูปที่เป็นสภาวะรูปนะค่ะ แต่เมื่อไม่รุู้ก็คือติดอย่างนี่ไปเรื่อยๆ
กราบเท้าอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์และทุกๆ ท่านครับ
ปกติทุกวันอกุศลเกิดมาก ถ้าเป็นโอกาสที่กุศลจะเจริญขึ้นไม่ว่าจะเป็นขั้นทาน หรือ
ขั้นศีล ก็เป็นขณะที่ดี กุศลขั้นการฟัง ไม่ใช่กุศลขั้นสติปัฏฐาน แต่ถ้าฟังธรรม แล้ว
เข้าใจจริงๆ ขณะนั้นสังขารขันธ์ก็ปรุงแต่งให้สติปัฏฐานเกิดตามการสะสมค่ะ
ท่านอาจารย์สุจินต์ จิตเป็นสภาพรู้ค่ะ ต้องรู้ และก็ดีไหมค่ะที่เกิดขึ้นต้องรู้เนี่ย
อย่างเราเนี่ย ต้องเห็นนะค่ะ แต่เราลืมค่ะ เราอยากเห็น แต่ความจริงเราต้อง
เห็น ขณะที่ได้ยินเสียงเพราะๆ นะค่ะ เราก็ลืมอีก ว่าแท้ที่จริงแล้วต้องได้ยิน
ไม่มีใครยับยั้งไม่ให้ได้ยินเกิด ต้องได้ยิน
"เมื่อไหร่ที่เห็นสักแต่ว่าเห็นได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน เมื่อนั้นเราย่อมไม่มี"
แต่เผอิญเราไปหลง ในสิ่งที่เห็น ไปหลงในสิ่งที่ได้ยิน เพราะปัญญายังไม่พอที่
จะเห็น สิ่งเหล่านี้ว่า ไม่ใช่เรา คือ ยังไม่เห็นปรมัตถ์ เห็นแต่สมมติ เลยหลงสมมติ
ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกหรือเปล่านะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เรียน ความคิดเห็นที่ ๖ ครับ สภาพธรรมที่มีจริงทุกอย่าง เป็นปรมัตถธรรม ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะยังไม่เข้าใจจึงหลงยึดถือสภาพธรรมเหล่านั้นว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล หรือ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แท้ที่จริงแล้ว มีแต่สภาพธรรมเท่านั้น โดยปกติของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ติดข้องทั้งในสิ่งที่มีจริง (แม้ในขณะที่เห็น คือ เห็นสี ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นอะไร ก็ติดข้องแล้ว นี่คือ ความเกิดขึ้นเป็นไปอย่างรวดเร็วของกิเลส ในชีวิตประจำวัน) และในบัญญัติเรื่องราวต่างๆ ด้วย จากข้อความที่ว่า ...เพราะปัญญายังไม่พอที่ จะเห็น สิ่งเหล่านี้ว่า ไม่ใช่เรา คือยังไม่เห็นปรมัตถ์ เห็นแต่สมมติ เลยหลงสมมติ ควรที่จะได้พิจารณาว่า การเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือ เป็นคนนั้น คนนี้ ไม่ใช่เป็นการเห็นผิดเสมอไป เพราะพระอริยบุคคลทั้งหลาย ท่านก็เห็นอย่างนั้น มิฉะนั้นแล้ว ก็จะเรียกไม่ถูกว่า นี้เรียกว่าโต๊ะ นี้เรียกว่า เก้าอี๊ นี้ คือ คนชื่อนั้น ชื่อนี้ เป็นต้น เพราะความเกิดขึ้นเป็นไปของจิต ต้องเป็นอย่างนี้ เมื่อเห็นแล้ว ก็มีการคิดนึกต่อ แต่ที่สำคัญ คือ ท่านเหล่านั้น มีปัญญา เข้าใจตามความเป็นจริง ไม่เข้าใจผิด เพราะเหตุว่า เพราะมีสภาพธรรม มีปรมัตถธรรม เกิดขึ้นเป็นไป จึงมีการสมมติว่าเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ เป็นคนนั้นคนนี้ เป็นต้น แต่สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ นั้น ปกติก็ไหลไปอย่างรวดเร็วด้วยอำนาจของกิเลส หลงยึดติด ติดข้องพอใจ เป็นต้น ต่อไปเป็นประเด็นเรืองสักแต่ว่าเห็น ....
เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน เป็นต้น นั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เป็นกิจหน้าที่ของปัญญาที่เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง เมื่อได้ศึกษาก็จะเข้าใจว่า จิตเกิดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว เห็นขณะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป สำหรับท่านที่อบรมเจริญปัญญา ย่อมสามารถรู้ตามความเป็นจริงได้ว่า เป็นธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่เรา แม้แต่ในขณะที่ได้ิยินก็โดยนัยเดียวกัน ครับ เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นขอเชิญคลิกอ่านทบทวนได้ที่หัวข้อนี้ ครับ เห็นสักแต่ว่าเห็น กับ เห็นไม่รู้ว่าเห็น ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...