ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๑๖
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมในแต่ละครั้งรวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖ ]
[1] ความตาย เป็นสิ่งที่แน่นอนสำหรับทุกคน
[2] ไม่ควรที่จะมีความติดข้องยินดีพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ในบุคคลผู้เป็นที่รักหรือสิ่งของอันเป็นที่รัก เพราะเหตุว่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะเป็นของเราอย่างแท้จริง แม้สิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตนของเรา ก็ไม่เที่ยง อยู่ได้แค่อายุที่ไม่มีใครจะรู้ได้ เพราะบางคนอาจจะตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยที่ก้อนของรูปยังไม่ครบส่วนต่างๆ เพราะเมื่อมีปฏิสนธิจิต เกิดขึ้นเป็นไป ก็ย่อมมีความตายคือ จุติจิต เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะในระยะเวลายาวสั้นมากน้อยเพียงใดก็ตาม
[3] การดำเนินชีวิตปกติประจำวันเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนจะต้องจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้าอย่างแน่นอน แต่ว่าจะไปอย่างไร ปลอดภัยหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตเป็นปกติประจำวัน นี่เอง แล้วจะดำเนินไปทางไหน ระหว่างทางถูก กับ ทางผิด?
[4] พระไตรปิฎกทั้งหมด จะเต็มไปด้วยบท พยัญชนะ พระธรรมเทศนาหาประมาณมิได้ ในเรื่องของอกุศลธรรมและกุศลธรรมโดยละเอียด โดยนัยต่างๆ เพื่อที่จะให้เห็นโทษของอกุศล เพื่อที่จะได้ละอกุศล และ เพื่อที่จะได้เห็นประโยชน์ของกุศล เพื่อที่จะได้เจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
[5] อรรถของคำว่า “อนัตตา” คำเดียวนี้ ครอบคลุมพระธรรมทั้งหมด ทั้ง ๓ ปิฎกเพราะเหตุว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนเลย
[6] ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใด มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรก็ตาม พระธรรมย่อมเกื้อกูลได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้น จะมีศรัทธา เห็นประโยชน์ที่จะฟัง ที่จะศึกษา มากน้อยแค่ไหน
[7] แทนที่จะไปคิดว่าคนอื่นเขาจะคิดอย่างไรกับเรา เป็นมิตรกับเขา ดีกว่า
[8] เพียงแค่เห็นหน้า ก็ยังโกรธ แล้วถ้ามีมากกว่าการเห็นหน้าหล่ะ จะเป็นอย่างไร แย่แน่ๆ เลย จะไม่หนักกว่านี้หรือ? อกุศล ไม่เคยนำประโยชน์มาให้ใครเลยทั้งสิ้น ไม่มีใครเคยได้รับประโยชน์จากการโกรธ แม้แต่คนเดียว
[9] ผู้ใดยังมีความโกรธในบุคคลใด ขณะนั้นเป็นอกุศล จะคลายเกลียวออก คือ ละความโกรธและให้อภัย หรือว่าจะหมุนเกลียวของโทสะให้มากขึ้นแน่นขึ้นไปอีก?
[10] ดีใจไหมที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น นี้แหละ คือ เมตตา ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อนที่พร้อมจะช่วยเหลือคนอื่นได้ทุกเมื่อ
[11] ชีวิตต้องดำเนินต่อไปอย่างแน่นอน เพราะจะตายไม่ได้ ตราบใดที่จุติจิตยังไม่เกิดขึ้น มีชีวิตอยู่เพื่ออบรมเจริญปัญญาเพิ่มขึ้น ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ไม่ใช่คิดเอาเอง
[12] ปัญญา เป็นเครื่องนำทางชีวิตไปสู่ความเจริญทั้งหลายทั้งปวง คนดี มีปัญญาที่จะคิดชั่วๆ พูดชั่วๆ ทำชั่วๆ นั้น เป็นไม่มี
[13] ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรม แล้วจะละความไม่รู้ ได้อย่างไร
[14] เพียรฟัง เพียรศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง นี้คือ วิริยบารมีในชีวิตประจำวัน
[15] อย่าคิดว่า ต้องไปปฏิบัติผิดเสียก่อน แล้วจึงจะเป็นเหตุให้ปฏิบัติถูก เพราะมีแต่จะผิดหนักเพิ่มขึ้นไปอีก
[16] จะไปหาความละเอียดของคำที่ได้ยินได้ฟัง จากที่ไหน ถ้าไม่ใช่จากพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
[17] ต้องเข้าใจตั้งแต่คำแรก คือ คำว่า “ธรรม”
[18] ดีใจ ที่ได้รับสิ่งที่ดีๆ จากผู้อื่น แต่ลืมอนุโมทนาในกุศลจิตของผู้ให้หรือเปล่า?
[19] อย่าให้พระธรรมสูญเปล่า รีบรับไว้ ศึกษาแล้วน้อมประพฤติตามพระธรรม
[20] ยาดี รักษาได้ทุกโรค (รักษาโรคกิเลสได้ทุกชนิด) คือ ปัญญา
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๑๕ ได้ที่นี่ ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ต้องเข้าใจตั้งแต่คำแรก คือ คำว่า “ธรรม”
...ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ. กำปั่น ด้วยค่ะ...
"ธรรม" ที่ทรงแสดง แต่ละ ..."คำ"
ไม่เพียง ..."จำ"... แต่ ..."เข้าใจ" ....
"มั่นคงขึ้น"... ขณะใด ... ย่อมน้อมไป ...ว่า ... เป็นธรรม (ไม่ใช่เรา) ...
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณคำปั่นและทุกๆ ท่าน ครับ