ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๑๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมในแต่ละครั้งรวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๘]
[1] ขันติ คือ ความอดทน การที่จะมีปัญญาได้ ต้องอดทนมากๆ
[2] ปัญญาไม่ใช่มาได้ง่ายๆ เงินซื้อก็ไม่ได้ ไม่มีใครสามารถเอาเงินทั้งหมดไปทุ่มเทซื้อปัญญา ได้
[3] ปัญญาต้องเกิดจากการอบรมทีละเล็กทีละน้อย และเป็นสิ่งที่เจริญช้า ไม่เหมือนกับกิเลสประการต่างๆ ที่เกิดอยู่เป็นประจำทุกวัน ทำลายก็ยาก แต่สำหรับปัญญา แล้ว เป็นสิ่งที่จะต้องค่อยๆ เจริญขึ้น ซึ่งจะต้องอาศัยเหตุ คือ การฟังพระธรรมด้วยความอดทนจริงๆ
[4] ถ้าเบื่อเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วจะฟังอะไรล่ะ เพราะพระธรรมทั้งหมด ไม่พ้นไปจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ เลย
[5] เวลาที่ได้เห็นคนอื่นทำดี ถ้าเป็นคนที่ช่างริษยา ต่อให้คนนั้นจะทำดีอย่างไร แต่ถ้าไม่ชอบคนนั้น จะมองไม่เห็นเลยว่า สิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ดี มีเรื่องติสารพัด นั่นคือ ผู้ที่ขณะนั้นเป็นอกุศลจิตที่ไม่อนุโมทนาในสิ่งที่ดีที่คนอื่นกระทำ
[6] ธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย การที่เราสะสมอบรมอุปนิสัยในทางที่ดีทีละเล็กทีละน้อย ก็จะทำให้เราคุ้นเคยกับสิ่งที่ดีได้มากยิ่งขึ้น
[7] มงคล ไม่ได้อยู่ที่ชื่อ แต่อยู่ที่สภาพจิตที่ดีงาม จิตเป็นกุศลเมื่อใด เป็นมงคลเมื่อนั้น แต่ถ้าเป็นอกุศล แล้ว ไม่ใช่มงคล เลย
[8] อกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว สำเร็จแล้ว จะแก้อย่างไร? แก้ไม่ได้เลย นอกจากสะสมกรรมดี ต่อไป เพราะว่าเหตุดีต้องให้ผลที่ดี กรรมดี ย่อมให้ผลที่ดี
[9] ทำอกุศลกรรมแล้วไปสะเดาะเคราะห์ อกุศลกรรมที่ทำแล้ว จะไม่ให้ผลหรืออย่างไร?
[10] พระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เคยนำความทุกข์มาให้ใครเลย ถ้าเราเข้าใจพระธรรมคำสอนของพระองค์มากเท่าใด และสามารถประพฤติปฏิบัติตามได้มากเท่าใด เราก็จะเป็นผู้มีความทุกข์น้อยลง มากเท่านั้น
[11] ไม่ว่าจะประกอบกิจการใด ถ้าเป็นผู้ที่มีจิตใจสะสมในทางกุศล กุศลสามารถจะเกิดได้มาก ไม่ใช่ว่าเมื่อเป็นผู้ที่มีตัณหา แล้วจะไม่สามารถทำกุศลกรรมได้เลย แต่ว่าทั้งๆ ที่ตัณหาก็ยังมี อวิชชาก็ยังมี ก็ยังมีการสะสมพื้นฐานของจิต ที่จะทำให้กุศลจิตเกิด เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล ยังมีอวิชชา ยังมีตัณหา แต่ก็ยังมีกุศลเกิดได้ มากหรือน้อยแล้วแต่การเห็นประโยชน์ของกุศลธรรม ถ้าตราบใดที่ยังมีโลภะอยู่ ไม่มีวันที่จะพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ได้ จะต้องมีการตายแล้วเกิดอีก ตายแล้วเกิดอีก อย่างนี้อยู่เรื่อยๆ
[12] คนอื่นเขาไม่ได้ตกนรกเพราะเราโกรธเขา แต่ตัวเราเองต่างหากที่จะตกนรกเพราะกิเลสของเราเอง
[13] ดีมากนักหรือสำหรับอกุศล? โกรธคนอื่น ไม่ชอบคนอื่น คิดร้ายต่อคนอื่น ดีมากนักหรือ? แล้วจะเก็บไว้ทำไม เพราะไม่ใช่สิ่งที่ดีเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเป็นอกุศล
[14] มีใครอยากเกิดเป็นสุนัข (สวยๆ) บ้าง? แต่ก็มีผู้ที่เกิดเป็นสุนัข ซึ่งเป็นสัตว์ในอบายภูมิ โดยไม่มีใครทำให้เลย เพราะอกุศลกรรมของตนเองเท่านั้น ที่ทำให้เกิดในอบายภูมิ แม้แต่การเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานก็เช่นเดียวกัน เมื่อเหตุ คือ อกุศลกรรม มีแล้ว ผล คือ อกุศลวิบาก ก็ย่อมเกิดขึ้นตามสมควรแก่เหตุ
[15] ในเมื่อคนอื่นเขาเป็นคนไม่ดี แต่เราก็สามารถเป็นคนดีได้ ไม่ใช่ว่าคนอื่นเป็นคนไม่ดี แล้วเราก็จะเป็นคนไม่ดีเหมือนอย่างเขา [ความดี มาเป็นที่หนึ่ง]
[16] คิดดี ด้วย แล้วก็ทำดี ด้วย แล้วจะดีมากสักแค่ไหน
[17] ยาของชาวโลก รักษาโลภะ โทสะ โมหะ ไม่ได้ แต่ยา คือ ความเข้าใจพระธรรม [ปัญญา] เป็นยาที่รักษาโรคกิเลส ดังกล่าวได้ทั้งหมด
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๑๗ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๗
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอขอบพระคุณ และอนุโมทนาครับ เป็นประโยชน์มากครับ ให้เห็นประโยชน์ของกุศล เห็นโทษของอกุศลตามกำลัง
"...ชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล ยังมีอวิชชา ยังมีตัณหา แต่ก็ยังมีกุศลเกิดได้ มากหรือน้อยแล้วแต่การเห็นประโยชน์ของกุศลธรรม"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่นค่ะ
[ความดี มาเป็นที่หนึ่ง]
คิดดี ด้วย แล้วก็ทำดี ด้วย แล้วจะดีมากสักแค่ไหน
ขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาค่ะ อจ.คำปั่น และอนุโมทนาในกุศลจิต กุศลปัญญาทุกท่านด้วยค่ะ