โสภณเจตสิกที่ตรงกันข้ามกับมานะเจตสิก

 
SOAMUSA
วันที่  8 ต.ค. 2554
หมายเลข  19873
อ่าน  2,150

โสภณเจตสิกที่ตรงกันข้ามกับมานะเจตสิกคืออะไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 8 ต.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

โสภณ (ดีงาม) + เจตสิก (สภาพที่ประกอบกับจิต) เจตสิกที่เกิดกับโสภณจิต หมายถึง เจตสิกที่ดีงาม ไม่มีโทษ และเกิดกับจิตได้ทั้ง ๓ ชาติ คือ กุศลชาติ วิบากชาติ และกิริยาชาติ

โสภณเจตสิกมี ๒๕ ดวงหรือประเภท ได้แก่ โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ ดวง (ดู โสภณสาธารณเจตสิก) วิรตีเจตสิก ๓ ดวง ได้แก่ ...สัมมาวาจา ๑ สัมมากัมมันตะ ๑ สัมมาอาชีวะ ๑ อัปปมัญญาเจตสิก ๒ ดวง ได้แก่ ...กรุณา ๑ มุทิตา๑ และ ปัญญาเจตสิก ๑ ดวง

ส่วนมานะ เป็นเจตสิก ที่เป็นอกุศลเจตสิก ดังนั้น มานะจึงไม่ใช่โสภณเจตสิก ที่เป็นเจตสิกฝ่ายดีครับ เพราะมานะเจตสิกเป็นอกุศลเจตสิก อกุศลเจตสิก ไม่เกิดร่วมกับโสภณเจตสิกและโสภณจิตใดๆ เลย ซึ่งโสภณเจตสิกที่ตรงกันข้ามกับมานะเจตสิก โดยไม่ตรงนั้นไม่มีครับ ไม่ใช่มีเจตสิกฝ่ายดีจำเพาะเจาะจงที่ตรงกันข้ามกับมานะเจตสิกครับ เพียงแต่ว่าสภาพธรรมฝ่ายดี ที่เป็นลักษณะคือ ความอ่อนน้อม ถ่อมตน ก็เป็นสภาพธรรมที่ดี ที่ตรงกันข้ามกับมานะ เพราะขณะนั้น ไม่มีการเปรียบเทียบ แต่อ่อนน้อมในสิ่งที่ควรอ่อนน้อม เป็นต้น

ส่วนการลดมานะได้ในชีวิตประจำวัน ก็ไม่พ้นจากความเข้าใจถูก คือ การเจริญขึ้นของปัญญา เพราะเมื่อมีปัญญา ก็ย่อมไม่เปรียบเทียบ เพราะขณะที่เปรียบเทียบ สำคัญตนประการต่างๆ ด้วยการไม่เห็นตามความเป็นจริง ต่อเมื่อใดเป็นปัญญาทีเ่กิดขณะนั้นเห็นตามความเป็นจริง ไม่เปรียบเทียบ สำคัญตนครับ ซึ่งมานะ ความสำคัญตน เป็นกิเลสที่ละเอียดมาก พระอรหันต์เท่านั้นที่ดับได้ครับ ซึ่งหนทางก็คือ ฟังพระธรรมต่อไปปัญญาเจริญขึ้นก็ค่อยๆ ลดละกิเลสประการต่างๆ ในชีวิตประจำวันไปเองครับ เพราะเป็นหน้าที่ของธรรมไม่ใช่เรา ขออนุโมทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
SOAMUSA
วันที่ 8 ต.ค. 2554

กราบอนุโมทนาอาจารย์ค่ะ ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

อาจารย์คะ แล้วคนที่บ้ายอ ชอบสรรเสริญ อันนี้เกี่ยวกับมานะด้วยหรือเปล่าค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 8 ต.ค. 2554

เรียนความเห็นที่ 2 ครับ

คนที่บ้ายอ ชอบคำชม คำสรรเสริญ เป็นโลภะ แต่ไม่ใช่มานะครับ ถ้าเป็นมานะ ต้องมีลักษณะเปรียบเทียบ มีความสำคัญตน เปรียบเทียบว่าเราดีกว่า เสมอ หรือต่ำกว่าคนอื่น แต่ขณะที่ชอบคำชม บ้ายอ ขณะนั้น เพียงเป็นความติดข้อง พอใจในคำชมและก็ต้องการคำชม เป็นโลภะะ แต่ไม่ใช่มานะครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
j.jim
วันที่ 8 ต.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 8 ต.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า มานะ คือ อะไร? ถึงจะเข้าใจถึงธรรมที่ตรงกันข้ามกับมานะได้ ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงเลย ทั้งมานะ และ ธรรมที่ตรงกันข้ามกับมานะ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว กุศลธรรมทั้งหมด ย่อมตรงกันข้ามกับอกุศลธรรม

มานะ ในทางโลกเข้าใจกันว่าเป็นความพยายามบากบั่นขยันหมั่นเพียร แต่ในทางธรรม มานะ เป็นความสำคัญตน เป็นความทะนงตน ถือตน เป็นเจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) ประเภทหนึ่ง เป็นอกุศลเจตสิกที่เกิดร่วมกับโลภมูลจิตเท่านั้น มานะ เป็นความถือตนทะนงตน ซึ่งไม่มีใครชอบอย่างแน่นอน ผู้ที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ มานะก็ยังมี แต่ว่าความหยาบ ความเบาบางก็แตกต่างกันออกไป เมื่อศึกษาในเรื่องของมานะ ซึ่งเป็นอกุศลเจตสิกประเภทหนึ่ง ทำให้เห็นว่าอกุศลในชีวิตประจำวันมีมากจริงๆ แล้วแต่ว่าใครจะสะสมหนักมากไปในทางใด หรือว่า ใครจะสามารถขัดเกลาให้เบาบางลงได้ในแต่ละทาง ซึ่งธรรมที่ขัดเกลามานะ ก็จะต้องเป็นกุศลธรรมเท่านั้น ที่ควรอบรมเจริญให้มีขึ้นในชีวิตประจำวันมี ความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นต้น เพราะขณะนั้น จิตใจอ่อนโยน ไม่หยาบกระด้าง และประการสำคัญ การอบรมเจริญปัญญา ซึ่งเริ่มจากการฟัง การศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สามารถไปถึงซึ่งการดับกิเลสได้ รวมถึงกิเลสที่กำลังกล่าวถึง คือ มานะ ด้วย กิเลสทั้งหลายที่มีนั้น ต้องเป็นผู้มีปัญญา ถึงจะดับได้ ถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้เลย ครับ.

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความต่อไปนี้เพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น ครับ

มานะ [ธรรมสังคณี]
โทษของมานะ [มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์]
ใจเจียม ด้วยไม่มีมานะ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
bsomsuda
วันที่ 9 ต.ค. 2554

"ธรรมที่ขัดเกลามานะ ก็จะต้องเป็นกุศลธรรมเท่านั้น ที่ควรอบรมเจริญให้มีขึ้นในชีวิตประจำวันมี ความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นต้น.."

"ถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้เลย"

"ปัญญาเจริญขึ้น ก็ค่อยๆ ลดละกิเลสประการต่างๆ ในชีวิตประจำวันไปเองครับ เพราะเป็นหน้าที่ของธรรม ไม่ใช่เรา"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณผเดิม อ.คำปั่น และทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
SOAMUSA
วันที่ 9 ต.ค. 2554

กราบอนุโมทนาอาจารย์ และทุกๆ ท่านค่ะ

ขอบพระคุณอย่างสูง ดิฉันว่าการดูถูกคนก็เป็นมานะ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pat_jesty
วันที่ 9 ต.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wannee.s
วันที่ 13 ต.ค. 2554

จะลดมานะ ต้องมีปัญญา คือ การอบรมเจริญกุศลทุกประการ ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ เช่น เจ้าศากยะที่ออกบวช ท่านเหล่านั้นมีความสำคัญตนเป็นกษัตริย์ต้องการลดมานะ จึงให้พระอุบาลีซึ่งเป็นช่างกัลบก บวชก่อน ตนเองก็บวชทีหลัง เพราะผู้บวชทีหลังต้องให้ความเคารพผู้บวชก่อน ท่านเหล่านั้นก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตนกับพระอุบาลี เป็นการขัดเกลากิเลส ขัดเกลามานะของตนเองค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
orawan.c
วันที่ 24 ต.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
สิริพรรณ
วันที่ 30 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ