ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๑๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมในแต่ละครั้งรวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๙]
[1] สิ่งสำคัญ คือ ฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจสภาพธรรมให้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่าไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้ว ก็ดับไป เพื่อเป็นการละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะเหตุว่า ไม่ทราบว่าแต่ละคน ชาติต่อไปจะอยู่ที่ไหน แต่ชาตินี้อยู่ที่นี่ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้มีโอกาสฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็จะต้องสะสมอบรมเจริญปัญญาต่อไป
[2] พระพุทธศาสนา เป็นเรื่องละตั้งแต่ต้น ละความไม่รู้ที่เกิดจากการไม่เคยฟังขณะใดที่กำลังฟังเข้าใจขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ความรู้ความเข้าใจ นี้ ย่อมละความไม่รู้ ถ้าจิตใจของเราว่างเว้น หรือปราศจากอกุศลบ้าง ในวันหนึ่งๆ ขณะนั้นเรากำลังสะสมสิ่งที่ดี เป็นกุศลเพิ่มขึ้น
[3] ที่เขาถามกันว่า "ทำไมถึงต้องเป็นเรา" แต่ทางธรรมจะตอบว่า "เพราะต้องเป็นเรา" เพราะว่าเราทำเหตุ เพราะฉะนั้น เมื่อถึงคราวต้องได้รับผล ก็ต้องเกิดผล ซึ่งเมื่อเราทำมาแล้ว ก็ต้องเป็นเราที่จะได้รับ จะให้เป็นคนอื่นได้รับได้อย่างไร และเราก็จะไม่ขุ่นเคืองคนอื่น เพราะจริงๆ แล้ว ไม่ใช่เพราะเขา แต่เป็นเพราะกรรมของเราต่างหากที่ให้ผล
[4] มงคล ไม่ได้อยู่ที่ชื่อ ไม่ได้อยู่ที่วัตถุ ไม่ได้อยู่ที่วันเวลา แต่อยู่ที่สภาพจิตที่เป็นกุศลและมีการกระทำทางกาย ทางวาจาที่ดีงาม ของแต่ละบุคคล
[5] พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมเพื่อใคร? เพื่อสาวก สาวก คือ ผู้ฟัง แม้ท่านพระสารีบุตร ก็ต้องฟังพระธรรม ผู้ที่บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ยังฟังพระธรรม
[6] เงิน ทอง ลาภ ยศทั้งหมด ก็ยังมีเวลาเสื่อมสูญได้ แต่ว่าความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่สูญหาย และไม่ว่าคนนั้นจะประสบกับโลกธรรม เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เจ็บไข้ได้ป่วย มีความทุกข์ด้วยประการใดๆ ก็ยังเบาบางได้ เพราะรู้ว่าเป็นความจริงของธรรม ซึ่งไม่ใช่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุปัจจัย
[7] พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สะอาดที่สุดด้วยปัญญา เพราะเหตุว่าเป็นไปเพื่อการละ เพียงประโยคนี้ "เป็นไปเพื่อการละ" กล่าวคือ ละตั้งแต่ต้นจนจบ
[8] เคยโกรธใคร ไม่ชอบใคร จะโกรธต่อไป ไม่ชอบต่อไป หรือจะมีเมตตา? ถ้าโกรธต่อไป ไม่ชอบต่อไป นั่นคือประมาทกิเลสแล้ว
[9] ทุกคนมีอัตภาพ (คือ ความเป็นบุคคลนี้) ซึ่งเป็นนามธรรม และ รูปธรรม ใช้ต่างกัน แล้วแต่บุคคล คนพาลก็ใช้ไปในทางทุจริต มีชีวิตเพื่อกระทำอกุศลกรรมแต่ถ้าเป็นบัณฑิต ก็ใช้ไปในทางที่เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้นด้วยการสะสมกุศล และ อบรมเจริญปัญญา
[10] กุศลจิตเกิดขณะใด ขณะนั้นเป็นเพื่อนแท้ เพราะไม่เป็นโทษ ไม่เป็นภัยเลย สะสมมาที่จะฟังพระธรรม เพราะเห็นประโยชน์ ถ้าไม่เห็นประโยชน์จะไม่ฟังอย่างแน่นอน ไม่มีใครฟังพระธรรมเพียงครั้งเดียว แล้วจะรู้ธรรมได้ในทันทีทันใด พระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ล้วนเป็นผู้สะสมเหตุที่ดี คือ สะสมการฟังพระธรรม เป็นผู้สดับตรับฟังพระธรรม มามาก ทั้งนั้น
[11] ฟังพระธรรมแล้วมุ่งหวังจะให้เข้าใจเพียงอย่างเดียว หรือจะเป็นผู้ไม่ประมาทในการเจริญกุศลในชีวิตประจำวันด้วย? เพราะถ้ากุศลแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่ได้เจริญแล้วจะดำเนินไปถึงซึ่งการดับกิเลสได้อย่างไร
[12] ง่าย สบาย ไม่ลำบาก ไม่ต้องไปแบกหาม ไม่ต้องขุดดิน คือ การฟังพระธรรม แต่ที่ยากคือความลึกซึ้งของพระธรรม ถึงแม้ว่าจะยากอย่างไร ก็ไม่เหลือวิสัยสำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ตั้งใจศึกษา
[13] ธรรมเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าไม่เริ่มฟัง วันที่เข้าใจ ก็จะมีไม่ได้
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๑๘ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๘
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
กุศลจิตเกิดขณะใด ขณะนั้นเป็นเพื่อนแท้ เพราะไม่เป็นโทษ ไม่เป็นภัยเลย
ขออนุโมทนาค่ะ
"ฟังพระธรรม แล้วมุ่งหวังจะให้เข้าใจเพียงอย่างเดียว หรือจะเป็นผู้ไม่ประมาทในการเจริญกุศลในชีวิตประจำวันด้วย? เพราะถ้ากุศลแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่ได้เจริญแล้วจะดำเนินไปถึงซึ่งการดับกิเลสได้อย่างไร "
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น และทุกท่านค่ะ
ที่เขาถามกันว่า "ทำไมถึงต้องเป็นเรา" แต่ทางธรรมจะตอบว่า "เพราะต้องเป็นเรา" เพราะว่าเราทำเหตุ เพราะฉะนั้น เมื่อถึงคราวต้องได้รับผล ก็ต้องเกิดผล ซึ่งเมื่อเราทำมาแล้ว ก็ต้องเป็นเราที่จะได้รับ
... ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ. คำปั่น ด้วยค่ะ ...
เหตุการณ์น้ำท่วมบ้านเราครั้งนี้ แทนที่เราจะทุกข์ใจไปกับเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ก็เกิดคิดถึงธรรมที่ท่าน อ.สุจินต์ ได้เตือนไว้ว่า
สัตว์โลกเป็นที่ดูของกรรม และผลของกรรม ทุกคนหนีกรรมที่ตนได้กระทำไว้แล้วไม่ได้จริงๆ ได้ข่าวเห็นหมูลอยน้ำตาย คนถูกน้ำพัดพาไป จะต่างอะไรกับคนฆ่าหมู หรือคนถูกฆาตกรรม แท้จริงการตายของหมู และคนตายจากทุกเหตุการณ์ก็เป็นเพราะ อกุศลกรรมของตนที่ได้กระทำไว้แล้วเป็นเหตุ ... ไม่มีใครทำให้ เพราะฉะนั้น เมื่อถึงคราวต้องได้รับผล ก็ต้องเกิดผล ซึ่งเมื่อเราทำมาแล้ว ก็ต้องเป็นเราที่จะได้รับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ ...