สภาพธรรมที่ปรากฎตามความเป็นจริง
ขออาจารย์ช่วยอธิบายประโยคที่กล่าวว่า สภาพธรรมที่ปรากฎตามความเป็นจริง คืออย่างไรครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ในความเป็นจริงที่เป็นสัจจะ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า ความจริงที่เป็นปรมัตถ ธรรม คือ ความจริงอันยิ่งไม่มีความจริงอื่นยิ่งกว่า คือ จิต เจตสิก รูปและนิพพาน ซึ่ง สภาพธรรมที่ปรากฎในชีวิตประจำวันเป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือ จิต เจตสิก และรูป สำหรับปุถุชนผู้ที่ไม่ได้สดับ ไม่มีปัญญา ไม่รู้ความจริงตามที่พระอริยเจ้าทั้ง หลายรู้ ย่อมยึดถือสำคัญในจิต เจตสิกและรูปว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล เป็นตัวตน เพราะไม่มีปัญญา เห็นความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ ที่เป็น จิต เจตสิกและรูปว่า ไม่เที่ยง เกิดดับ เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ซึ่งขณะนี้ กำลังเห็น จิตเห็นเท่านั้นที่เกิด ขึ้น ขณะที่เห็น ย่อมจะไม่ได้ยินเสียง แต่ในชีวิตประจำวัน ขณะที่เห็น ก็ได้ยินด้วย ไม่ได้ดับไปเลย ก็ยังได้ยินอยู่พร้อมๆ กับการเห็น อันแสดงถึงความเกิดดับของสภาพ ธรรมที่รวดเร็วมาก จึงยึดถือว่าเป็นเราทีเห็น ไม่ได้ว่าดับไป เป็นเราที่ได้ยิน ขณะที่ได้ ยิน ได้ยินเสียงเท่านั้น ขณะนั้นต้องไม่เห็น แต่ในชีวิตประจำวัน เมื่อได้ยินเสียง ก็ยัง เห็นอยู่ เห็นนั้นก็ไม่ได้ดับไปเลย แสดงถึงการไม่ได้ประจักษ์ความจริงและสภาพธรรม ที่เกิดดับเร็วมาก จึงยึดถือว่าเป็นเราที่เห็นได้ยินครับ
ดังนั้นสำคัญที่ปัญญา สภาพธรรมนั้นมีจริงอยู่แล้ว ไม่ว่า จิต เจตสิกและรูป แต่เพราะ ไม่ได้มีปัญญาประจักษ์ความจริง ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ที่เป็นสภาพธรรมทีเกิด ดับอย่างรวดเร็ว ก็ย่อมสำคัญผิด ในสิ่งที่มีจริง คือ จิต เจตสิกและรูป เป็นอย่างอื่นไป ครับ คือ สำคัญผิดว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล สิ่งต่างๆ สภาพธรรมจึงมีอยู่จริง แต่พระ พุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงที่มีอยู่ ด้วยพระปัญญาและทรงสั่งสอนหมู่สัตว์ที่สะสม ปัญญามาให้รู้ตามได้ เพียงแต่ว่า จะต้องอาศัยกาลเวลายาวนานในการอบรมปัญญา ในการรู้ความจริงตามที่พระองค์ได้แสดงไว้ เพราะสะสมกิเลส ความไม่รู้ไว้มาก ในสัง สารวัฏฏ์ และสะสมปัญญามาน้อย จึงต้องอาศัยการฟังไปเรื่อยๆ เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ก็ จะทำให้เห็นคล้อยตามความเป็นจริงว่า สภาพธรรมมีอยู่จริง เมื่อก่อนไมได้รู้ เพราะยัง ไม่ประจักษ์ แต่เมื่อได้ประจักษ์ด้วยปัญญาย่อมเห็นตามความเป็นจริงว่าสภาพธรรมนั้น มีอยู่จริงครับ ดังเช่น พระอริยสาวกทั้งหลาย ท่านได้รู้ความจริงด้วยปัญญาและเกิด ความคิดในใจว่า ความจริงเท่านั้นคือ สภาพธรรม ที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่เที่ยงเป็น ทุกข์และเป็นอนัตตาครับ ความจริงมีอยู่แล้ว ขาดเพียงปัญญาที่จะไปรู้เท่านั้นครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา โดยพระองค์ทรงใช้พยัญชนะที่หลากหลายมากมายในการแสดงพระธรรมเทศนา เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง สำหรับธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรสรู้สิ่งทีกระทบสัมผัส คิดนึก จิตเป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นวิบาก เป็นกิริยา โดยประมวลแล้ว เป็นจิต เจตสิก รูป หรือ เป็นนามธรรม กับ รูปธรรม เมื่อประมวลให้ย่อที่สุดแล้วคือ เป็นธรรม หรือ เป็นธาตุ เมื่อเป็นธรรม เป็นธาตุแต่ละอย่างๆ จึงหาความเป็นสัตว์เป็นบุคคลไม่ได้เลย
การศึกษาธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด จุดประสงค์ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ตามความเป็นจริง ถ้าไม่อาศัยการฟัง ไม่อาศัยการศึกษาอย่างต่อเนื่องด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว ย่อมไม่สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้ ไม่สามารถละคลายความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล ได้ ดังนั้น จึงต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้นไปตามลำดับ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ.....
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิมและอาจารย์คำปั่นครับ
ขอ อนุโมทนา ครับ
ศึกษา (อ่าน ฟัง คิด พิจารณา ถาม จด จำ และ ปฏิบัติ (ทำ)) ก็ สามารถ บรรลุธรรม ได้ เป็นลำดับๆ ไป, อยาก ให้ ทุกคน ใน โลก นี้ เป็น คนดี คง เป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม? ครับ, มัน เป็น เช่นนั้นเอง ใช่ไหม? ครับ
ขอ ท่านผู้อ่าน พร้อมทั้งครอบครัว เจริญรุ่งเรืองสุขสดชื่น ยิ่งๆ ขึ้น เทอญ
ขอ ข้าพเจ้า เป็นสุขๆ เถิด อย่ามีทุกข์กายทุกข์ใจเลย
ขอ สรรพสัตว์ ทั่วจักรวาล เป็นสุขๆ เถิด อย่ามีทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สวัสดี ครับ