สัมมาทิฏฐิ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เล่มที่ 33] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 264
ในธรรม ๘ ประการนี้ ดังพรรณนามาฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงสัมมาทิฏฐิก่อน เพราะเป็นอุปการะแก่พระโยคีผู้ปฏิบัติเพื่อ บรรลุพระนิพพาน. ก็สัมมาทิฏฐินี้เป็นไปโดยชื่อว่า ปญฺญาปชฺโชโต ปญฺญาสตฺถํ (ปัญญาเป็นแสงสว่าง ปัญญาเพียงดังศัสตรา) ดังนี้.
เพราะเหตุนั้น พระโยคาวจรกำจัดมืดคืออวิชชา ด้วยสัมมาทิฏฐิ คือ วิปัสสนาญาณนี้ในเบื้องต้น ฆ่าโจรคือกิเลสเสีย ย่อมบรรลุพระนิพพาน โดยความเกษม. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
นิพฺพานาธิคมาย ปฏิปนฺนสฺส โยคิโน
พหุการตฺตา ปฐมํ สมฺมาทิฏฺฐ เทสิตา.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสัมมาทิฏฐิก่อน เพราะเป็นธรรมมีอุปการะมากแก่พระโยคีผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุพระนิพพาน.
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
จากพระสูตรที่คุณหมอยกมานั้น อธิบายถึงเรื่องของสัมมาทิฏฐิ ซึ่งคำว่า สัมมาทิฏฐิ เป็นชื่อของปัญญา ชื่อหนึ่ง คือ ความเห็นชอบ ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ซึ่งสำหรับพระสูตรนี้ อธิบาย อริยมรรคมีองค์ ๘ ว่ามีเหตุผลอะไร ถึงแสดงองค์ธรรมแต่ละอย่าง ซึ่ง อริยมรรคมีองค์ ๘ เริ่มต้นด้วยสัมมาทิฏฐิ เหตุผลที่เริ่มด้วยปัญญา คือความเห็นชอบก่อนนั้น เพราะหากขาดปัญญาแล้ว ขาดความเห็นถูกแล้ว ก็ไม่สามารถละ กำจัดกิเลส มีความไม่รู้ เป็นต้นได้เลย เพราะมีความรู้ สัมมาทิฏฐิ ตามความเป็นจริง ย่อมละความไม่รู้ได้ และค่อยๆ รู้ขึ้นในสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ครับ และที่แสดงสัมมาทิฏฐิก่อน เพราะการกำจัดกิเลส และสภาพธรรมฝ่ายดีประการอื่นๆ ที่เป็นองค์ของมรรคประการต่างๆ จะเจริญไม่ได้เลย หากขาดปัญญาคือสัมมาทิฏฐิครับ ธรรมคือปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ จึงเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก อุปการะเกื้อกูลทำให้สามารถบรรลุธรรมได้ครับ
ปัญญา สัมมาทิฏฺฐิ ก็จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ปัญญา สัมมาทิฏฐิ แม้ขั้นการฟังก็มีอุปการะ เกื้อกูล เพราะถ้าไม่ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ให้มีปัญญาขั้นการฟังแล้ว การปฏิบัติก็ผิดตามไปด้วยหมด ปัญญาจึงเป็นเบื้องต้น ต่อการบรรลุธรรมในอนาคตครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอและทุกท่านครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอบพระคุณและอนุโมทนา
คุณผเดิม, คุณคำปั่น, คุณเมตตา, คุณผู้ร่วมเดินทาง และทุกท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมสนทนาด้วยครับ
การที่สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ, ความเห็นถูก, ความเข้าใจถูก, ปัญญา) จะเจริญขึ้นได้ จะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องอาศัยการอบรมจากการฟัง การศึกษาพระธรรม พิจารณาไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ที่สำคัญ คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม
ปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นสภาพธรรมที่มีจริง [เมื่อเป็นธรรม ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน] เมื่อปัญญาเกิดขึ้น ก็ทำกิจหน้าที่ของปัญญา คือ เข้าใจถูก เห็นถูก เมื่อปัญญาเจริญขึ้น คมกล้าขึ้น ก็สามารถถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ได้ ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นเหมือนอย่างเช่นพระอริยสาวกทั้งหลายในอดีต ที่ท่านเป็นอย่างนั้นได้ก็เพราะปัญญาที่ท่านได้สะสมอบรมมานั่นเอง
ตามความเป็นจริงแล้ว การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ นั้น เป็นเรื่องที่ไกลมาก แต่อย่างไรก็ตาม ปัญญาที่ได้สะสมในขณะนี้จากการฟัง การศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้งไม่สูญหายไปไหน ยังสะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ และจะมีกำลังเพิ่มมากยิ่งขึ้น ถ้าได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมต่อไป เมื่อปัญญาเจริญขึ้น กุศลธรรมประการต่างๆ ก็ย่อมจะเจริญขึ้นคล้อยตามปัญญา ครับ.
...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอและทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอ, อาจารย์ผเดิม, อาจารย์คำปั่น และทุกท่านครับ
[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ [เล่มที่ 17] - หน้าที่ 537
ข้อความบางตอนจากสัมมาทิฏฐิสูตร
ถามว่า อวิชชาคืออะไรเล่าคุณ? เหตุเกิดอวิชชา ความดับไปแห่งอวิชชา ข้อปฏิบัติ ให้ถึงความดับไปแห่งอวิชชา คืออะไร.
ตอบว่า คุณ ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความไม่รู้ในความดับไปแห่งทุกข์ ความไม่รู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งทุกข์ นี้แลคุณ เรียกว่าอวิชชา.
เพราะอาสวะเกิด อวิชชาจึงเกิด เพราะอาสวะดับ อวิชชาจึงดับ อริยาษฎางคิกมรรคนี้เท่านั้น เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งอวิชชา คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.
ขอเชิญคลิกฟังธรรมได้ที่ ...
สัมมาทิฏฐิเห็นชอบในสิ่งที่ปรากฏตรงตามความเป็นจริง
การเจริญสติปัฏฐานจำเป็นต้องมีสัมมาทิฏฐิในการข้อปฏิบัติก่อน
...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอเพิ่ม และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ...