เมื่อเกิดความกลัว (ผี) ควรรับมืออย่างไร?
เวลาที่เราเจอผีหลอก (สำหรับคนมีสัมผัสที่ 6) เค้าก็กล่าวกันว่า ให้ระลึกถึงพระรัตนตรัยบ้าง ให้สวดมนต์บ้าง แต่ถ้าให้ถูกต้องจริงๆ ควรจะทำอย่างไรดีครับ เพราะด้วยเหตุที่ว่า บางคนก็ไม่เชื่อว่า "ผี" คือ สิ่งที่มีจริงๆ น่ะครับ แต่คนที่เจอจริงๆ หรืออาจจะเจอกับเหตุการณ์อันไม่คาดฝันบางอย่าง ที่ทำให้รู้สึกขวัญหนีดีฝ่อ ก็บอกว่า ถูกผีหลอก อยากทราบว่า เราควรจะจัดการยังไงดีครับ ถ้ามีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตามความเป็นจริงแล้ว สัตว์โลก ไม่ได้มีเฉพาะมนุษย์กับสัตว์ดิรัจฉานเท่านั้น สัตว์โลกประเภทอื่นที่มีนอกจากนี้ก็มี คือสัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา และพรหม ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนั้น เพราะมีสภาพธรรมที่จริง กล่าวคือ จิต เจตสิก และรูป จึงมีการสมมติว่าเป็นสัตว์โลก เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับว่าจะเรียกสัตว์ในภพภูมิอื่นว่าอย่างไร ก็เรียกไปตามสมมติเท่านั้น แท้ที่จริงแล้ว สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่มี มีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา โดยพระองค์ทรงใช้พยัญชนะที่หลากหลายมากมายในการแสดงพระธรรมเทศนา เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง
สำหรับธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก จิตเป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นวิบาก เป็นกิริยา โดยประมวลแล้ว เป็นจิต เจตสิก รูป หรือเป็นนามธรรมกับรูปธรรม เมื่อประมวลให้ย่อที่สุดแล้ว คือเป็นธรรมหรือเป็นธาตุ เมื่อเป็นธรรมเป็นธาตุแต่ละอย่างๆ จึงหาความเป็นสัตว์เป็นบุคคลไม่ได้เลย สภาพธรรมทั้งหลายเหล่านี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ควรรู้ควรศึกษาให้เข้าใจ และสามารถเข้าใจได้ด้วยปัญญา
การศึกษาธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด จุดประสงค์ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ตามความเป็นจริง ถ้าไม่อาศัยการฟัง ไม่อาศัยการศึกษาอย่างต่อเนื่องด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว ย่อมไม่สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้ ดังนั้น จึงต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้นไปตามลำดับ ความรู้ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น แม้แต่ ... ขณะที่คิดว่าผีมีจริงหรือเปล่า ขณะที่คิดนั้น สภาพคิดเท่านั้นที่เป็นสิ่งที่มีจริง เรื่องที่คิดไม่มีจริง และในขณะที่เกิดความกลัวขึ้นนั้นก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพจิตที่เป็นอกุศล ประกอบด้วยโทสะและความรู้สึกไม่สบายใจ ซึ่งเป็นธรรมดาของบุคคลผู้ที่ยังละโทสะไม่ได้ การที่จะดับความกลัวไม่ให้เกิดขึ้นอีกเลย ต้องเป็นผู้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่เป็นพระอนาคามี จึงจะไม่มีความกลัวเกิดขึ้น, ในชีวิตประจำวัน ขณะที่จิตเป็นกุศล ก็ไม่กลัวแล้ว เพราะขณะที่จิตเป็นกุศล ไม่มีโทสะเกิดร่วมด้วยอย่างแน่นอน เป็นธรรมคนละประเภทกัน ไม่เกิดร่วมกันอย่างเด็ดขาด ค่อยๆ เจริญกุศลไปในชีวิตประจำวัน ก็จะบรรเทาความกลัวได้ ดังนั้น การที่จะรับมือกับความกลัว ต้องด้วยกุศลทุกๆ ประการเท่านั้น แต่ที่สำคัญ ต้องไม่ลืมความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แม้แต่ความกลัวก็เป็นธรรมที่มีจริง ไม่ใช่เรา และกุศลธรรมที่เกิดขึ้น ก็เป็นธรรม ไม่ใช่เราอีกเหมือนกัน ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
คนที่กลัวผี หรือสัตว์เลื้อยคลาน จะมีวิธีแก้อย่างไร
... ขออนุโมทนาในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในความเป็นจริงมีแต่จิต เจตสิกและรูป แต่เมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาที่เป็นรูป ก็คิดนึกต่อว่าเป็นสัตว์ บุคคล เป็นสิ่งต่างๆ เพราะอาศัยการคิดนึกทางมโนทวารครับ จึงสำคัญผิด ด้วยความเข้าใจว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีคน มีสัตว์ มีผี มีสิ่งต่างๆ เมื่อสำคัญว่ามีจริง ย่อมเกิดความติดข้องในสิ่งที่เห็นว่าเป็นสิ่งต่างๆ และไม่ใช่แค่ความติดข้องในสิ่งที่เห็นเท่านั้นที่เกิดขึ้น กิเลสประการอื่นๆ ก็เกิดขึ้น เมื่อได้เห็น ได้ยินสิ่งต่างๆ แม้แต่ ความกลัวที่เป็นโทสะก็เกิดขึ้นได้ ในสิ่งที่เห็น ได้ยิน และคิดนึก เป็นรูปร่างสัณฐาน อันสมมติว่า เป็นผี
อารมณ์ที่ดีหรือรูปที่ดี ประณีต สวยงาม ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดโลภะความติดข้อง ส่วนรูปที่ไม่ดี คือสิ่งที่ปรากฎทางตาที่ไม่งามย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดโทสะความกลัวได้ ครับ ตามสมมติว่าเป็นผี ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาที่ไม่ดีไม่งาม ย่อมเป็นปัจจัย ให้เกิดโทสมูลจิต เกิดความกลัวในสิ่งนั้นได้เป็นธรรมดา จึงควรเข้าใจถึงความเป็น ธรรมดาของสภาพธรรมที่จะต้องเกิดขึ้น คือเมื่อเห็นรูปที่ไม่ดี ที่สมมติว่าเป็นผี ก็ทำให้เกิดความกลัว เกิดโทสะเป็นธรรมดา แสดงถึงความเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ของสภาพธรรม แม้ความกลัวที่เกิดขึ้นครับ
การรับมือ การวางใจในเมื่อได้เห็น ได้ยินในสิ่งที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน จึงเป็น เรื่องของการสะสมมาของจิต เจตสิกของแต่ละดวง แต่ละคน ที่สะสมความแยบคายในการพิจารณาในสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะกลัวหรือไม่กลัวในสิ่งที่เห็น แต่ผู้ที่ไม่ไ่ด้อบรมปัญญาและอบรมปัญญาในหนทางดับกิเลส มีความแตกต่างกัน คือผู้ที่ไม่ได้อบรมปัญญา แม้ไม่กลัว ก็เป็นเราที่ไม่กลัว ไม่ได้เข้าใจเลยว่าเป็นสภาพธรรมในขณะนั้น เป็นเราที่ไม่กลัว แต่แม้ผู้ที่ศึกษาธรรมจะกลัว แต่ก็เป็นผู้ที่เข้าใจตามความเป็นจริงว่ากลัวมีจริง เกิดขึ้นแล้ว และบังคับบัญชาไม่ได้ และค่อยๆ เริ่มเข้าใจความจริงของความกลัวว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรม ไม่ใช่เราครับ
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องเข้าใจแต่ไม่ใช่จะวางใจหรือจะรับมืออย่างไร สำคัญที่อบรมเหตุ คือการฟังพระธรรมต่อไป โดยเฉพาะเรื่องการเข้าใจว่าเป็นธรรม เมื่อถึงเวลานั้น คิดไว้ว่าจะวางใจว่าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้ แต่เราก็ค่อยๆ เข้าใจความจริงว่าบังคับบัญชาไม่ได้เลยว่าจะทำให้ไม่กลัวเกิดขึ้น แต่ต้องค่อยๆ เริ่มเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใชเ่รา ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องพยายามรับมือ นอกจากฟังพระธรรมต่อไป ธรรมจะปฏิบัติหน้าที่เอง คือปัญญาเจริญขึ้นก็จะค่อยๆ เข้าใจความจริงที่เกิดขึ้น แม้ความกลัวที่เกิดขึ้นก็เข้าใจว่าไม่ใช่เราครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
จะรับมือกับผีหรือว่าจะเข้าใจความจริงคะ ขณะที่เห็นผี ... สิ่งที่มีจริงๆ คือสภาพเห็นกับสี (สิ่งที่ปรากฏทางตา) ผีเป็นเพียงสมมติ แต่การปรุงแต่งของจิตทำให้เกิดความคิดต่างๆ นานา ส่วนความกลัวที่เกิดขึ้นมาจากกิเลสของตัวเองล้วนๆ ถ้าไม่ใช่อกุศลวิบาก ไม่ว่าใครหรือสิ่งใดก็ทำร้ายเราไม่ได้ค่ะ ขอให้มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง เพราะความเข้าใจธรรมจะทำให้เป็นผู้อาจหาญร่าเริงค่ะ
บางคนเห็นผีหรือสัตว์ที่น่าเกลียด แล้วเกิดกุศลจิต กล่าวคือ เกิดความสลดใจ สงสารที่สัตว์โลกนี้ต้องรับผลกรรมแบบนี้ ด้วยเหตุจากอกุศลกรรม และเกิดหิริโอตตัปปะว่าเราเองก็จะต้องเป็นอย่างนี้ๆ ถ้าหากเราไม่หมั่นฟังพระธรรมเพื่อละความไม่รู้และให้ปัญญาเจริญขึ้น เพื่อเกื้อกูลให้กุศลจิตค่อยๆ เจริญขึ้นตามการสะสม
อนุโมทนาทุกท่านครับ
ความกลัวเกิดจากความไม่รู้จริง วิธีที่จะจัดการกรณีผีหลอก ก็คือ ศึกษาให้รู้ความจริง ศึกษา ค้นคว้า สอบสืบ ให้รู้แน่ชัดว่าผีคืออะไร สิ่งที่เราเห็นและกลัวนั้นคืออะไรกันแน่ ตามไปดูให้เห็นประจักษ์ถึงรากถึงแก่น ทำอย่างนี้สำเร็จเมื่อไร เมื่อนั้น เลิกกลัวผี และเลิกกลัวอะไรทั้งหมด ทำอย่างที่ว่านี้ยังไม่ได้ ก็ฝึกทำต่อไปจนกว่าจะทำได้ ถ้ายังไม่ฝึก ยังไม่ทำ ก็ต้องกลัวผีต่อไป ขอให้ประสบความสำเร็จครับ