ทำไมพระฉันนะ ด่าพระอัครสาวก ทำไมจึงสำเร็จอรหันต์ได้
พระฉันนะ ด่าพระสารีบุตร ซึ่งมากด้วยบารมี และเป็นพระอรหันต์ หยาบคาย ขนาดพระพุทธเจ้าเรียกไปสอนตั้ง ๓ ครั้งก็ยังออกมาด่าทุกครั้ง หลังจากพระสารีบุตรนิพพาน พระฉันนะก็ไม่ได้ขออโหสิกรรม แบบนี้ไม่ถือว่าเป็นกรรมหนักขวางการบรรลุธรรมไม่ใช่เหรอ พระด่าทอพระอรหันต์ที่มีบุญมาก ขนาดลูกน้องพระเทวทัตด่าทอพระสารีบุตร พระโมคัลลานะ ตุ่มยังขึ้นแล้วก็ตายลงนรกอย่างเร็ว แต่พระฉันนะกลับไม่เป็นอะไรเลยทั้งๆ ที่ด่าแรงและนานกว่าลูกน้องพระเทวทัตเสียอีก ขนาคพระพุทธเจ้าเรียกไปสอนก็ไม่ฟัง ยิ่งน่าจะหนักเข้าไปอีก พอพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เจอพระสงฆ์ไม่ยุ่งสุงสิงด้วยจนสำนึกผิด แล้วก็บรรลุอรหันต์ เลยผมละงงจริงๆ อย่างแรก พระฉันนะซึ่งทำกรรมหนักกว่าลูกน้องเทวทัต น่าจะลงนรกเหมือนกัน แต่กลับอยู่มาจนสำเร็จอรหันต์ อย่าง ๒ แบบนี้เห็นใครด่าพระอริยะแล้วเราไปเพ่งโทษด่าทอเขา ทำร้ายเขา แล้วเกิดชาตินั้นเขาจะสำเร็จอรหันต์เมื่อเขากลับใจแบบพระฉันนะ เราไม่ซวยเหรอ แล้วถ้าเกิดใครด่าพระสงฆ์เราจะทำยังไงกับเขาดีละ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรม เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง แม้แต่กรณีคำถามนี้ ที่ว่า พระฉันนะ ด่าว่าพระอัครสาวก มีพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ทำไมยังได้บรรลุธรรม ทำไมไม่เป็นเครื่องกั้นการบรรลุ ขนาดท่านพระโกกาลิกะด่าว่า ยังกรรมให้ผลทันที และตกนรกด้วย แต่ทำไมพระฉันนะ ตอนหลังบรรลุได้ ขออธิบายดังนี้ครับ
ก่อนอื่น ท่านพระฉันนะ เป็นผู้ที่เกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า เป็นสหชาติทั้ง ๗ คือเป็น ๑ ใน ๗ ที่เกิดพร้อมกับพระพุทธเจ้า เติบโตมาด้วยกัน และก็เป็นสหายเพื่อนเล่น และก็ทำหน้าที่คอยรับใช้พระโพธิสัตว์มาตลอด ในวันที่พระโพธิสัตว์ออกมหาภิเนษกรมณ์ คือออกบวช นายฉันนะก็ติดตามไปด้วย จึงมีความคุ้นเคยกับพระโพธิสัตว์เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อพระโพธิสัตว์ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และนายฉันนะออกบวช ท่านพระฉันนะอาศัยความคุ้นเคยที่เคยมี จึงถือตัวสำคัญตนว่าตนเองเป็นคนสนิทของพระพุทธเจ้า สำคัญว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ของเรา จึงถือตัวและด่าว่า สังเกตคำด่าว่าของท่านพระฉันนะครับ ที่ด่าว่าอัครสาวก
ท่านพระฉันนะนั้น ด่าพระอัครสาวกทั้งสอง ว่า "เราเมื่อตามเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (ออกบวช) กับพระลูกเจ้าของเราทั้งหลาย ในเวลานั้น มิได้เห็นผู้อื่นแม้สักคนเดียว แต่บัดนี้ ท่านพวกนี้ เที่ยวกล่าวว่า เราชื่อสารีบุตร เราชื่อโมคคัลลานะ พวกเราเป็นอัครสาวก"
จะเห็นนะครับว่าเป็นการพูดยกตนข่มผู้อื่น แต่ไม่ได้ด่าว่าที่คุณธรรมของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเลย คือไม่ได้ลบล้างคุณของท่านอัครสาวกดังเช่นพระโกกาลิกะที่ด่าว่าอัครสาวกว่าเป็นผู้มักมาก เป็นการด่าว่า ลบล้างคุณธรรมของท่านครับ
ประเด็นที่สำคัญคือธรรมที่เป็นอันตรายอันเป็นเครื่องกั้นไม่ให้บรรลุธรรมประการหนึ่ง คือ อริยุปวาท หมายถึงการด่าว่าร้ายพระอริยเจ้า ซึ่งเราก็ต้องละเอียด ว่า อริยุปวาท เป็นอย่างไร อย่างไหนเป็นอริยุปวาท พระฉันนะด่าว่าพระอัครสาวกแบบนี้ เป็นอริยุปวาทว่าร้ายพระอริยเจ้าหรือไม่ครับ
ดังนั้น มาทำความเข้าใจว่า อริยุปวาท การว่าร้ายพระอริยเจ้า คืออะไร และอย่างไรจึงเป็นอริยุปวาท อันเป็นธรรมที่เป็นเครื่องกั้นต่อการบรรลุธรรมครับ
วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 216
อริยุปวาท
ข้อว่า "อริยาน อุปวาทกา - ผู้ว่าร้ายพระอริยะทั้งหลาย" ความว่า เป็นผู้มุ่งความเสื่อมเสีย ว่าร้ายเอา อธิบายว่าด่าเอง ติโทษเอา ซึ่งพระอริยะทั้งหลาย คือพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธ และพระสาวกทั้งหลาย โดยที่สุด แม้พระโสดาบันคฤหัสถ์ ด้วยอันติวัตถุก็ตาม ด้วยการลบล้างคุณก็ตาม ในอาการสองอย่างนั้น ผู้กล่าวว่า "สมณธรรมของบุคคลเหล่านี้ไม่มี บุคคลเหล่านั้นไม่เป็นสมณ" ดังนี้ พึงทราบว่า "ว่าร้ายด้วยอันติมวัตถุ" ผู้กล่าวคำ (ไม่จริง) เป็นต้นว่า "ฌานก็ดี วิโมกขก็ดี มรรคก็ดี ผลก็ดี ของบุคคลเหล่านี้ไม่มี" ดังนี้ พึงทราบว่า "ว่าร้ายโดยมุ่งลบล้างคุณ"
จากข้อความที่ยกมานั้น แสดงถึงว่า อริยุปวาท การว่าร้ายพระอริยเจ้า คือการว่าด้วยอันติมวัตถุ และการลบล้างคุณ อันติมวัตถุ เป็นโวหารของพระวินัย แปลว่า เรื่องอันถึงที่สุด คือเรื่องที่ทำให้ถึงขาดจากการความเป็นสมณะทีเดียว อันได้แก่ วัตถุปาราชิก ในกรณีอริยุปวาทนี้ ไปว่าพระอริยะว่าท่านไม่มีสมณธรรม ไม่เป็นสมณะ ก็เท่ากับว่าท่านเป็นปาราชิกเหมือนกัน และการลบล้างคุณ คือกล่าวคำไม่จริงกับตัวท่าน เช่น ว่าท่านว่าไม่มีคุณธรรม นี้เป็นผู้มักมาก (ดังเช่นพระโกกาลิกะ ที่ว่าอัครสาวกว่ามักมาก) หรือการกล่าวไม่ตรงความจริงด้วยการว่าเจาะจงที่คุณธรรมที่ไม่มีในตัวท่าน คือว่าท่านด้วยสิ่งที่ไม่ดี ว่ามักมาก เป็นต้น หรือกล่าวว่าในสิ่งที่ไม่จริงทั้งๆ ที่มีคุณธรรม ก็กล่าวว่าท่านไม่มีคุณธรรมนั้น นี่คือการว่าร้ายพระอริยเจ้าตามที่กล่าวมา
แต่สำหรับท่านพระฉันนะ ท่านไม่ได้ด่าว่าที่คุณธรรมของพระอัครสาวก ไม่ได้ด่าว่า ท่านไม่ใช่สมณะ เป็นต้น แต่เป็นการกล่าวถือตัว เปรียบเทียบของท่าน ว่าตัวท่านสำคัญกว่าพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะเหมือนเพิ่งมาทีหลังครับ (ดูข้อความที่ท่านด่าว่าอัครสาวกในความเห็นแรกครับ) ไม่ได้กล่าวด่าว่าที่คุณธรรม ว่าอัครสาวกเป็นผู้มักมาก หรือด่าว่าไม่มีคุณธรรม คือไม่บรรลุ เป็นต้น ท่านไม่ได้ด่าว่าอย่างนี้ จึงไม่เป็นอริยุปวาท ดังนั้น เมื่อไม่เป็นการว่าร้ายที่เป็นอริยุปวาทตามที่กล่าวมา ท่านพระฉันนะจึงไม่มีธรรมที่เป็นเครื่องกั้น คือการว่าร้ายพระอริยเจ้าหรืออริยุปวาท ภายหลังท่านจึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ครับ เมื่อท่านสำนึกได้และอบรมปัญญาจนบรรลุธรรมครับ แต่พระโกกาลิกะนั้น ด่าว่าที่คุณธรรมของท่านเลย คือกล่าวในสิ่งที่ไม่จริงในคุณธรรมของท่านด้วยการด่าว่า ว่าเป็นผู้มักมาก จึงเป็นอริยุปวาท ตรงตามข้อความในพระธรรมที่ยกมาในวิสุทธิมรรคครับ โทษจึงหนัก และเป็นการว่าร้ายพระอริยเจ้าแน่นอนครับ
ที่สำคัญที่สุด การด่าว่า ไม่ว่าเรื่องอะไร หากเป็นการด่าว่าด้วยอกุศลจิต ไม่ใช่เพื่อมุ่งประโยชน์ในการกล่าวตักเตือนก็ไม่ดีทั้งสิ้น ไม่ว่าใคร และด่าว่าใครก็ไม่ควรทั้งสิ้นครับ จึงไม่ควรกระทำโดยประการทั้งปวงครับ และการที่ผู้อื่นด่าว่าพระภิกษุ เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเป็นอกุศลจิตของเขาเอง เพียงแต่สำเหนียกว่า นี่คือโทษของปุถุชน และอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรมของตนเองต่อไปครับ ปัญญา เมื่อเจริญขึ้น กาย วาจา ก็ย่อมดีขึ้นตามกำลังของปัญญาครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอเชิญคลิกอ่านเรื่องของท่านพระฉันนเถระ เพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
เรื่องพระฉันนเถระ
เป็นธรรมดาของบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ที่ความประพฤติเป็นไปในชีวิตประจำวันจะเป็นไปกับด้วยอกุศลเสียเป็นส่วนใหญ่ไม่ว่าจะอยู่ในเพศใดก็ตาม เมื่อกล่าวตามความเป็นจริงแล้ว คน สัตว์ ไม่มี มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น และประการที่สำคัญ กิเลสที่สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ เมื่อมีการอบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ในที่สุดเมื่อปัญญาถึงความเจริญสมบูรณ์พร้อม ก็จะสามารถดับได้เป็นลำดับขั้น เมื่อมรรคจิตเกิดขึ้นทำกิจประหารกิเลส และสามารถดับได้อย่างหมดสิ้นไม่มีเหลือเมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์
แต่ก่อนที่ท่านจะได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ นั้น กิเลสอกุศลก็ยังอยู่เต็ม ยังไม่สามารถดับได้เลย จึงมีความประพฤติเป็นไปตามอำนาจของกิเลส แต่ถ้าไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่จะเป็นเครื่องกั้นในการบรรลุธรรมแล้ว เมื่ออบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกไปตามลำดับ เห็นโทษของอกุศล ขัดเกลากิเลสของตนเองยิ่งขึ้น ปัญญาถึงความสมบูรณ์พร้อม ก็ทำให้ท่านได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคล ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นได้ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล กิเลสทั้งหลายก็ยังมีอยู่ครบ ซึ่งเป็นธรรมะที่เป็นฝ่ายไม่ดี เป็นอกุศล แต่บุคคลที่จะบรรลุเป็นพระอริยบุคคล บารมีที่ท่านได้สะสมมาก็เป็นเครื่องอุปการะที่จะทำให้ท่านได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน เป็นคนละอย่างกันกับฝ่ายอกุศล ไม่ปะปนกัน
ในครั้งพุทธกาล พราหมณ์คนหนึ่งชื่ออักโกสกะ ได้ด่าต่อว่าพระพุทธเจ้า ที่ทำให้พี่น้องในตระกูลได้มาบวชทั้งหมด แต่พระพุทธเจ้าก็ได้แสดงธรรมให้ฟัง เขาได้ฟังและเข้าใจ เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ก็ขอบวช และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ทำให้เห็นว่า ปัญญาเท่านั้นที่จะดับกิเลสได้ค่ะ
ขออนุญาตร่วมสนทนาด้วยความสงสัยครับ
คือ ตามคำอธิบายของความคิดเห็นที่ 2 ที่ว่า พระฉันนะ "ไม่ได้กล่าวด่าว่าที่คุณธรรม ว่าอัครสาวกเป็นผู้มักมาก หรือด่าว่าไม่มีคุณธรรม คือไม่บรรลุ เป็นต้น ท่านไม่ได้ด่าว่าอย่างนี้ จึงไม่เป็นอริยุปวาท" กระผมก็เข้าใจเป็นอันดีแล้ว แต่พอมาอ่านความคิดเห็นที่ 5 อ้างถึงพราหมณ์ชื่ออักโกสกะ กระผมก็เกิดอยากรู้รายละเอียดขึ้นมา (อยากหาความรู้นะครับ) จึงไปค้นหาอ่านในพระไตรปิฎกที่มีผู้แปลเป็นไทยไว้แล้ว ได้ความรู้และได้ความที่ขอสรุปเป็นประเด็นสงสัยดังนี้ครับ
คือ หนังสือบอกว่า พราหมณ์ผู้นั้นไปด่าพระพุทธเจ้าด้วยอักโกสวัตถุ กระผมตามไปหาความรู้เรื่องอักโกสวัตถุ ก็ได้ความว่า อักโกสวัตถุ คือเรื่องสำหรับด่ามี ๑๐ อย่าง คือ
๑. ชาติ ได้แก่ ชั้นหรือกำเนิดของคน
๒. ชื่อ
๓. โคตร คือ ตระกูลหรือแซ่
๔. การงาน
๕. ศิลปะ
๖. โรค
๗. รูปพรรณสัณฐาน
๘. กิเลส
๙. อาบัติ
๑๐. คำสบประมาทอย่างอื่นๆ
ในหนังสือยังอธิบายไว้ว่า พราหมณ์ด่าพระพุทธเจ้าด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ คือ เจ้าเป็นโจร เป็นคนโง่ เป็นคนหลง เป็นอูฐ เป็นโค เป็นลา เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน เจ้าไม่มีสุคติ เจ้าหวังแต่ทุคติเท่านั้น
คำด่าเหล่านี้ โดยเฉพาะที่ว่า "เป็นคนหลง เจ้าไม่มีสุคติ เจ้าหวังแต่ทุคติเท่านั้น" ฟังดูแล้ว ก็ไม่ต่างจากที่พระโกกาลิกะด่าพระอัครสาวก ดังที่ความคิดเห็นที่ 2 กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "การกล่าวไม่ตรงความจริง ด้วยการว่าเจาะจงที่คุณธรรมที่ไม่มีในตัวท่าน คือว่าท่านด้วยสิ่งที่ไม่ดี" แต่พราหมณ์อักโกสกะ ก็สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ จึงขอพึ่งสติปัญญาท่านผู้รู้ ไขข้อสงสัยในประเด็นนี้ด้วยครับ
เรียนความเห็นที่ 9 ครับ
อริยุปวาท คือ การว่าร้ายพระอริยเจ้า เป็นเครื่องกั้นการบรรลุก็จริง แต่เมื่อมีการอดโทษ หรือเห็นโทษของกิเลสนั้นแล้วแสดงคืนกับผู้ที่ว่าร้ายนั้น การแสดงคืนนั้น ขอโทษโดยการเห็นโทษของกิเลส ย่อมทำให้ไม่ห้ามการบรรลุอีกต่อไปได้ครับ
ซึ่งจะขอนำข้อความในพระไตรปิฎก เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงธรรมกับอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ จบแล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ
[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 203
[๖๓๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเจ้าอย่างนี้แล้ว อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระโคดมผู้เจริญทรงประกาศพระธรรมโดยปริยายเป็นอันมาก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำเปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า คนมีจักษุย่อมเห็นรูปฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญ พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระโคดมผู้เจริญ.
อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ได้บรรพชาได้อุปสมบทแล้วในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ท่านอักโกสกภารทวาชะอุปสมบทแล้วไม่นานแล หลีกไปอยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ไม่นานเท่าไรนัก ก็กระทำให้แจ้งซึ่งคุณวิเศษยอดเยี่ยมเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบมีความต้องการด้วยปัญญาเป็นเครื่องรู้ยิ่งเองในปัจจุบันนี้เข้าถึงอยู่ ได้ทราบว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่จะต้องทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็แหละท่านพระอักโกสกภารทวาชะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังนี้แล.
จะเห็นนะครับว่า เมื่อพราหมณ์ได้ฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เกิดปัญญาความเข้าใจ และได้ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง นี่แสดงให้เห็นว่า พราหมณ์เกิดความเห็นถูกแล้ว แน่นอนครับว่าการที่มีความเห็นถูก เข้าใจตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็แสดงความนับถือพระพุทธเจ้าเป็นต้น ผู้ที่นับถือผู้นั้นอย่างสูงสุด การที่ได้กระทำผิดไปก็ต้องอดโทษ ขอโทษต่อผู้นั้น แน่นอน ในการกระทำนั้น แม้จะไม่ได้กล่าวไว้ แต่ก็เป็นที่แน่นอนว่าจะต้องเป็นผู้ที่เห็นโทษของกิเลสแล้ว และก็ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ และถึงขนาดมีศรัทธาขอบวช หากว่าเป็นเครื่องกั้นจริงๆ ครับ พระพุทธเจ้าจะไม่ให้บวช และพราหมณ์ก็ไม่มีทางบรรลุธรรมแน่นอน แต่เพราะมีการแสดงคืน แสดงโทษในสิ่งที่ทำด้วย หลังจากถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ จึงทำให้พราหมณ์ได้บรรลุธรรม โดยการว่าร้ายพระอริยเจ้าไม่เป็นเครื่องกั้นอีก เพราะได้ขอโทษแสดงคืนแล้วครับ เหมือนกับเราที่เราด่าว่าใครก็ตามมีบิดา มารดา เป็นต้น ตอนหลังนึกได้ เพราะเกิดความเข้าใจถูก ถามว่า เราจะขอโทษบิดามารดาไหมครับ แน่นอนครับ ขอโทษ แต่นี่พราหมณ์ด่าว่าพระพุทธเจ้า และตอนหลังเกิดปัญญาเห็นถูก ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ และถึงขนาดขอบวข แสดงว่ามีปัญญาและศรัทธามาก ท่านก็ต้องขอโทษ แสดงโทษในสิ่งที่ท่านทำลงไปแน่นอนครับจึงไม่เป็นเครื่องกั้นในการบรรลุธรรมครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา