ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณวิภาดา กัลยาณมิตร ๓๐ ม.ค. - ๒ ก.พ. ๒๕๕๕ ตอนที่ ๑

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  11 ก.พ. 2555
หมายเลข  20524
อ่าน  5,266

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา ขณะที่ข้าพเจ้าพาลูกสาวคนโตที่กำลังจะจบการศึกษา ไปหาซื้อวัสดุต่างๆ ที่แถวๆ ย่านเจริญกรุง เพื่อนำมาทำงานส่งอาจารย์ ก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่ตุ๊กแกว่า สามสี่วันนี้ว่างหรือไม่ ท่านอาจารย์มาสนทนาธรรมที่หล่มสัก เพชรบูรณ์ แล้วก็ส่งสายให้พี่แอ้น (พี่วิภาดา กัลยาณมิตร) ซึ่งพี่แอ้นได้กรุณาชักชวนให้ไปฟังการสนทนาธรรมที่บ้านท่านที่อำเภอหล่มสัก ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ได้ไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกันวันนั้นเลย เป็นความกรุณาของพี่แอ้นมากๆ ครับ แต่ข้าพเจ้าก็ตอบพี่แอ้นไปว่ายังติดธุระอยู่กลางเมือง หากไปได้ ก็อาจเป็นในวันรุ่งขึ้น หรือหากไปได้ในเย็นนี้ก็จะโทรไปหาพี่ตุ๊กแกอีกที เพื่อถามทางไป

เมื่อเสร็จธุระกำลังเดินทางกลับบ้าน ก็มีสายจากท่านสพรั่ง (พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร) ท่านกล่าวด้วยความจริงใจและเมตตาอย่างยิ่งว่า ที่จริงท่านกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์มาสนทนาธรรมกับเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ใหญ่หลายท่าน รวมถึงครอบครัวหลานชายของท่าน และภรรยาของนายเก่าผู้มีพระคุณของท่านอีกท่านหนึ่ง ที่ท่านมีความประสงค์จะเกื้อกูลให้ได้รับประโยชน์ที่มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใด อันบุคคลพึงปรารถนาในชาตินี้ คือ ความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้องแท้จริง ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ แต่เมื่อถึงเวลา มีบางท่านติดภารกิจสำคัญจริงๆ ไม่สามารถมาร่วมฟังการสนทนาได้จึงเป็นโอกาสและเป็นบุญอย่างยิ่ง ที่ข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสนี้ โดยไม่ฟังคำตอบ ท่านกล่าวรวบรัดว่า ขับรถมาคงไม่ง่วงนะ มาทานอาหารเย็นด้วยกันเลย เย็นนี้พบกัน ข้าพเจ้าตอบท่านไปในทันทีว่า "ครับท่าน ค่ำนี้ผมจะไปถึงที่นั่นครับ"

กล่าวถึงตอนนี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำที่ว่า ทุกสิ่งย่อมเป็นไปตามเหตุและปัจจัย มิได้เป็นไปอย่างที่หวังและต้องการ ด้วยความเป็นอนัตตาของธรรมะ สิ่งใดๆ ย่อมเกิดได้ เป็นบุญของข้าพเจ้าโดยแท้ ที่ได้รับความเมตตาจากท่านทั้งสอง รวมถึงท่านอาจารย์ ที่ให้ความเมตตาอย่างยิ่งแก่ข้าพเจ้า ท่านได้โทรศัพท์ไปหาคุณคำปั่นว่าหากข้าพเจ้าไม่ขับรถไป ก็ให้ไปกับรถของมูลนิธิฯ ที่จะไปในวันรุ่งขึ้นพร้อมอุปกรณ์การบันทึกวีดีทัศน์ เพื่อเผยแพร่ทางโทรทัศน์ ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้เรียนคุณคำปั่นไปว่า ข้าพเจ้าจะขับรถไปวันนี้เลยคนเดียว เพราะคุณภรรยาและลูกสาวคนเล็ก ที่พี่แอ้นกรุณาชวนไปด้วย เขาติดภารกิจสอบกลางภาคกัน นี่ก็ตามเหตุตามปัจจัยอีกเช่นกันนะครับ

ต้องขออภัยที่ได้กล่าวมาเสียยืดยาว ก็ด้วยอยากจะให้ทุกท่านได้รับทราบเรื่องราวพอควร และ พร้อมที่จะร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ด้วยกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดเพียงประการเดียว คือ ความรู้ ความเข้าใจพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ด้วยความเมตตาอย่างยิ่ง ของผู้ที่ถ่ายทอดธรรมะด้วยความซื่อตรง และ นอบน้อมยิ่ง มานานร่วมหกสิบปีแล้ว ผู้มีนามว่า ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

แต่เดิมข้าพเจ้าเหมือนเคยได้ยินว่า พี่แอ้นมีบ้านที่เขาค้อ มาทราบคราวนี้จากพี่แอ้นว่าไม่มีและไม่เคยมี และไม่คิดที่จะมี ทั้งท่านสพรั่งเองก็กล่าวเช่นกันว่า ถ้าท่านคิดจะมีที่บนเขาค้อ ท่านต้องมีมากกว่าใครๆ เพราะท่านรบกับผู้ก่อการร้ายจนได้รับชัยชนะ ทำให้พื้นที่บริเวณนี้สงบสุข แต่ท่านไม่เอา ท่านไม่ต้องการที่ของหลวง บ้านหลังนี้ สร้างขึ้นโดยใช้บานประตู หน้าต่างของบ้านเก่าของท่านที่รื้อจากกรุงเทพฯ เป็นบ้านที่พี่แอ้นออกแบบเอง ดูเรียบง่าย ธรรมดาๆ แต่กว้างขวางร่มเย็น น่าอยู่ครับ

พี่แอ้นได้กรุณาเล่าให้ฟังว่า ที่ดินที่ปลูกบ้านหลังนี้และที่ดินโดยรอบบ้านนับสิบไร่ เป็นที่มรดกของท่าน และ มีบางส่วนตัดขายไปบ้างแล้ว บางส่วนให้เช่าทำการเกษตร แม้ที่ดินที่เป็นห้างบิ๊กซีหล่มสัก ก็เป็นที่มรดกของท่านและพี่สาวซึ่งอยู่ติดกันในตัวอำเภอ

มิน่าเล่า เมื่อข้าพเจ้าไปเดินตลาดเช้า และ เห็นแม่ค้าขายไส้อั่ว และ อยากซื้อกลับบ้าน จึงถามว่า ใช่เจ้าเดียวกับที่พี่แอ้นซื้อหรือเปล่า เพราะอร่อยมาก แม้ค้าบอกว่าใช่ อย่าว่าแต่ไส้อั่วเลย แหนมของแกก็ไปเยอรมันกับเขาด้วย เมื่อข้าพเจ้ากลับมาบ้าน ก็ถามพี่แอ้นว่าไปเจอไส้อั่วที่ตลาดเหมือนกับที่พี่แอ้นซื้อมาให้ทาน แต่พี่แอ้นทำท่าว่า คงไม่ใช่เจ้าเดียวกันหรอก ข้าพเจ้าก็บอกว่าก็แม่ค้าเขาบอกว่ารู้จักพี่แอ้นด้วยนะครับ

พี่แอ้นหัวเราะยิ้มกว้างกล่าวว่า "แหมทำไมเขาจะไม่รู้จัก" คำสั้นๆ คำนี้ มากระจ่าง เมื่อตอนขากลับ ที่พี่ตุ๊กแกบอกว่า คุณพ่อของพี่แอ้นเป็นอดีตนายกเทศมนตรีเมืองหล่มสัก เมืองที่ใหญ่โตกว้างขวางและมีความเจริญมานาน ใหญ่กว่าตัวเมืองเพชรบูรณ์เสียอีก

พี่แอ้นไม่เพียงเป็นคุณแม่ที่เลี้ยงลูกชายสามคนจนเติบโตเป็นคนดีมีคุณภาพด้วยตัวเอง เพราะมีสามีทำหน้าที่รับใช้ชาติ ที่พร้อมจะสละชีวิตทุกเมื่อ จากการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายที่ท่านแทบจะเอาชีวิตไม่รอดจากยุทธภูมิเขาค้อและที่อื่นๆ ซึ่งทำให้เกียรติยศนั้นเป็นที่กล่าวขวัญและชื่นชมของประชาชน ในความเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ เป็นที่รักและเคารพของผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมสถาบัน และผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านจนปัจจุบัน จนต้องทิ้งภาระภายในครอบครัวทั้งหมด ให้พี่แอ้นดูแลแต่เพียงผู้เดียวตลอดมา ลูกชายของท่าน เช่น น้องอ้วนที่ข้าพเจ้าเคยออกปากชื่นชมกับพี่แอ้นเมื่อครั้งที่ไปเชียงใหม่เมื่อปีที่แล้วว่าเป็นสุภาพบุรุษมาก เวลานั่งทานข้าวด้วยกัน จะคอยดูแลผู้ร่วมโต๊ะดีมาก นอกจากนั้นยังเห็นคอยช่วยผู้อื่นทำกิจการงานต่างๆ อย่างน่าชื่นชม และ ที่สำคัญคือตั้งใจฟังธรรมะ

พี่แอ้นเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมจริงๆ ครับ ทุกคนที่ไปในวันนั้นต่างทึ่งในความสามารถ และ สงสัยว่า พี่แอ้นเอาเวลาที่ไหนมาทำงานบ้าน งานครัว ปลูกต้นไม้ แต่งบ้าน จาน ชาม มากมายหลายใบ มีลวดลายเพ้นท์ดอกกุหลาบแสนสวย ไม่เว้นแม้อ่างล้างหน้า กรอบกระจกในห้องน้ำ รวมไปถึง ป้ายเลขที่บ้าน และ แม้กระทั่งตู้ไปรษณีย์หน้าบ้าน ล้วนเป็นฝีมือการเพ้นท์ของพี่แอ้นทั้งสิ้น คงเป็นเพราะความไม่เคยอยู่เฉยของพี่แอ้นนี่เอง ที่หลายๆ ครั้งที่มีการสนทนาธรรมตามที่ต่างๆ ข้าพเจ้ามักจะเห็นภาพชินตา ที่พี่แอ้นปอกผลไม้ตะกร้าเบ้อเริ่ม แล้วจัดใส่จานอย่างสวยงามน่ารับประทาน ขณะที่ฟังธรรมะด้วย

นอกจากภาระหนักมากมายดังกล่าวแล้ว พี่แอ้นยังเปิดร้านอาหารญวนที่มีชื่อเสียงมานาน ซึ่งการไปคราวนี้ พี่แอ้นทำอาหารญวนหลายอย่างให้รับประทานด้วย เช่น เฝอ หรือก๋วยเตี๋ยวญวน ซึ่งมีทั้งไก่ หมู เนื้อ และ ปลาให้เลือก อีกมื้อก็เป็นก๋วยจั๊บญวน อีกอย่างหนึ่งที่เคยทานบ่อย เพราะพี่แอ้นชอบนำไปเจริญกุศล เมื่อไปร่วมสนทนาธรรมตามที่ต่างๆ คือ เมี่ยงกระหล่ำ อร่อยทุกอย่างแน่นอนครับ ได้ทราบว่าร้านอยู่แถวๆ ซอยระนอง ๑ นี่เอง ชื่อ "มาดามอัน" มีสาขาที่แจ้งวัฒนะด้วย

ท่านที่สนใจ ลองคลิกเข้าไปชมตัวอย่างรีวิวของคนที่เคยไป และแนะนำไว้ตามนี้ก็ได้ครับ //don-jai.com/madamun/ ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณานะครับพี่แอ้นครับ ที่แนะนำก็เพราะว่า ทุกๆ ท่านจะได้มีทางเลือก สำหรับการออกไปหาของรับประทานนอกบ้าน โดยเฉพาะอาหารญวน ที่นอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้ว ยังหาร้านที่ทำอร่อยๆ ได้ยากครับ

ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา นอกจากจะได้เห็นถึงอัธยาศัย และ การสั่งสมของสภาพธรรมะในสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน ที่ทำให้ได้เกิดเป็นบุคคลต่างๆ มีอาชีพต่างๆ มีฐานะต่างๆ ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว หามีสัตว์ บุคคล ตัวตน ใดไม่ เป็นแต่เพียงจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นเป็นไป ตามการสะสม ประโยชน์ที่แท้จริง คือ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใด ยากดีมีจนเช่นไรก็ตาม หากไม่รู้ความจริงของชีวิต ไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ย่อมไร้ค่า น่าเสียดายยิ่ง ข้าพเจ้าไม่ละโอกาสนี้ ที่จะกราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการ ของท่านเจ้าของบ้านตัวจริงคือพี่แอ้น และ ท่านสพรั่ง นอกจากท่านจะมีความพรั่งพร้อมของชีวิตในชาตินี้ ทั้งภาระหน้าที่ต่อชาติเป็นเอนกแล้ว ท่านทั้งสองยังมีกุศลศรัทธาอันยิ่ง ในการอุปถัมภ์ ส่งเสริม พระศาสนา ในหนทางที่ถูกต้อง และมีพระธรรมนี้เป็นที่พึ่งที่อาศัย เป็นตัวอย่างอันดีแก่ทหารหาญ และ บุคคลทั้งหลายที่จักมีธรรมเท่านั้น เป็นเกาะเป็นที่พึ่ง

อนึ่ง การไปของท่านอาจารย์ในครั้งนี้ มีหลายกิจกรรม ที่ท่านอาจารย์กระทำ ซึ่งทุกท่านอาจไม่เคยได้เห็นกันมาก่อน เป็นความเมตตาของท่านอาจารย์ที่กรุณาทำของว่างแจกทุกท่านให้รับประทานกันด้วย รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ อันท่านจะได้เห็นต่อไป ทำให้การไปสนทนาธรรมของท่านอาจารย์ในครั้งนี้ เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่น่าประทับใจของทุกๆ คนในวันนั้น รวมถึงคงจะเป็นความประทับใจของทุกๆ ท่านที่ได้ติดตามนะครับ เนื่องจากเป็นการสนทนาธรรมถึงสี่วัน จึงมีภาพและความการสนทนามากมาย ข้าพเจ้าจึงขออนุญาตนำเสนอให้ทุกท่านพิจารณาเป็นสองตอนนะครับ

ความการสนทนาที่จะนำเสนอนี้ เป็นช่วงเช้าของวันที่สอง ซึ่งอุปกรณ์การบันทึก ทั้งเสียงและวีดีทัศน์ยังไปไม่ถึง จึงมีเพียงเครื่องเสียงชั่วคราวซึ่งเสียงที่อัดไว้มีความก้องกังวาน คงไม่สามารถนำไปเผยแพร่ได้ เป็นความการสนทนาที่ดีมาก เพราะหลังการสนทนา ท่านอาจารย์ถึงกับถามข้าพเจ้าว่า อัดเสียงไว้หรือเปล่าคะ (ท่านคงหมายความถึงการบันทึกเสียงด้วยเครื่องเสียงของมูลนิธิฯ ที่มีมาตรฐานของเสียงเพื่อเผยแพร่) เพราะเป็นการสนทนาที่ท่านอาจารย์ปรารภก่อนการสนทนาว่า " เป็นการสนทนาธรรมที่สบายๆ ค่ะ จะเป็นอีกแบบหนึ่งของเวปใช่ไหมคะ (ท่านหันมาทางข้าพเจ้า) ที่เป็นแบบสบายๆ ต้องบอกว่า สนทนาสบายๆ "

ซึ่งการก็เป็นจริงดังที่ท่านอาจารย์ปรารภ เพราะการสนทนาที่มีเพียงไม่กี่ท่านนี้ เป็นการสนทนาที่สบายๆ จริงๆ ในบรรยากาศที่แสนสบายๆ เพราะนอกจากความเมตตาของท่านอาจารย์แล้ว ท่านเจ้าของบ้านทั้งสองยังให้ความเป็นกันเองอย่างยิ่ง ทำให้ท่านผู้ฟังทุกท่าน กล้าที่จะถามคำถาม กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น ทำให้การสนทนาธรรมในคราวนี้ มีความต่างจากหลายๆ ครั้ง ที่ข้าพเจ้าเคยไป ซึ่งมีเนื้อหาที่ไพเราะ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับความสงสัยในหนทางที่ถูกต้อง สำหรับผู้ที่แสวงหาแนวทางที่ถูกต้อง เพื่อการเข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ หลายท่านที่สนใจ คงจะสามารถหาฟังและชมบรรยากาศได้ จากวีดีโอ ซีดี ที่ทางมูลนิธิฯ จัดทำไว้ให้บริการแก่ท่านที่สนใจ และ ติดต่อได้ที่มูลนิธิฯ นะครับ

สำหรับตอนที่จะนำเสนอนี้ คงเป็นตอนที่จะเป็นอภินันทนาการสำหรับทุกท่านเป็นพิเศษ เพราะไม่มีการบันทึกไว้เผยแพร่ ดังกล่าวแล้ว หาอ่านและพิจารณาได้ที่นี่เท่านั้น ดังนี้ครับ

(อนึ่ง ภาพที่ถ่ายไว้และนำมาลงโดยมาก เป็นตอนที่มีการถ่ายทำวีดีทัศน์แล้วครับ)

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

คุณเกด อยากให้ท่านอาจารย์ขยายความคำว่า นิมิต ค่ะ รูปนิมิต

ท่านอาจารย์ เราติดใน "คำ" หรือเปล่าคะ? พอได้ยินคำไหน ก็ชักจะอยากเข้าใจคำนั้น แต่ว่า ตามความเป็นจริง "คำ" มีไว้สำหรับ ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ ไม่ใช่ว่าให้เรา ต้องไปหาคำแปล หรือว่า อยู่ที่ไหน อย่างไร อย่างเวลานี้ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นนี้แน่นอน แล้วเห็นอะไร? เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เป็นคนนั้น คนนี้ เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ใช่ไหม? นี่ สำหรับทุกคน ที่ไม่เคย "รู้" เลยว่า ขณะนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาจริงๆ ไม่ใช่ความคิด เพียงเป็นสิ่งที่ปรากฏ เท่านั้นเอง

ถ้าเรากระพริบตา บ่อยๆ ถี่ๆ เราจะรู้ไหมว่า สิ่งที่กำลังปรากฏ รูปร่างอย่างไร? เพียงแค่ปรากฏนิดหนึ่ง แล้วก็หลับไปอีกนาน แล้วก็ลืมตาอีกหน่อย แล้วก็หลับไปอีกนาน ก็จะไม่รู้ใช่ไหม ว่าสิ่งที่ปรากฏ รูปร่างสัณฐาน เป็นอย่างไร? แต่ที่เรามีการ "เห็น" สืบต่อ เพราะไม่ได้หลับตาไปนาน แล้วก็ลืมขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วก็หลับไปอีก ก็แสดงให้เห็นว่า ต้องมีการเห็น หลายครั้งแน่นอน ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตา เวลาที่เราไม่มีการหลับตาคั่นนานๆ ก็จะปรากฏ เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ตามที่เราเคย "จำ" ได้ โดยที่ว่า ไม่มีความเข้าใจความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ฟังเพื่อพิจารณาไตร่ตรอง จนกระทั่งมีความเห็นที่ถูกต้อง ว่าพระธรรมที่ทรงแสดง เป็นความจริงอย่างที่ตรัสไว้ให้เราเข้าใจหรือเปล่า?

เช่น ในขณะนี้ หลับตา มีอะไรปรากฏไหม? ไม่มีเลย ลืมตาขึ้นมานิดหนึ่ง มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่เราลืม ว่าสภาพธรรมะ เกิดดับสืบต่อ เร็ว สุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้น เพียงแค่ลืมตา รู้เลย ว่าเห็นอะไร? ใช่ไหม? ลองดู หลับตา แล้วก็ลืมตา นานพอที่จะรู้ว่า เห็นอะไร แต่ถ้าหลับตานานๆ แล้วลืมตาขึ้นมานิดเดียว แล้วก็หลับไปอีก แล้วยังไม่สามารถที่จะรู้ว่า มีอะไรที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริงต้องแยกตามความเป็นจริง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ มีแน่นอน เมื่อมีตา ถูกต้องไหม? ถ้าใครไม่มีจักขุปสาท สิ่งที่กำลังปรากฏ แม้ปรากฏได้ แต่ก็ต้องเมื่อมีจิตเห็น ที่เราใช้คำว่า จิตเห็น คือ ขณะนี้ที่เห็น เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่ว่า สามารถที่จะรู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ

เพราะฉะนั้น โลกปรากฏ เพราะมีจิต ขณะที่เป็นต้นไม้ ใบหญ้า ขณะที่ลืมตา ก็เพราะจิต เกิดขึ้นเห็น ขณะที่เสียงปรากฏ อย่างในขณะนี้ ได้ยินเสียงปรากฏ ก็เพราะมีจิต สิ่งใด ที่ไม่มีจิต ไม่มีสภาพรู้ ก็จะไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้เลย เพราะฉะนั้น แม้ว่าสิ่งที่มีจริง มี แต่ไม่มีใครเห็น ใครรู้ สิ่งนั้นก็ไม่ปรากฏ นี่พูดอย่างหยาบๆ แต่ความจริงก็คือว่า ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน สภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ เช่น เสียง กับ สิ่งที่ปรากฏทางตา ในขณะนี้ก็ปรากฏไม่ได้

คือ ถ้าศึกษาธรรมะ ทีละคำ ทีละอย่าง เราจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ขณะนี้ เพียงให้ "เริ่มเข้าใจ" ว่า มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วเรา "ไม่เคยรู้" ว่ ลักษณะที่แท้จริง ของสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ ในขณะที่กำลังปรากฏอย่างนี้ ไม่ใช่ความคิดนึก ถึง รูปร่าง สัณฐาน ซึ่งหลากหลาย จนกระทั่งสามารถจำได้ว่า นี่เป็นกระเป๋า หรือนี่เป็นเก้าอี้ ใช่ไหม? ทั้งกระเป๋า ทั้งเก้าอี้ ก็ปรากฏ แต่ว่า ทำไมไปรู้ว่า นี่กระเป๋า นี่เก้าอี้? นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้ารูปร่างเหมือนกันหมดเลย จะรู้ไหม ว่าเป็นอะไร? แต่เพราะรูปร่างของสิ่งที่ปรากฏ ต่างกัน ต่างกันเพราะเหตุว่า มีธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ในแต่ละแห่ง ซึ่งทำให้สิ่งที่ปรากฏทางตาเนี่ย กระทบตา แล้วก็ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานของธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่แต่ละแห่งนั้น ถูกต้องไหม?ขณะนี้ มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เมื่อมีธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ถ้าไม่มีธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็มีไม่ได้

เช่น ขณะนี้ ถ้าใครสักคนหนึ่ง จะลุกออกไปจากที่นี่ ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไป พร้อมกับ สิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้น ก็ไม่เห็นสิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้ เราก็เกือบจะไม่รู้เลย ที่มี "สี" ปรากฏได้ เพราะธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม มีสิ่งที่แข็ง และ ในขณะใดที่มีธาตุดินที่แข็ง ก็จะต้องมีธาตุไฟที่อบอุ่น เกิดพร้อมกัน มีธาตุลมที่พัด แล้วก็มีธาตุน้ำที่เกาะกุม ในรูปที่เล็กที่สุด กลาปหนึ่งมี ๘ รูป รวมกันเล็กที่สุด แยกออกอีกไม่ได้เลย ซึ่งใครจะไปเห็นรูปนั้น ก็แค่นิดเดียวเอง ใช่ไหม แต่ในเมื่อรูปนั้น มีมาก แล้วก็เกิดบ่อย ซ้ำกัน ซ้ำกัน ก็เกิดปรากฏเป็น นิมิต รูปร่างต่างๆ อย่างเดี๋ยวนี้ ต้องบอกว่า อย่างเดี๋ยวนี้

เพราะเหตุว่า มีธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วก็มีสิ่งที่เกิดดับ ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งกระทบตาก็ทำให้ปรากฏ เป็นรูปร่างสัณฐาน ต่างๆ ทำให้จำได้ว่า สิ่งนั้น เป็นอะไร? หรือว่า เป็นใคร? นี่คือ ความจริง ในชีวิตประจำวัน ทุกชาติ จะเปลี่ยนสิ่งที่ปรากฏทางตา ให้เป็นอย่างอื่น ไม่ได้ และที่ปรากฏ เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด เพราะว่า จิต เกิดดับเร็วมาก และ สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เกิดดับเร็วด้วย แต่เกิดดับ ซ้ำอย่างนี้แหละ ก็เลยปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน ต่างๆ นี่คือที่เราว่า เป็นเราเห็น แต่ความจริง ชั่วหนึ่งขณะ ที่มีธรรมะเกิดขึ้น แล้วก็พอดับไป ก็มีสภาพธรรมะเกิดสืบต่อ ไม่มีวันจบ จึงใช้คำว่า สังสารวัฏฏ์

"วัฏฏะ" แปลว่า วนเวียน "สังสาระ" คือ ท่องเที่ยว ขณะนี้ กำลังท่องเที่ยวไป เมื่อมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะไปที่ไหน? ใช่ไหม? แต่ ขณะนี้ เห็น แล้วก็ได้ยิน แล้วก็คิดนึก คือ เที่ยวอยู่ ๖ ทาง ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้น ความคิดนึกของเรา ทางใจ เที่ยวไป เมื่อเห็น แล้วก็เที่ยวไป เมื่อเสียงปรากฏ คือ ท่องเที่ยวไปตามสิ่งที่ปรากฏ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องไตร่ตรอง ว่าเป็นจริงหรือเปล่า? ถ้าเป็นจริง รู้จริงอย่างนี้หรือยัง? ถ้ายัง ก็แสดงว่า เราต้องอบรมความเห็นถูก อย่างมั่นคงขึ้น จึงสามารถที่ พอเห็น ก็เข้าใจได้เลย เป็นชั่วหนึ่งขณะ ในสังสารวัฏฏ์ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แล้วก็เป็นอย่างนี้ มานานแสนนานแล้วด้วย

ตอนนี้ ใครจะละกิเลสบ้างคะ? มีเหรอคะ? ตอนนี้ ใครจะละกิเลส? ไม่มีใครที่จะละ ใช่ไหม? แต่ ความรู้ ความเข้าใจ ที่เกิดขึ้น ก็ ละ ความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ มีมากแค่ไหน? ความรู้ ก็ต้องค่อยๆ เกิดขึ้นรู้ จนกว่าความไม่รู้นั้น จะน้อยลง จนกระทั่งหมดไป เป็นประเภทๆ ไม่ว่าความไม่รู้นั้น จะเกิดกับโลภะ เกิดกับความเห็นผิด เกิดกับความโกรธ เกิดกับอะไรก็ตามแต่ คนที่ฟังธรรมะ เพราะรู้ว่าไม่รู้ ใช่ไหม? ถ้ารู้แล้ว จะฟังไหม? หรือ คิดว่ารู้แล้ว แต่ความจริง ไม่รู้ เพราะฉะนั้น เขาไม่เข้าใจเลย แม้แต่ความหมาย ของคำว่า "ธรรมะ" เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ทุกขณะ ก็ไม่รู้ ใช่ไหม?

ถ้ารู้ว่า คือ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ จะสนใจที่จะศึกษาไหม? เพราะว่า ยิ่งกว่าวิชาการใดๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์ วิศวกรรม หรืออะไรก็ตามแต่ ถ้าไม่มีการเห็น การได้ยินอย่างนี้ ไม่มีการคิดนึก วิชาการต่างๆ นั้น จะมีได้ไหม? ก็มีไม่ได้ แต่เขาไม่รู้แหล่งของโลก ว่าอยู่ที่ไหน? เขาก็เลยตามไปด้วยความไม่รู้ ไม่รู้จักโลก ทุกคำที่เราใช้ ตั้งแต่เกิดจนตาย ด้วยความไม่รู้ จริงๆ อย่างที่ชอบพูดกันนัก ทางโลก กับ ทางธรรม เพราะคิดว่า โลก เป็นอย่างหนึ่ง แล้วก็ ธรรมะ เป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่ มีอะไรบ้าง? ที่ไม่ใช่ธรรมะ แม้แต่ที่เข้าใจว่าเป็นโลก ก็คือ ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง ถ้ามีความเข้าใจว่า ธรรมะ หมายความถึง สิ่งที่มีจริง เท่านั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งมีอยู่ทุกวัน หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย แต่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ เพราะฉะนั้น ก็อยู่ในโลก ด้วยความไม่รู้

คุณ อ๋อ (หลานชายท่านสพรั่ง) แม้กระทั่งการทำงาน ในชีวิตประจำวัน มันก็เกี่ยวข้องกับ สิ่งที่ท่านอาจารย์ บอกว่าเป็นธรรมะ ตลอด

ท่านอาจารย์ ไม่มีขณะใด ที่จะไม่ใช่ธรรมะเลย เมื่อสิ่งนั้น มีจริงๆ ถามว่า การทำงาน "เห็น" ไหม? เป็นธรรมะ หรือเปล่า?

คุณอ๋อ เป็นครับ

ท่านอาจารย์ "ได้ยิน" ไหม?

คุณอ๋อ ได้ยิน ครับ

ท่านอาจารย์ "คิด" ไหม?

คุณอ๋อ คิด

ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็เป็นธรรมะ ทั้งหมด แล้วแต่ว่า "คิดอะไร?" ต่างหาก แต่ "คิด" ก็คือ "คิด" ไม่ว่าคิดอะไร ก็มีอยู่แค่นี้ "เห็น" แล้วก็ "คิด", "ได้ยิน" แล้วก็ "คิด"

คุณอ๋อ ก็ที่ผ่านมา หมายถึงว่า ท่านอาจารย์ พูดเมื่อกี้ว่า เราถูกอบรมมาว่ามันเป็นทางโลก กับ ทางธรรม

ท่านอาจารย์ ขอโทษ ใคร? อบรมเรา ให้เป็นอย่างนี้คะ? ที่เรียกว่า เราถูกอบรม ใครอบรมเรา? มีใครอบรมหรือเปล่า?

คุณอ๋อ ก็ สิ่งแวดล้อม พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ หรือ แม้กระทั่ง พระในวัด ก็จะบอกว่า ...
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เลยค่ะ ความไม่รู้ ต่างหาก

คุณอ๋อ ใช่ๆ คือ ความไม่รู้ ก็จะบอกเราว่า เป็น ทางโลก กับ ทางธรรม

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เราอยู่ในโลกของความไม่รู้ แล้วเราจะไปเชื่อคนไม่รู้ บอกเราหรือ?

คุณอ๋อ ครับๆ ช่วงที่ผ่านมา อาจจะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าเราไม่รู้

ท่านอาจารย์ แล้วคนที่บอกเรา รู้หรือเปล่า?

คุณอ๋อ เราเข้าใจว่า เขารู้

ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้วความจริง (เขา) รู้หรือเปล่า?

คุณอ๋อ ไม่รู้ครับ

ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้ก็คือว่า ที่เราบอกว่าคนอื่นมาอบรมเรา ก็คือ คนไม่รู้ ต่างหาก

คุณอ๋อ ก็เลยหลง ก็เลยอยู่ตรงนั้น

ท่านอาจารย์ แล้วจริงๆ ทั้งหมด ก็เพราะ ความไม่รู้

คุณอ๋อ ครับ

ท่านอาจารย์ ที่จริงแล้วโทษคนอื่น ใช่ไหม? แล้วความไม่รู้จริงๆ อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ "เรา"

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยครับ

อย่าพลาดตอนหน้านะครับ


ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณวิภาดา กัลยาณมิตร ๓๐ ม.ค. - ๒ ก.พ. ๒๕๕๕ ตอนจบ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
peem
วันที่ 11 ก.พ. 2555
ขอกราบอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
tanakase
วันที่ 11 ก.พ. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 11 ก.พ. 2555

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 11 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นกราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งขอบพระคุณและขออนุโทนาในกุศลจิตของท่านพลเอกสพรั่ง-คุณวิภาดา กัลยาณมิตร

ที่ได้จัดให้มีการสนทนาธรรมในครั้งนี้

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kanchana.c
วันที่ 11 ก.พ. 2555

ขอบคุณและอนุโมทนาน้องวันชัยค่ะ เขียนได้ยาวและสนุกมากราวกับได้ไปด้วย

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pat_jesty
วันที่ 11 ก.พ. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kinder
วันที่ 12 ก.พ. 2555
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pamali
วันที่ 12 ก.พ. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 13 ก.พ. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 14 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"วัฏฏะ" แปลว่า วนเวียน "สังสาระ" คือ ท่องเที่ยว ขณะนี้ กำลังท่องเที่ยวไป เมื่อมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะไปที่ไหน? ใช่ไหม? แต่ ขณะนี้ เห็น แล้วก็ได้ยิน แล้วก็คิดนึก คือ เที่ยวอยู่ ๖ ทาง ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้น ความคิดนึกของเรา ทางใจ เที่ยวไป เมื่อเห็น แล้วก็เที่ยวไป เมื่อเสียงปรากฏ คือ ท่องเที่ยวไปตามสิ่งที่ปรากฏ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องไตร่ตรอง ว่าเป็นจริงหรือเปล่า? ถ้าเป็นจริง รู้จริงอย่างนี้หรือยัง? ถ้ายัง ก็แสดงว่า เราต้องอบรมความเห็นถูก อย่างมั่นคงขึ้น จึงสามารถที่ พอเห็น ก็เข้าใจได้เลย เป็นชั่วหนึ่งขณะ ในสังสารวัฏฏ์ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แล้วก็เป็นอย่างนี้ มานานแสนนานแล้วด้วย

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบขอบพระคุณ และขออนุโทนาในกุศลจิตของท่
านพลเอกสพรั่ง-คุณวิภาดา กัลยาณมิตร ที่กรุณาจัดให้มีการสนทนาธรรม

ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณวันชัย และทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
swanjariya
วันที่ 1 ธ.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลของท่านสพรั่งและคุณแอ้นที่จัดสนทนาธรรมเป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ม.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ