สืบเนื่องจากความฝัน
ตัวเองอยู่ที่ กทม. ค่ะ ๗ ก.พ. คนอีสานมีบุญเดือน ๓ (บุญข้าวจี่) คุณแม่ก็ไปวัดที่บ้านต่างจังหวัด วันที่ ๑๒ ก.พ. ๕๕ ฝันเห็นคุณตาข้างบ้านที่เสียชีวิตไปนานแล้ว มาบอกว่าข้าวแค่นี้ไม่อิ่มหรอก ให้เอาข้าวเต็มจาน ให้จุดดอกไม้ทูปเทียนบูชาที่เสาหลักของบ้านญาติ (ลูกสาวคุณตา) ตัวเองอยู่ กทม. ก็รีบโทรบอกญาติให้รู้ว่าเราฝัน ว่าอย่างไร วันแรกไม่มีใคทำอะไร เพราะเขาบอกว่าลูกชายจะบวชอยู่เดือน พ.ค. ให้รอ เอาบุญใหญ่แล้วกัน ทำไมไม่มาบอกลูกตัวเองทำไมไปบอกคนอื่น เราได้ยินแค่นั้นก็รู้สึก ไม่ดี ๑๓ ก.พ. ตื่นมาตอนเช้ามีอาการขนลุกซู่ทั้งตัวไม่เคยเป็นมาก่อนเป็นตลอดเวลาจน ทนไม่ไหว ๑๐ โมงเช้าโทรไปบอกญาติให้ทำตามที่คุณตาบอกด้วย เขาก็รับปากว่าจะทำ พอเรารู้ว่าเขากำลังเตรียมข้าว อาการขนลุกทั้งตัวก็บรรเทาลงและเปลี่ยนเป็น ร่างกาย อบอุ่นปรกติตามเดิม ตอนนี้ บ่าย ๒ หายโดยสิ้นเชิง ตัวเองชอบทำบุญเข้าวัดถ้ามีโอกาส วันที่ ๒๐ ก.พ. ครบรอบวันตายคุณพ่อ ๑ ปี กำลังจะกลับไปทำบุญเลี้ยงเพล ไม่เคยเป็น อย่างนี้มาก่อน
อยากได้คำชี้แนะจากทุกท่านค่ะ ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร บางครั้ตงไปที่ที่ ไม่เคยไปมาก่อนแต่รู้สึกว่าเคยไป รู้สึกว่าภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว (กำลัง คิดว่าตัวเองเป็นคนส่งสาส์น)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ควรเข้าใจครับว่า สิ่งที่มีจริงคือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ขณะฝันก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมเช่นกัน ขณะฝัน ขณะนั้นก็เป็นจิต จิตที่คิดนึกในเรื่องราวต่างๆ เพราะฉะนั้น อาศัย สัญญา ความจำ จำในสิ่งต่างๆ และเมื่อมีความจำ ก็มี การคิดนึกในสิ่งที่จำมาในชีวิตประจำวันหรือในอดีตที่เคยเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สิ่งกระทบสัมผัส และเมื่อมีการเห็น ได้ยินสิ่งต่างๆ ในอดีตแล้ว ขณะนั้นก็ต้องมีการจำด้วย จำในสิ่งต่างๆ ที่ๆ ได้เห็น ได้ยิน และก็มีการคิดนึกถึงเรื่องที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้จำมาครับ เพราะฉะนั้น ขณะที่ฝันก็เป็นการคิดนึกคือจิตที่คิดนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเห็น เคยได้ยินมา เป็นต้น
ซึ่งเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า มีคนมาทำให้ฝัน หรือ ดลใจให้ไปทำบุญหรือไม่เพราะ ความฝันก็ไม่ต่างจากความคิดนึกในปัจจุบัน เพราะแม้ขณะนี้ ไม่ฝัน เราก็สามารถนึกถึง ภาพคนที่ตายไปแล้วได้ ขณะที่คิดนึกได้ และเป็นเรื่องราวตามความคิดนึกต่างๆ ก็เป็นไปได้ ตามความคิดนึก โดยที่ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมีใครมาทำให้คิดนึกได้ครับ เพียงแต่ว่าเมื่อคิดนึกถึงสิ่งใดแล้ว จิตขณะนั้นเป็นอย่างไร และน้อมพิจารณาในสิ่งที่คิดนึกว่า คือ อะไรกันแน่ นี่คือ สิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับพุทธศาสนิกชน ที่ควรเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงให้เข้าใจความจริง ครับ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ความจริงที่เป็นสัจจะ ว่ามีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่เรา ขณะฝันก็เป็นเพียง จิต เจตสิกที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราที่ฝัน ขณะที่คิด นึกถึงใครก็เป็นเพียง จิตที่เกิดขึ้นคิด ไม่ใช่เราคิด การเข้าใจเช่นนี้ ย่อมเป็นประโยชน์ เป็นไปในการอบรมปัญญา และละคลายความสงสัยที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ที่เกิดขึ้น ในชีวิตประจำวัน ก็จะเข้าใจว่า ก็เป็นเพียงจิตที่คิดนึกเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรที่ แปลกเลยครับ แม้แต่ความฝันถึงใคร ก็เพราะเคยจำ เคยเห็นคนนั้น และก็เป็นจิตที่คิดนึกเท่านั้น ผู้ที่มีปัญญาเมื่อเข้าใจความจริงเช่นนี้ กุศลก็เจริญขึ้น และก็สามารถอุทิศส่วนกุศลได้ โดยไม่ต้องรอให้ฝัน ก็อุทิศส่วนกุศลเป็นปกติกับญาติและสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพราะในสังสารวัฏฏ์ที่นับชาติไม่ถ้วน ไม่มีใครที่ไม่เคยเกิดเป็นญาติกันเลย จึงอุทิศส่วนกุศลให้เป็นปกติ กับ ญาติและสรรพสัตว์ทั้งหลาย แม้จะฝัน หรือ ไม่ฝันก็ตาม
ส่วนอาการขนลุก ไม่ใช่เป็นตัววัด ตัดสินเลยว่า เพราะอำนาจของบุคคลนั้นที่ตายไปแล้ว ที่ได้รับส่วนกุศล เพราะอาการขนลุก เกิดจากอุตุ เป็นปัจจัย ไม่ใช่เกิดจาก บุคคลอื่น จิตของผู้อื่นเป็นปัจจัยครับ อาการขนลุก จึงเป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นมาด้วยอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆ อาการขนลุกจึงเกิดได้เป็นธรรมดากับทุกคน แม้ตอนตื่นนอน เมื่อระบบประสาทของร่างกาย ไวต่อความรู้สึกก็เกิดขึ้นตอนตื่นนอนได้ เป็นธรรมดา ครับ และร่างกายอุ่นขึ้น ก็เป็นธรรมดา ของร่างกายที่มีอาการอุ่นขึ้น เพราะทุกคนก็มี ร่างกายเย็นลงและอุ่นขึ้น ดังนั้น จึงไม่ใช่ตัดสินว่า เพราะขนลุก ร่างกายอุ่นขึ้น เป็น เพราะเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นปัจจัยครับ เพราะทุกอย่างก็ไม่พ้นจากความคิดนึกของตนเอง นั่นเองครับ
สำคัญที่เข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ว่าคืออะไรกันแน่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่เป็นตัวเรา ว่าไม่มีเรา อุ่น ก็เป็นธรรมที่เป็นธาตุไฟ ไม่ใช่เรา อุ่น ขณะที่ขนลุก ก็เป็นอาการตึงไหวของธาตุลม และขณะที่คิดว่า เพราะคนนั้นคนนี้ ก็ เป็นเพียงธรรม ที่เป็นจิตคิดนึก ไม่ใช่เรา การเข้าใจตรงนี้ ย่อมเป็นไปเพื่ออบรมปัญญา และชื่อว่า เป็นการดำเนินรอยตามพระศาสดา เพราะเดินตามทางความเข้าใจถูก ที่พระพุทธองค์ทรงแสดง เป็นพุทธศาสนิกชน เพราะเข้าใจพระธรรม ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขณะที่กำลังฝัน ไม่พ้นไปจากนามธรรม คือ จิตและเจตสิก ที่ฝัน และขณะที่ฝันต้องไม่ใช่ขณะที่หลับสนิท เพราะถ้าเป็นขณะที่หลับสนิท จิตเป็นภวังค์ ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ จิตไม่ได้เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางใดทางหนึ่งใน ๖ ทาง จึงไม่ฝัน เพราะในขณะที่ฝัน ต้องเป็นวิถีจิต (จิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใด ใน ๖ ทาง) แต่ไม่ใช่วิถีจิตทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่เป็นวิถีจิตทางใจ เท่านั้น ที่ฝัน เป็นกุศล บ้าง เป็นอกุศล บ้าง ตามการสะสม ซึ่งขณะที่กำลังฝันนั้น เป็นการคิดนึกถึงเรื่องบัญญัติของสิ่งที่เคยเห็น เคยได้ยิน เคยได้กลิ่น เป็นต้น นั่นเอง
ในขณะที่ฝัน จิต เจตสิก เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่มีเราที่ฝัน ซึ่งเป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมเท่านั้น ส่วนเรื่องราวที่ฝัน ไม่มีจริง เพราะฉะนั้น ในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็เพื่อเข้าใจธรรม ตามความเป็นจริง ไม่เว้นแม้แต่ขณะเดียวของชีวิต เนื่องจากทุกขณะของชีวิต ไม่มีขณะใดเลยที่จะปราศจากธรรม แม้แต่ในขณะที่ฝัน ก็เป็นหนึ่งในสภาพธรรมที่มีจริง ที่ควรศึกษาให้เข้าใจ ว่า อะไร คือ สิ่งที่มีจริงในขณะ นั้น เพื่อละคลายความไม่รู้ ละคลายความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล
อนึ่ง บุคคลผู้ที่ละจากโลกนี้ไปแล้ว เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเขาไปเกิด ณ ภพภูมิใด เพราะ เป็นไปตามกรรมของผู้นั้น ถ้าเป็นกุศลกรรมให้ผลนำเกิด ก็ทำให้ผู้นั้นไปเกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดา แต่ถ้าเป็นอกุศลกรรมให้ผลนำเกิด ก็ทำให้ผู้นั้นเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ซึ่งไม่มีใครสามารถรู้ได้เลย แต่สิ่งที่ผู้อยู่เบื้องหลังจะกระทำได้ คือ กระทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ก่อนที่จะได้มาฟังธรรมะจากท่านอาจารย์สุจินต์ ก็ติดข้องสงสัยแทบจะทุกๆ เรื่อง (แม้กระทั่งความฝันก็ยังเคย ความฝันจบไปแล้วแต่ก็นำมาปรุงแต่งคิดต่อไปเรื่อย) ตั้งแต่ได้ฟังธรรมที่มูลนิธิฯ ทางรายการวิทยุ MP3 สรุปว่าฟังทุกๆ วัน ก็เริ่มเข้าใจและจะถามตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าคิดถึงสิ่งที่ล่วงเลยมาแล้วมันได้ประโยชน์อะไรไหม อยู่กับปัจจุบันได้ประโยชน์กว่า ขอแนะนำให้ฟังธรรมบรรยายจากท่านอาจารย์สุจินต์ไปเรื่อยๆ นะคะแล้วจะค่อยๆ เข้าใจค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เชิญคลิกอ่าน ...
ความฝันเกิดจากอะไร ทำไมต้องฝัน
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ