ทำไม่ได้จริงๆ
เมื่อวานมีธุระต้องรีบออกจากบ้านแต่เช้า เดินทางไปได้สักครู่ ก็นึกขึ้นได้ว่า
คงจะลืมปิดสวิตช์เตาแม่เหล็กไฟฟ้า จะกลับไปดูก็กลัวจะไม่ทันนัดหมาย และก็คิดว่าคง
เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ เหมือนทุกครั้งที่รีบร้อน กลับไปดูก็เรียบร้อยทุกที อดคิดไม่ได้ว่า
ถ้าไฟไหม้บ้านจะเป็นอย่างไร ได้รับภัยน้ำท่วมมาแล้ว จะได้รับภัยจากไฟไหม้อีกหรือ
โลกมนุษย์เป็นที่ดูผลของบุญและบาป และบุญและบาป มิใช่หรือ ถ้าไฟจะไหม้ ก็เป็น
เพราะอกุศลที่ทำไว้แล้ว ใครก็คงจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ คิดอย่างนี้แล้วก็สบายใจขึ้นนิด
หนึ่ง บอกตัวเองว่า ไม่ต้องคิดเรื่องลืมปิดสวิตช์ไฟอีก เพราะคิดแล้วไม่สบายใจ แต่ก็คิด
ขึ้นมาอีก เลยคิดขึ้นได้ว่า เมื่อคิดแล้วจึงปรากฏ ทำให้รู้ว่ามีความคิดอย่างนั้น และเมื่อ
ความคิดอย่างนั้นเกิดขึ้นแล้ว ปรากฏให้รู้ แล้วก็ดับไปแล้ว จะไปห้ามไม่ให้คิดได้อย่าง
ไร เพราะรู้ว่าคิดก็เมื่อคิดแล้ว และดับไปแล้ว ไม่สามารถมีใครบังคับไม่ให้คิด หรือให้
คิดได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยคือความติดข้องในสิ่งต่างๆ อยู่ ก็ยังต้องคิด จะสั่งจะห้ามไม่ให้คิด
อย่างไร ก็ห้ามไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว เหมือนเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นเป็นเหตุปัจจัย
ให้เกิดแสงสว่าง แสงสว่างก็ทำกิจการงาน คือ ทำให้เห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจนมากน้อยตาม
กำลังของแสงสว่างนั้น เวลาเช้ามืดก็ยังมองไม่ชัด เมื่อเวลาผ่านไปก็เห็นชัดขึ้น จน
กระทั่งถึงเวลาพระอาทิตย์ตก ความมืดเข้ามาแทนที่ ความมืดก็ทำกิจของความมืด คือ
ทำให้มองไม่เห็นอะไร เช่นเดียวกับอวิชชา ความไม่รู้ ก็ทำกิจปิดบังไม่ให้รู้สภาพธรรม
ตามความเป็นจริง ส่วนปัญญา เมื่อเกิดขึ้นก็ทำกิจรู้ชัดในสภาพธรรมที่ปรากฏตามความ
เป็นจริง รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ที่รู้
ว่ามีเพราะเกิดปรากฏ เมื่อปรากฏแล้วก็ดับไป แล้วใครจะไปทำอะไรได้ ในเมื่อเกิดขึ้น
เพียง ๑ ขณะ ทำกิจหน้าที่แล้วก็หมดไป
กราบเท้าขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่กรุณานำพระธรรมที่พระอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้ดีแล้ว มาพร่ำสอนบ่อยๆ เนืองๆ อย่างไม่รู้จักเบื่อ
หน่ายความเป็นผู้สอนยากของผู้ที่ถูกห่อหุ้มด้วยอวิชชาหนาแน่นเช่นนี้ เพราะฟังมานาน
หลายสิบปี เพิ่งจะเริ่มเข้าใจค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอขอบพระคุณพี่แดงสำหรับเรื่องราวที่โดนใจบ่อยๆ ทุกเรื่องครับ
เรื่องลืมนี่ก็เช่นกัน ที่บ่อยครั้งจอดรถเสร็จเดินไปไกล เกิดนึกขึ้นว่าอาจลืมล๊อครถ
ต้องเดินกลับมาแล้วกดรีโมทซ้ำอยู่หลายหนจนแน่ใจ
บางครั้งจอดรถแล้วลืมดับเครื่องก็เคยเป็น จนต้องมีคนมาบอกว่าลืมดับเครื่องรถ
เคยลืม จอดรถไว้นอกบ้านจนตลอดคืนก็มีหลายหน
จนเพื่อนข้างบ้านที่เคยโทรมาตามคงเบื่อที่จะโทรมาบอก รถจึงจอดยู่ในซอยทั้งคืน
จนยางอะไหล่ถูกโขมย ดีที่ไม่ลากรถไปด้วย
ธรรมทั้งหลายก็แสดงให้เห็นชัดเจนอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้
ไม่อยากลืม ก็ลืม ไม่อยากจำ ก็จำ ที่แน่ๆ แม้ไม่รู้ว่าจำ ก็จำแล้วทุกขณะ เช่นกัน
ความเข้าใจในความจริงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ย่อมทำให้ความทุกข์ ความเดือดร้อน
ความรำคาญใจทั้งหลายของผู้ที่ได้ศึกษาและเข้าใจ เบาบางลง ตามกำลังของปัญญา
เมื่อได้เจอบททดสอบต่างๆ เหล่านี้ในชีวิตประจำวัน ย่อมเป็นเหตุให้ได้ระลึกอยู่บ่อยๆ ว่า
หากมิได้พบท่านอาจารย์ในชาตินี้ นอกจากจะมิได้สั่งสมอบรมเจริญปัญญาเพื่อเป็นที่พึ่ง
อันประเสริฐแล้ว ยังจะมีแต่ความเดือดร้อนจากความไม่รู้คืออวิชชานั้น มากมายนัก
และ ไม่มีหนทางที่จะบรรเทาเบาบางลงไปได้เลย ถ้าไม่ได้พบและได้เข้าใจพระธรรม
ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้
กราบท่านอาจารย์
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่แดงและทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น และขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของคุณแม่แดงค่ะ
ถ้าหากมองดูย้อนดูชีวิตในวันหนึ่งๆ แล้ว ก็จะรู้ว่าความคิดช่างเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ตั้งแต่ตื่นนอน ก็คิดจะไปที่ไหน ทำอะไร จะใส่ชุดไหน ทานข้าวกับอะไร เจอใครก็คิดนึกสรรหาเรื่องราวต่างๆ มาพูด ยิ่งเป็นเรื่องเก่าๆ ในอดีตจะนานขนาดไหน ถ้าติดข้องในเรื่องใดมากๆ ก็สามารถพรรณนาสาธยายได้เป็นฉากๆ ราวกับว่าสิ่งนั้นเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน บางเรื่องก็มีสาระบ้างหรือบางเรื่องก็แทบไม่มีสาระประโยชน์อะไรที่น่าจดจำเลย บ่อยครั้งที่ความคิดเหล่านั้นก็เข้าไปอยู่ในความฝันด้วย จึงไม่แปลกที่วันๆ หนึ่งขณะจิตจะเต็มไปด้วยอกุศลมากกว่ากุศล พอจิตคิดทางอกุศลก็รู้สึกเป็นทุกข์ อยากให้จิตคิดทางกุศลแต่คิดไม่ได้ก็เป็นทุกข์ บังคับบัญชาไม่ได้เลย ในเมื่อบังคับบัญชาไม่ได้เพราะสภาพธรรมนั้นเป็นกิเลสที่นอนเนื่องสะสมอยู่ในจิตของตัวเองทั้งนั้น ก็เปลี่ยนเป็นความเข้าใจในสภาพธรรมนั้นแทน ว่าจริงๆ แล้วสภาพธรรมที่แท้จริงของเรานั้นเป็นอย่างไร บ่อยครั้งที่ย้อนกลับมาคิดว่าแสดงอาการที่น่ารังเกียจนั้นออกไปได้อย่างไร แสดงว่าตัวเองคงสะสมไว้มากเลยทีเดียว คิดแล้วเห็นโทษไปในทางอกุศลมากกว่า จะีมีประโยชน์อะไรเล่าที่ยึดถือไว้ แต่ถึงจะเห็นเช่นนั้น ผู้ที่สะสมกิเลสมาอย่างยาวนานอย่างดิฉันก็ไม่สามารถที่จะละคลายอกุศลที่เกิดขึ้นได้ทันที เพียงแต่เริ่มคิดพิจารณามากขึ้นตามแต่กำลังของสติปัญญาที่มีอยู่ ดิฉันเชื่อว่า "หากยิ่งพิจารณาเห็นโทษได้มากเท่าใด ก็ยิ่งละคลายได้มากเท่านั้น ยิ่งกำลังของสติปัญญามากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งประหารกิเลสได้มากขึ้นเช่นกัน" การฟังธรรมนั้นจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งค่ะ ขอกราบขอบพระคุณในพระคุณของท่าน อาจารย์สุจินต์ ที่ท่านได้ช่วยชี้หนทางสว่างแห่งปัญญาให้เดิน ถึงแม้หนทางนั้นจะไกลแค่ไหน แต่เมื่อเดินอยู่บนทางที่ถูกต้องก็ไม่มีวันหลงทางอย่างแน่นอนค่ะ ขอกราบอนุโมทนาค่ะ