ธรรมดีๆ ๒

 
pirmsombat
วันที่  20 มี.ค. 2555
หมายเลข  20830
อ่าน  2,451

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

@ นี่ก็เป็นเรื่องของสีที่ปรากฏ แต่ตราบใดที่ยังมี "อวิชชา" อยู่ ยังต้องมีความพอใจใน สี ที่ปรากฏ แต่สำหรับผู้ที่เข้าใจ สี ที่ปรากฏ หรือสี่งที่ปรากฏทางตา ตามความเป็นจริง รู้ตัวว่าไม่ใช่เป็นความพยายาม จะไม่ให้มีความพอใจ ในสี่งที่ปรากฏทางตา เป็นแต่เพียงเรี่มเข้าใจให้ถูกต้องว่า สี่งที่ปรากฏทางตา เป็นของจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน

@ แต่ว่าไม่เห็นโทษของการที่ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วยึดถือสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นเรา หรือเป็นตัวตน อันนี้สำคัญที่สุด

@ รูปารมณ์ (สี) ไม่คำนึง ว่าเขียว ว่าแดง หรืออะไรเลย เป็นแต่เพียง สี่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น แต่ไม่ใช่ว่าเจริญสติปัฏฐานแล้วจะผิดปกติ สีชมพู ก็กลายเป็น สีขาวไป ไม่ใด้ค่ะ รูปารมณ์ คือ สี่งที่ปรากฏได้ทางตา เท่านั้นเอง ไม่ต้องไปคิดถึง สีเขียว สีแดง อะไรนะคะ

@ จักขุวิญญาณไม่มีหน้าที่รู้ว่า สีอะไร มีแต่กิจเห็นสี่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งสี่งที่ปรากฏทางตา ไม่ผิดปกติในขณะนี้สืมตาแล้วก็เห็น แต่ไม่ได้นึกถึงสีหนึ่งสีใด เพียงแต่ว่าลืมตาสี่งนี้ปรากฏ เพียงปรากฏ แต่ไม่มีสี่งอื่นใดทั้งสี้น เวลาเห็น สี่งที่ปรากฏก็ต้องเป็นสีต่างๆ แต่ยังไม่ได้นึกถึงว่าเห็นสีอะไร เห็นปกติ แต่ยังไม่ได้นึกว่าเห็นสือะไร แต่ว่าเห็นต้องเห็นแล้ว เป็นสีต่างๆ เห็นสี่งที่กำลังปรากฏทางตา ไม่ใช่ขณะที่่กำลังคิดนึกรูปร่างสันฐาน

@ เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าทางตาจะเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจาก เป็นเพียงสี่งที่ปรากฏ ให้เราคิดนึก

@ รู้ลักษณะของนามธรรมทางมโนทวารแล้วหรือยังต้องระลึกรู้ แม้ในขณะที่กำลังรู้ว่าสี่งที่เห็นเป็นอะไร หรือว่าเป็นใคร ก็เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง

@ เห็นสี่งที่ปรากฏทางตา แล้วคิดว่าเป็นอะไร

@ เพราะฉะนั้น ก็แยก ทางตากับทางใจ ออกโดยการรู้ว่าเฉพาะ ทางตานี้ เพียเงเห็น และในเวลาที่กำลังจำ หรือ กำลังรู้ว่าเป็น สี่งหนึ่ง สี่งใด ขณะนั้นก็เป็น ทางใจเสียแล้วค่อยๆ แยกทางตากับทางใจออก ทางหูกับทางใจออก....ทางกาย กับmางใจออก แล้วถึงจะรู้ว่า ปรมัตถธรรม แท้ๆ ไม่ใช่ในขณะที่กำลังคิด เรื่องรูปร่าง หรือว่าเรื่องราวต่างๆ นี่ก็จะต้องเป็นเพราะ สติสัมปชัญญะ

@ เป็นความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะนี้ มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีการกระทบสิ่งที่แข็งหรืออ่อน มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมไหม หมายความว่าขณะนั้น ไม่ใช่สติขั้นทาน ขั้นศีล แต่ว่าเป็นสติที่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนั้น

@ อาศัยเหตุปัจจัยจึงได้เกิดขึ้น เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เพราะมีการกระทบอารมณ์ จึงทำให้มี ความยินดีชอบใจในสี่งที่กำลังเห็น ถ้าอารมณ์นั้นเป็นสี่งที่น่าพอใจ ซึ่งถ้าจะพิจารณาโดยละเอียด จะเห็นความน่าอัศจรรย์ของสภาพธรรม ซึ่งสภาพธรรมทุกอย่าง อาศัยเหตุปัจจัยจึงได้เกิดขึ้น

@ ตราบใดมีเรา ละชั่วไม่ได้

@ ตราบใดที่ไม่รู้จักลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ตามปกติในชีวิตประจำวัน จะดับกิเลสอะไรไม่ได้เลย

@ ขณะนี้รู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏทางตาหรือยัง เท่านี้ ไม่ต้องไปที่อื่นเลย ทางตา ที่จริงมีสี หลายสีปรากฏ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
kinder
วันที่ 20 มี.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 20 มี.ค. 2555

ตราบใดที่ไม่รู้จักลักษณะของ รูปธรรม-นามธรรม ตามปกติในชีวิตประจำวัน จะดับกิเลสอะไรไม่ได้เลย

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณหมอเพิ่ม ด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เซจาน้อย
วันที่ 21 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไม่เห็นโทษของการที่ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วยึดถือสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นเรา หรือเป็นตัวตน อันนี้สำคัญที่สุด

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pirmsombat
วันที่ 21 มี.ค. 2555

ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของคุณเมตตา คุณเซจาน้อยและทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ส.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ