พระโสดาบัน มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วโสดาบันจะหายไปไหม ?

 
ไก่บ้าน
วันที่  1 พ.ค. 2555
หมายเลข  21058
อ่าน  10,667

เกิดมาก็ลืมความจำหมด ศีลที่ถืออยู่ จะรักษาได้ไหมครับ เพราะเป็นเด็กอยู่ พูดโกหกก็ได้ เบียดเบียนสัตว์ก็ได้ มีภรรยาก็ได้ จิบเหล้าก็ได้ หัวเราะ ร้องไห้ มีรักใคร่ มีภรรยาได้แค่ถูกตัวผู้หญิงก็อาบัติแล้วครับ แล้วพระโสดาบันในร่างอุบาสก ไม่ใช่พระถูกตัวหญิงก็ผิดแล้วแบบนี้ความเป็นโสดาบันจะขาดออกไหมครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 1 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระโสดาบัน คือ ผู้ที่ ปัญญา บรรลุคุณธรรม มีปัญญา ระดับโลกุตตระ สามารถดับกิเลสได้เด็ดขาดในบางประการ คือ ดับกิเลส คือ ความเห็นผิด ความลังเลงสงสัย และ การประพฤติข้อปฏิบัติที่ผิด พระโสดาบัน ย่อมละกิเลสเหล่านี้ได้หมดสิ้น แต่ยังมีกิเลสอื่นๆ ที่ยังเหลืออยู่ ซึ่งเมื่อบรรลุความเป็นพระโสดาบันแล้ว คุณธรรมที่ตามมาและไม่เปลี่ยนแปลง คือ เป็นผู้ไม่ล่วงศีล ๕ อีกเลย และ ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ ไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้น จากคำถามที่ว่า เมื่อพระโสดาบันเกิดใหม่ ก็ลืมหมด เมื่อเป็นเด็กก็อาจล่วงศีล เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ดื่มสุรา เป็นต้นได้ไหม ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจความจริงครับว่า ความจริง มีแต่จิต เจตสิก รูปเกิดขึ้นเป็นไป จึงบัญญัติว่าเป็น สัตว์ บุคคล เป็นคนนั้น คนนี้ พระโสดาบัน ก็คือ การบัญญัติขึ้น ของ จิต เจตสิกที่เกิดขึ้นเป็นไป แต่เป็นจิต เจตสิกที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีกิเลสบางประการ และเกิดปัญญาระดับสูงที่เป็นโลกุตตรมรรคแล้ว คือ เป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญาระดับสูง ซึ่ง สภาพธรรมที่เป็นจิต เป็นสภาพธรรมที่สะสม คือ ไม่ว่าจะเกิดกุศลจิต อกุศลจิต สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้หายไปไหน ก็สะสมสืบต่อไป ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีความโกรธเกิดขึ้น จิตที่โกรธเกิด ความโกรธไม่ได้หายไปไหน ก็สะสมต่อไปในจิตขณะต่อไป ทำให้โกรธง่ายขึ้นเป็นผู้มีอุปนิสัยมักโกรธ เพราะอาศัย จิตที่โกรธในขณะก่อนเป็นปัจจัยให้เป็นผู้มักโกรธในอนาคต แสดงให้เห็นว่า จิตที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเป็นกุศล หรือ อกุศล ไม่ได้หายไปไหนเลยครับ เช่นเดียวกับ เมื่อถึงความเป็นพระโสดาบัน คือ กุศลจิตที่เกิดขึ้น ประกอบด้วยปัญญาระดับสูง ประจักษ์พระนิพพานถึงการดับกิเลส กุศลจิตที่เกิดพร้อมปัญญาระดับสูง ปัญญานั้นไม่ได้หายไปไหน ความเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นของพระโสดาบันไม่ได้หายไปไหน ก็สะสมต่อไปในขณะจิตต่อไปนั่นเอง ทำให้ความเป็นพระโสดาบันไม่ได้หายไปไหน ก็ยังเป็นพระโสดาบันอยู่ในขณะจิตต่อไป เพราะ จิตเป็นสภาพธรรมที่สะสม สิ่งที่ดีที่เกิดขึ้น คือ ปัญญาที่รู้ความจริงถึงความเป็นพระโสดาบัน ที่เกิดกับจิตขณะก่อน ก็สะสมไปในจิตขณะต่อไป และเมื่อพระโสดาบันสิ้นชีวิต ขณะที่สิ้นชีวิต ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่เป็น จิตที่เกิดขึ้น คือ จุติจิต ทำกิจ เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ คือตายนั่นเอง เมื่อตายแล้ว เมื่อยังไม่ใช่พระอรหันต์ ยังเป็นพระโสดาบัน ก็ยังต้องเกิด คือปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ดังนั้น จากจุติชาติก่อน (ตาย) ที่ยังเป็นพระโสดาบัน ก็เกิดใหม่ เพียงขณะจิตเดียวที่สืบต่อกันเท่านั้น คือ ปฏิสนธิจิตเกิดต่อ เป็นคนใหม่ ดังนั้น ก็เป็นเพียงจิตขณะเดียว ตามที่กล่าวแล้วว่าจิตเป็นสภาพธรรมที่สะสม ดังนั้น เมื่อสะสมปัญญาถึงความเป็นพระโสดาบัน มาแต่ละขณะจิต แม้ปฏิสนธิจิตที่เกิดขึ้น ก็สืบต่อความเป็นพระโสดาบันด้วย ครับ ดังนั้น แม้จะเกิดใหม่ เป็นเด็ก แต่ ปัญญาที่สะสมมาที่เป็นพระโสดาบันไม่ได้หายไปไหน จึงยังเป็นพระโสดาบันอยู่ แม้จะเป็นเด็ก ก็ไม่ล่วงศีลทั้ง ๕ ข้อเลย เพราะเป็นพระโสดาบันแล้วครับ และกิเลสที่เคยดับ เมื่อครั้งเป็นพระโสดาบัน กิเลสเหล่านั้นก็จะไม่กลับมาเกิดอีกเลย ครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ...

กิเลสย่อมไม่เกิดขึ้นอีกเมื่อละด้วยมรรคจิต [มหานิทเทส]


[เล่มที่ 40] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 423

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "กิเลสเหล่าใด อันอริยบุคคลละได้แล้วด้วยโสดาปัตติมรรค เธอย่อมไม่มาหา คือไม่กลับมาสู่กิเลสเหล่านั้นอีก กิเลสเหล่าใด อันอริยบุคคลละได้แล้วด้วยสกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค เธอย่อมไม่มาหา คือไม่กลับมาสู่กิเลสเหล่านั้นอีก" ดังนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 1 พ.ค. 2555

ซึ่ง หากเราเปรียบเทียบง่ายๆ ก่อนที่จะเป็นพะรพุทธเจ้า พระองค์จะต้องบำเพ็ญบารมีมาชาติก่อน คือ กุศลปัญญามานับชาติไม่ถ้วน หากสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก ไม่ได้สะสมแล้ว ความดีต่างๆ ในชาติก่อนๆ ก็จะไม่สะสมเลย เกิดชาติใหม่ก็กลายเป็นศูนย์แต่ในความเป็นจริง ความดี บารมีของท่านก็สะสมมาเรื่อยๆ จนบารมีเต็ม กุศลเต็มพร้อมที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นพระเวสสันดร ครับ นี่แสดงถึงการสะสมความดี ไม่ได้หายไปไหน ในอดีตชาติ ความเป็นพระโสดาบันก็เช่นกัน ไม่ได้หายไปไหน แม้จะเกิดใหม่เป็นเด็ก แต่เด็กก็มีปัญญา เป็นพระโสดาบันได้ ครับ ท่านก็ไม่ล่วงศีลอีกเลย อีกนัยหนึ่งพวกเราทั้งหลายที่ฟังธรรม ศึกษาพระธรรม ขณะที่เข้าใจ ปัญญาก็ค่อยๆ เจริญขึ้น เมื่อตายจากชาตินี้ก็สะสมความเข้าใจต่อไป ความเข้าใจ ปัญญาก็ไม่ได้หายไปไหน ครับ

ดังนั้น สรุปได้ว่า พระโสดาบัน แม้เมื่อตายจากชาตินี้ ไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเด็ก ท่านก็เป็นพระโสดาบัน ไม่ล่วงศีลเลย ครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎก ครับ

[เล่มที่ 22] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ 308

ถามว่า ก็พระอริยสาวก พึงปลงชีวิตคนอื่นหรือ

ตอบว่า แม้ข้อนั้นก็ไม่ใช่ฐานะ (ที่มีได้) ก็ถ้าใครๆ จะพึงกล่าวกะพระอริยสาวกผู้อยู่ในระหว่างภพ (ผู้ยังเวียนว่ายตายเกิด) ทั้งที่ไม่รู้ว่าตนเป็นพระอริยสาวก แม้อย่างนี้ว่า ก็ท่านจงปลงชีวิตมดดำ มดแดงนี้แล้ว ครอบครองความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในห้องจักรวาลทั้งหมด ดังนี้ท่านจะไม่ปลงชีวิตมดดำ มดแดงนั้นเลย แม้ถ้าจะกล่าวกะท่านอย่างนี้ว่า ถ้าท่านจักไม่ฆ่าสัตว์นี้ ฉันจักตัดศีรษะท่าน แต่ท่านจะไม่ฆ่าสัตว์นั้น.


- ส่วนความเป็นพระโสดาบัน ไม่ได้ขาดไป เพราะ ถูกต้องหญิง ไม่ว่าอยู่ในเพศอะไร เพราะ เมื่อถึงความเป็นพระโสดาบันแล้ว ย่อมไม่เสื่อมจากคุณธรรมนั้นเลย ท่านได้ชื่อว่า เป็นผู้ไปสู่กระแสสูง คือ จะบรรลุคุณธรรมสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่เกิน ๗ ชาติ ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ..

การเกิดใหม่ของพระโสดาบัน

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 2 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระโสดาบัน คือ พระอริยบุคคลขั้นแรก ที่สามารถดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง กล่าวคือ ดับความเห็นผิด ดับความริษยา ดับความตระหนี่ ดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรม พระโสดาบันเป็นผู้มีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย เป็นผู้มีศีล ๕ ที่ครบบริบูรณ์ไม่ขาด เนื่องจากดับกิเลสอย่างหยาบที่เป็นเหตุให้ล่วงศีลได้หมดแล้ว และที่ควรจะได้ พิจารณาคือ พระโสดาบัน ไม่ใช่พระอรหันต์ พระโสดาบันยังมีกิเลสเหลืออยู่ที่ยังไม่ได้ ดับ ดังนั้น เมื่อท่านละจากโลกนี้ไปแล้ว จุติเกิดขึ้นเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ แล้ว ดับไป จิตขณะต่อไป คือ ปฏิสนธิจิตในภพใหม่เกิดสืบต่อทันที แต่จะไม่ไปเกิดใน อบายภูมิ เพราะท่านดับกิเลสอย่างหยาบที่เป็นเหตุให้ไปสู่อบายภูมิได้แล้ว มีแต่จะ เกิดในสุคติภูมิ หรือ ในพรหมภูมิ ตามสมควรแก่กรรม พระโสดาบันยังต้องเกิดอีก แต่ เกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ บุคคลผู้ที่ไม่มีการเกิดอีก คือ พระอรหันต์เท่านั้น ชีวิตแต่ละชาติก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของจิตแต่ละขณะ สิ่งที่เคยสะสม ไว้แล้ว ไม่สญหายไปไหน สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ

พระโสดาบัน เมื่อเกิดในภพ ใหม่ชาติใหม่ ความเป็นพระโสดาบันไม่สูญหายไปไหน คุณธรรมทุกอย่างของท่านยัง อยู่ครบไม่ต้องอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันใหม่อีก (มัคค- จิต แต่ละขั้น เกิดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น) มีแต่จะอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้แจ้งอริยสัจจ ธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลเบื้องสูงขึ้นไป และในที่สุดแล้ว ท่านก็จะได้รู้แจ้งอริย- สัจจธรรม ถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ครับ

...ขออนุโมทนาาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 2 พ.ค. 2555

ผู้หญิง หรือ ผู้ชาย ถ้าอบรมปัญญา เหตุปัจจัยพร้อมเมื่อไหร่ ก็สามารถบรรลุเป็น พระโสดาบัน และ พระโสดาบันก็สามารถมีครอบครัวได้ เช่น นางวิสาขา หรือ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ฯลฯ ถ้าได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วมีแต่จะไปภพภูมิที่ สูงขึ้น และ เกิดอย่างมากไม่เกิน 7 ชาติ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ไก่บ้าน
วันที่ 2 พ.ค. 2555

ขอบคุณครับ แต่ยังสงสัยพระโสดาบันเกิดใหม่มาเป็นมนุษย์ แต่ขึ้นชื่อว่าพระ แล้วยังไม่ได้บวช แล้วถูกตัวผู้หญิงอาบัติไหมครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 2 พ.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 5 ครับ

พระภิกษุ หากมีเจตนาต้องการถูกตัวผู้หญิง ต้องอาบัติ แต่ถ้าไม่ได้ตั้งใจ ผู้หญิงมาโดนเอง ไม่ต้องอาบัติ ครับ แต่การต้องอาบัติไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ คุณธรรมคือ พระ โสดาบันหายไป ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เซจาน้อย
วันที่ 2 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ


 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
peeraphon
วันที่ 4 พ.ค. 2555

เรียนท่านอาจารย์ทุกท่าน

ในกรณีนี้ หากยังไม่ได้บรรลุโสดาบัน. แต่มีการประจักษ์ นามรูปปริจเฉทญาณ และ วิปัสสนาญาณ ต่างขั้นไปเรื่อย. หากผู้นั้นสิ้นชีวิตลงในชาติที่มีการประจักษ์ แต่ยังไม่ถึงขั้นพระโสดาบัน เมื่อปฎิสนธิในชาติใหม่ การประจักษ์ ลักษณะ นั้นจะยังคงอยู่ หรือไม่ครับ? ส่วนตัวเข้าใจว่า คงไม่มีเหลือ อยู่ เพราะเมื่อประจักษ์แล้วต้องมีสัญญาจำลักษณะสภาพธรรม และความเป็นอนัตตานั้นๆ แต่เป็นเหตุให้มีเกิดขึ้นได้อีกในชาติถัดไปหากมีการสะสมมาและมีโอกาสได้ฟังพระธรรม. รบกวนท่านอาจารย์ช่วยชี้แจงด้วยครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
paderm
วันที่ 5 พ.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 8 ครับ

ปัญญาที่ประจักษ์ลักษณะ แทงตลอดธรรม ที่เป็นวิปัสสนาญาณแล้ว เมื่อตายไปเกิด ในชาติอื่นๆ ความจำที่ประกอบด้วยปัญญาระดับสูงนั้นไม่ได้หายไปไหน ครับ แต่จะ มีเหตุปัจจัยจะเกิดอีกหรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
oj.simon
วันที่ 5 พ.ค. 2555

เรียน ท่านอาจารย์และท่านเจ้าของกระทู้นี้ครับ

ผมขอสนทนาด้วยคนนะครับ สำหรับประเด็นที่ว่าพระโสดาบันในร่างอุบาสก ไม่ใช่พระถูกตัวหญิงก็ผิดแล้ว แบบนี้ความเป็นโสดาบันจะขาดออกไหมครับ ในความเห็นของผมประเด็นนี้ควรต้องพิจารณาคำว่า "พระโสดาบัน" โดยการแยกคำว่า "พระ" กับคำว่า "โสดาบัน" ออกจากกันก่อนครับ เมื่อแยกคำออกมาแล้ว เห็นได้ว่าท่านเจ้าของกระทู้เข้าใจคำว่า "พระ" นี้หมายถึงเฉพาะผู้เป็นพระภิกษุสงฆ์เท่านั้น ซึ่งถูกต้องเพียงบางส่วน แต่ที่ถูกต้องที่สุด "พระ" ที่ใช้ประกอบกับคำว่า "โสดาบัน" นี้มิได้หมายถึงพระภิกษุสงฆ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายรวมถึงฆาราวาสที่ได้บรรลุคุณธรรมดังล่าวด้วย คำว่า "พระ" ในที่นี้จึงมีความหมายไปในทางยกย่องผู้ที่ประเสริฐทรงคุณธรรมในสิ่งที่ผู้นั้นเป็นอยู่ด้วย เช่น พระมหากษัตริย์ พระราชา แม้ท่านเป็นฆาราวาส แต่โดยคุณธรรมของท่านเราจึงใช้คำว่า "พระ" เรียกนำหน้าแทนตัวท่าน ในทำนองเดียวกันเมื่อมีฆาราวาสผู้ได้บรรลุโสดาบันอันเป็นคุณวิเศษ มีคุณสมบัติตามที่ท่านอาจารย์เผดิม และท่านอาจารย์ khampanได้อธิบายไว้ข้างต้นแล้ว ดังนั้น เราจึงยกย่องท่านเหล่านี้โดยการเรียกท่านว่า "พระโสดาบัน" ครับ

อนึ่ง ตัวอย่างของพระโสดาบันที่เป็นฆาราวาส สามารถมีบุตร มีสามีภริยาได้ เช่น ท่านวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ขวบ พออายุ 16 ปีท่านก็แต่งงานมีสามี ต่อมามีบุตรชาย 10 คน บุตรสาว 10 คน รวม 20 คน หรือพระเจ้าพิมพิสารแม้ท่านจะได้บรรลุโสดาบันแล้ว ท่านก็ยังเป็นแขกประจำของหญิงงามเมืองคนหนึ่ง ภายหลังสันนิษฐานว่าท่านได้มีบุตรกับหญิงงามเมืองนี้ บุตรคนนั้นก็คือ ท่านหมอชีวกนั่นเอง

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
oj.simon
วันที่ 7 พ.ค. 2555

ปล.

ผมมีเกล็ดความรู้ในทางตำราที่จะขอเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ครับ ฆาราวาสสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลนับตั้งแต่พระโสดาบัน ไปจนถึงพระอรหันต์ได้ครับ ซึ่งหากบรรลุเพียงพระอานาคามี ซึ่งเป็นรองก็แต่เพียงเฉพาะพระอรหันต์ ผู้นั้นก็ยังคงเพศเป็นฆาราวาส อยู่ต่อไปได้ ไม่จำเป็นต้องบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ เว้นแต่กรณีบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ หากไม่บวชบุคคลนั้นก็จะอาเกียรณเพศฆาราวาสนิพพานภายใน 7 วันนับแต่วันที่บรรลุอรหันตผลครับ ถูกผิดประการใด ขออาจารย์และผู้รู้ทุกท่านได้โปรดชี้แนะด้วยครับ

หมายเหตุ กรณีพระอริยเจ้าที่มีครอบครัวได้น่าจะมีแต่เฉพาะพระโสดาบันครับ นอกจากนี้ไม่น่ามีครอบครัวแล้วครับ

ขออนุโมทนากับทุกความเห็นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
paderm
วันที่ 7 พ.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 11 ครับ

ที่กล่าวมาถูกต้องเกือบทั้งหมดแล้ว ครับ เพียงแต่ พระสกทาคามี ยังมีครอบครัวไ้ด้อยู่ ครับ และเมื่อเป็นพระอรหันต์ในเพศฆราวาสแล้ว หากไม่บวชภายในวันนั้น ไม่ใช่ 7 วัน ย่อม ปรินิพพาน ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
oj.simon
วันที่ 7 พ.ค. 2555

ขออนุโมทนาร่วมกับท่านอาจารย์เผดิมด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
เซจาน้อย
วันที่ 7 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"หากไม่บวชบุคคลนั้นก็จะอาเกียรณเพศฆาราวาสนิพพานภายใน 7 วันนับแต่วันที่บรรลุอรหันตผลครับ ถูกผิดประการใด ขออาจารย์และผู้รู้ทุกท่านโปรดชี้แนะด้วย"

ถ้าบุคคลบรรลุอรหันตผลไม่บวชต้องนิพพานในวันนั้นไม่ใช่หรือครับ

อาเกียรณคืออะไรครับ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
paderm
วันที่ 8 พ.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 14 ครับ

อาเกียรณ หมายถึง เต็ม แน่นหนา ส่วนเมื่อเป็นพระอรหันต์ในเพศฆราวาสแล้ว หาก ไม่บวชภายในวันนั้น ไม่ใช่ 7 วัน ย่อมปรินิพพาน ครับ

ขออนุโมทนาในความเห็นถูกด้วย ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
peem
วันที่ 22 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chatchai.k
วันที่ 5 พ.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ