ปฏิสนธิ
ที่เรียกว่าปฏิสนธิ อะไรไปปฏิสนธิ ...
... หมายถึงการตาย เมื่อตายลง อะไรไปฏิสนธิ ... ในร่างใหม่ ...
ขอบคุณ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในความเป็นจริงที่เป็นสัจจะ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ครับว่า ความจริง ไม่มีสัตว์ บุคคล สิ่งต่างๆ ที่เป็นสมมติบัญญัติ แต่สิ่งที่มีจริง คือ สภาพธรรม ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ที่เป็น จิต เจตสิก รูปและนิพพาน ซึ่ง สัตว์ บุคคล คน สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น มีได้ ก็เพราะมีการประชุมรวมกัน ของ จิต เจตสิก และรูป ประชุมรวมกัน จึงบัญญัติ ว่า เป็นสัตว์ บุคคลต่างๆ ครับ ดังนั้น ชีวิต ก็คือ แต่ละขณะจิตที่เกิดขึ้น และดับไป ขณะที่เกิด ก็เป็นสภาพธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคลที่เกิด คือ ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ทำกิจ เกิด นาม และ รูป พร้อมกับปฏิสนธิจิตนั้น และขณะต่อๆ ไป ก็เป็น จิต เจตสิกที่เกิดขึ้น สืบต่อไป ไม่มีสัตว์ บุคคลเลย และ เมื่อตายไปจากบุคคลนี้ ใครตาย ไม่มีใครตาย แต่ก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ทำกิจหน้าที่เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ที่เรียกว่า จุติจิต ดังนั้น ไม่มีคนที่สัตว์ บุคคลที่เกิด ไม่มีสัตว์ บุคคลที่ดำรงอยู่ และไม่มีสัตว์ บุคคลที่ตาย แต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น แต่ละขณะ ตามกิจหน้าที่ของสภาพธรรม ที่เป็นจิตแต่ละประเภท เท่านั้น
สมดังที่ วชิราภิกษุณีได้กล่าวกับมาร ที่มารสำคัญผิดว่า มีสัตว์ บุคคล และมีสัตว์บุคคลที่เกิดและตาย ท่านได้กล่าวว่า ในความเป็นจริง เพราะ มีขันธ์ ๕ คือ สภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก รูป จึง สมมติว่า มีสัตว์ บุคคล ในความเป็นจริงแล้ว ทุกข์เท่านั้นที่เกิด คือ สภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป ที่ไม่เที่ยงที่เกิด และทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ไม่มีสัตว์ บุคคลดำรงอยู่ และ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป คือ ไม่มีสัตว์ บุคคลที่ตายจากไป แต่เป็นกิจหน้าที่ของสภาพธรรมที่ดับไป และ จิตที่ทำหน้าที่ จุติจิต ทำกิจหน้าที่เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ไม่มีสัตว์ บุคคลที่ตาย และประการที่สำคัญที่สุด ความแตกดับของสภาพธรรม ที่เป็น จิต เจตสิก ในขณะที่ดับไป ชื่อว่า ตายไป ที่เป็นความตายโดยปรมัตถ์สัจจะ ไม่มีสัตว์ บุคคลที่ตายไป เพราะ มีแต่ธรรม ชีวิตจึงดำรงอยู่เพียงขณะจิต ครับ ดังนั้น ที่เรียกว่า ปฏิสนธิ ไม่มีสัตว์ บุคคล ที่ปฏิสนธิ คือ เกิด แต่เป็นสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก ทำกิจเกิดขึ้น ที่เป็นปฏิสนธิจิต ที่เป็นจิตชาติวิบากที่เป็นผลของกรรม ครับ
เชิญคลิกอ่านข้อความในพระไตรปิฎกได้ที่นี่ ครับ
สมดังข้อความในพระไตรปิฎก ที่ว่า
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 47
อนิพฺพตฺเตน น ชาโต ปจฺจุปฺปนฺเนน ชีวติ
จิตฺตภงฺคมโต โลโก ปญฺตฺติ ปรมตฺถิยา.
เพราะจิตไม่เกิด สัตว์โลกก็ชื่อว่าไม่เกิด เพราะจิตเกิดขึ้นเฉพาะหน้า สัตว์โลกก็ชื่อว่า เป็นอยู่ เพราะความแตกดับแห่งจิต สัตว์โลก จึงชื่อว่า ตายแล้ว นี้เป็นบัญญัติเนื่องด้วยปรมัตถ์.
เชิญคลิกฟังธรรมที่นี่ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันสัมมาสัมพุทเจ้าพระองค์นั้น
ปฏิสนธิจิต เป็นธรรมที่มีจริง เป็นจิตที่เกิดขึ้นสืบต่อจากจุติจิตของชาติที่แล้ว เมื่อจุติจิตของชาิติที่แล้วดับไป เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันที เกิดในภพใหม่ชาติใหม่ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป
ชีวิตในแต่ละภพแต่ละชาตินั้น เป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม เท่านั้น สภาพธรรมเหล่านั้น ได้แก่
จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์)
เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และ
รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่สภาพรู้)
เป็นความจริงที่ว่า สัตว์โลกที่ยังมีกิเลส มีตัณหา และ อวิชชา เป็นต้น ก็ยังต้องมีการเกิดในภพต่างๆ อยู่ร่ำไป เป็นผู้เดินทางในสังสารวัฏฏ์ จากชาตินี้ไปสู่ชาติหน้า จากชาติหน้าก็ไปสู่ชาติต่อๆ ไปอีก ซึ่งเป็นอย่างนี้มานานแล้ว เนื่องจากว่าเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เป็นมาแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง และในชาตินี้ เมื่อละจากโลกนี้ไป ก็ต้องเกิดในภพใหม่อีก ขึ้นอยู่กับว่ากรรมใดจะให้ผลนำเกิด กล่าวคือ ถ้ากรรมดีให้ผล ก็ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ หรือ เกิดเป็นเทวดา แต่ถ้าถึงคราวที่อกุศลกรรมให้ผลก็ทำให้เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ถึงแม้จะเกิดเป็นอะไรก็ตาม ก็ยังต้องเดินทางต่อไปอีกในสังสารวัฏฏ์ เพราะบุคคลผู้ที่สิ้นสุดการเดินทางในสังสารวัฏฏ์แล้ว ไม่ต้องเกิดอีก มีเพียงประเภทเดียวเท่านั้น คือ พระอรหันต์ ซึ่งเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง
การเกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่งนั้น ไม่ยั่งยืนเลย สั้นมาก เกิดมาในแต่ภพแต่ละชาติ ต้องสิ้นสุดที่ความตายทั้งนั้น แต่เมื่อยังไม่ได้ดับเหตุที่ทำให้เกิด คือ กิเลส ก็ต้องเกิดอีกในชาติต่อไปอย่างแน่นอน
สำหรับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น เป็นผลของกุศลกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ยากแสนยาก เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ยากแสนยากแล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และประการที่สำคัญที่สุด การที่ไม่จะประมาทจริงๆ คือ เห็นประโยชน์ของความเข้าใจพระธรรม, ความเข้าใจพระธรรม จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต พึ่งได้ตั้งแต่ในเบื้องต้นจนกระทั่งสูงสุด คือ สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับ ซึ่งจะต้องไม่ขาดเหตุที่ทำให้ปัญญาเจริญขึ้น คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันสัมมาสัมพุทเจ้าพระองค์นั้น
" ปฏิสนธิ ไม่มีสัตว์ บุคคล ที่ปฏิสนธิ คือเกิด แต่เป็น สภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก
ทำกิจเกิดขึ้น ที่เป็นปฏิสนธิจิต ที่เป็นจิตชาติวิบากที่เป็นผลของกรรม ครับ "
" ความเข้าใจพระธรรม จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต
พึ่งได้ตั้งแต่ในเบื้องต้นจนกระทั่งสูงสุด คือ สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับ
ซึ่งจะต้องไม่ขาดเหตุที่ทำให้ปัญญาเจริญขึ้น
คือ ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน ครับ. "
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ
ตราบใดที่ยังมีกิเลสก็ยังต้องปฏิสนธิ และ ผู้มีปัญญาเห็นภัยของการเกิด แม้เพียงชาติเดียว ภพเดียวก็เป็นทุกข์ เปรียบเหมือนอุจจาระแม้เพียงเล็กน้อยก็เหม็น จึงควรแสวงหาปัญญา เพื่อที่จะไม่ต้องเกิดอีก ค่ะ
ขอบคุณกัลยาณธรรมทุกท่าน และจะขอศึกษาต่อเพื่อให้เข้าใจให้กว้างขวาง ลึกซึ้ง เพื่อสร้างปัญญาให้เกืดสืบต่อไปอีก..
ขอศึกษาถามความเห็นที่ 3 ต่อไปอีกว่า ที่เรียกว่า จิต เจตสิก รูป และนิพพานนั้น เรียกด้วยอาการอย่างไร คนธรรมดาผู้สนใจศึกษาอยากรู้จัก ตัวจิต เจตสิก รูป และ นิพพานนั้น อาศัยอะไร เพราะลำพังการอ่านจากหนังสือนั้น เป็นเพียงการบรรยายตามภาษาบาลี เท่านั้น จะนำไปปฏิบัติ ก็ยากที่จะเข้าใจได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนดี
หากไม่เป็นการรบกวนมากไปแล้ว ช่วยบรรยายธรรมที่ท่านเห็นแล้ว ให้เห็นด้วยบ้างเถิด..
อนุโมทนาๆ ๆ
เรียนความเห็นที่ 8 ครับ
ที่เรียกว่า จิต เจตสิก รูป และนิพพานนั้น เรียกด้วยอาการอย่างไร
- เรียกตามอาการ ที่มีลักษณะให้รู้ ครับ
คนธรรมดาผู้สนใจศึกษาอยากรู้จัก ตัวจิต เจตสิก รูป และนิพพานนั้น อาศัยอะไร เพราะลำพังการอ่านจากหนังสือนั้น เป็นเพียงการบรรยายตามภาษาบาลีเท่านั้น จะนำไปปฏิบัติ ก็ยากที่จะเข้าใจได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนดี
หากไม่เป็นการรบกวนมากไปแล้ว ช่วยบรรยายธรรมที่ท่านเห็นแล้ว ให้เห็นด้วยบ้างเถิด.
- อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ซึ่ง ก็มีผู้รู้ มีท่านอาจารย์ สุจินต์ ก็บรรยาย สภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก รูป ที่ไม่ได้เอาภาษาบาลีมาใช้มาก และ แม้ถึงใช้ภาษาบาลี ก็จะอธิบายเป็นภาษาไทยให้เข้าใจ ด้วยครับ
เริ่มต้นจากการศึกษาพระธรรม แม้แต่คำว่า ธรรม คืออะไรให้เข้าใจก่อน เมื่อเข้าใจแล้ว ปัญญาก็เจริญขึ้นทีละน้อย แต่ต้องใช้เวลายาวนาน หลายๆ ชาติ ไม่ใช่เพียงชาตินี้ และเมื่อปัญญาเจริญขึ้น ปัญญาจะทำหน้าที่ปฏิบัติเอง ครับ
เชิญคลิกฟังที่นี่ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
... ขอบคุณความเห็นที่ 9 ผู้เป็นกัลยาณมิตร ที่เปรียบดุจดังผู้เฝ้าขุมอริยทรัพย์ และคอยชี้ที่ฝังอริยทรัพย์ให้แก่เหล่าผู้ศึกษาธรรมทั้งหลายให้ไปขุดค้นเอาอริยทรัพย์ใหญ่ เพื่อการบรรลุธรรมทั้งหลาย อย่างมิรู้เบื่อ รู้เหน็ดเหนื่อย ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย
..อนุโมทนา..ๆ ๆ