ทุติยสุริยูปมสูตร และ อรหันตสูตร ... วันเสาร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สนทนาธรรมที่ ...
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. คือ
ทุติยสุริยูปมสูตร
ว่าด้วย พระตถาคตอุบัติความสว่างย่อมปรากฏ
... จาก ...
[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 457
และ
อรหันตสูตร
ว่าด้วยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
จาก ...
[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 442
(ภาพแสดงบรรยากาศการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ในวันเสาร์ที่ ๗ ม.ค. ๒๕๕๕)
...นำสนทนาโดย...
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร
[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 457
ทุติยสุริยูปมสูตร
ว่าด้วย พระตถาคตอุบัติความสว่างย่อมปรากฏ
[๑๗๒๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระจันทร์และพระอาทิตย์ยังไม่เกิดขึ้นในโลกเพียงใด ความปรากฏแห่งแสงสว่างแจ่มจ้าอย่างมาก ก็ยังไม่มีเพียงนั้น เวลานั้นมีแต่ความมืดมิด มีแต่ความมัวเป็นหมอก กลางคืนกลางวันไม่ปรากฏ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ไม่ปรากฏ ฤดูและปีก็ไม่ปรากฏ เมื่อใด พระจันทร์และพระอาทิตย์เกิดขึ้นในโลก เมื่อนั้น ความปรากฏแห่งแสงสว่างแจ่มจ้าอย่างมากก็ย่อมมี เวลานั้น ไม่มีความมืดมิด ไม่มีความมัวเป็นหมอก กลางคืน กลางวันปรากฏ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ปรากฏ ฤดูและปีก็ปรากฏ ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่อุบัติขึ้นในโลกเพียงใด ความปรากฏแห่งแสงสว่างแจ่มแจ้งอย่างมาก ก็ยังไม่มีเพียงนั้น เวลานั้น มีแต่ความมืดมิด มีแต่ความมัวเป็นหมอก การบอก การแสดง การบัญญัติ การแต่งตั้ง การเปิดเผย การจำแนก การกระทำให้ง่าย ซึ่งอริยสัจจ์ ๔ ก็ยังไม่มี เมื่อใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในโลก เมื่อนั้น ความปรากฏแห่งแสงสว่างแจ่มแจ้งอย่างมาก ก็ย่อมมีเวลานั้น ไม่มีความมืดมิด ไม่มีความมัวเป็นหมอก การบอก การแสดง ... การกระทำให้ง่าย ซึ่งอริยสัจจ์ ๔ ก็ย่อมมี
อริยสัจจ์ ๔ เป็นไฉน คือ ทุกขอริยสัจจ์ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียร เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
จบทุติยสุริยูปมสูตรที่ ๘.
[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 442
อรหันตสูตร
ว่าด้วยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
[๑๗๐๔] สาวัตถี. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งในอดีตกาล ตรัสรู้แล้วตามความเป็นจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น ตรัสรู้แล้วซึ่งอริยสัจจ์ ๔ ตามความเป็นจริง ถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งในอนาคตกาล จักตรัสรู้ตามความเป็นจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น จักตรัสรู้อริยสัจจ์ ๔ ตามความเป็นจริง ถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าใดเหล่าหนึ่งในปัจจุบัน ตรัสรู้อยู่ตามความเป็นจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น ตรัสรู้อยู่ซึ่งอริยสัจจ์ ๔ ตามความเป็นจริง
อริยสัจจ์ ๔ เป็นไฉน คือ ทุกขอริยสัจจ์ ... ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจ์ ก็พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งในอดีตกาล ตรัสรู้แล้วตามความเป็นจริง ... จักตรัสรู้ ... ตรัสรู้อยู่ตามความเป็นจริง พระอรหันตสัมมาสัมมาพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น ตรัสรู้อยู่ซึ่งอริยสัจจ์ ๔ ตามความเป็นจริง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
จบอรหันตสูตร ที่ ๔.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
ทุติยสุริยูปมสูตร
(พระตถาคตอุบัติความสว่างย่อมปรากฏ)
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงว่า เมื่อพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่อุบัติขึ้นในโลก ความสว่างไม่ปรากฏ มีแต่ความมืด การแสดงซึ่งอริยสัจจ์ ๔ ก็ยังไม่มี เปรียบเหมือนกับ เมื่อพระจันทร์และพระอาทิตย์ยังไม่เกิดขึ้น ความสว่างก็ไม่มี มีแต่ความมืด กลางคืน กลางวัน เดือนหนึ่ง กึ่งเดือน ฤดูและปี ก็ไม่ปรากฏ แต่เมื่อพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในโลก ความสว่างย่อมปรากฏ ไม่มีความมืด การแสดงซึ่งอริยสัจจ์ ๔ ก็ย่อมมี เปรียบเหมือนกับ เมื่อพระจันทร์และพระอาทิตย์เกิดขึ้น ความสว่างก็มี ไม่มีความมืด กลางคืน กลางวัน เดือนหนึ่ง กึ่งเดือน ฤดูและปี ก็ปรากฏ, จึงควรอย่างยิ่งที่จะอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้อริยสัจจ์ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และ มรรค ตามความเป็นจริง.
ข้อความโดยสรุป
อรหันตสูตร
(ว่าด้วยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า)
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งในอดีต ในปัจจุบัน และในอนาคต ล้วนเป็นผู้ตรัสรู้อริยสัจจ์ ๔ ตามความเป็นจริง อริยสัจจ์ ๔ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จึงควรอย่างยิ่ง ที่จะอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้อริยสัจจ์ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และ มรรค ตามความเป็นจริง.
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นได้ที่นี่ครับ
ประโยชน์ของการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า [สัมพหุลภิกขุสูตร]
การอุบัติขึ้นของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า [อรหันตสูตร]
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อธิบาย ทุติยสุริยูปมสูตร
โลกนี้ ที่ปรากฎให้เห็นสิ่งต่างๆ ได้ ก็เพราะมีแสงสว่าง โดยเฉพาะ แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ และแสงสว่างจากพระจันทร์ เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป ความมืดปรากฏ และหากพระจันทร์เป็นวันข้างแรม ความมืดย่อมปกคลุม ไม่เห็นสิ่งต่างๆ แต่เมื่อใดพระอาทิตย์ขึ้นมาใหม่ แสงสว่างมีขึ้น สิ่งต่างๆ ที่มีในโลก ย่อมปรากฎแจ่มแจ้งกับผู้ที่มีดวงตาที่สามารถเห็นสิ่งต่างๆ ได้ ครับ
แสงสว่าง จึงเป็นดั่งสิ่งที่ทำให้เห็นสิ่งต่างๆ ได้ตามความเป็นจริง โดยแสงจะมีได้ก็เพราะอาศัยพระอาทิตย์และพระจันทร์
เมื่อก่อนที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น โลกมืด มืดด้วยความไม่รู้ คืออวิชชา เพราะไม่เห็นตามความเป็นจริงและไม่มีปัญญาที่เป็นแสงสว่างให้เห็นโลกตามความเป็นจริง แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น พระพุทธเจ้าทรงอุบัติได้ก็เพราะพระองค์มีปัญญา เมื่อพระองค์มีปัญญา พระองค์จึงทรงแสดงธรรมที่เป็นอริยสัจจะที่เป็นความจริงอันประเสริฐ เพื่อให้สัตว์โลกรู้ตามพระองค์ และให้สัตว์โลกเกิดปัญญา พระองค์จึงเปรียบเหมือนพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่ให้แสงสว่างคือปัญญากับสัตว์โลก คือแสดงอริยสัจจะให้เข้าใจเกิดปัญญาของตนเอง เพื่อให้สัตว์โลกได้เห็นโลกตามความเป็นจริง ไม่ใช่โลกสมมติที่ยึดถือด้วยความเห็นผิด ว่ามีสัตว์ บุคคล โลกที่ถูกปิด ปกคลุมอยู่ในความมืด คืออวิชชา แต่เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมที่เป็นอริยสัจจะที่เป็นแสงสว่างทำให้เกิดปัญญา อันเป็นแสงสว่างที่ประเสริฐสุด ทำให้เปิดให้เห็นตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา
ปัญญาเกิด คือแสงสว่างที่เกิด ย่อมละความมืด คืออวิชชา ความไม่รู้ไปทีละน้อย จนท้ายสุดโลกก็แจ่มแจ้งกับบุคคลที่ปัญญา บรรลุธรรมเห็นตามความเป็นจริง
ความมืด คืออวิชชา ก็หายไปหมดสิ้นเพราะอาศัยแสงสว่างคือปัญญา ที่เกิดขึ้นกับตนเอง อันอาศัยพระอาทิตย์ พระจันทร์ (พระพุทธเจ้า) ที่เป็นต้นกำเนิดแสงสว่าง (พระธรรม) ให้ละ ความมืด (อวิชชา) กับผู้ที่เข้าใจพระธรรม ตามที่พระองค์ทรงแสดง
ดังนั้น ขณะนี้แม้จะดูว่าโลกสว่าง เห็นเป็นสิ่งต่างๆ เป็นสัตว์ บุคคล และสว่างไม่มืดเลย แต่รู้ไหมว่าแม้เห็นสิ่งต่างๆ สว่างอย่างนี้ แต่ในความเป็นจริงกลับอยู่ในโลกมืดสนิทบอดสนิท เพราะไม่มีแสงสว่างคือปัญญา และถูกความมืดคืออวิชชาปกคลุม ไม่ให้รู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา
หนทางละความมืดมีอยู่ คืออาศัยพระอาทิตย์คือพระพุทธเจ้า แม้พระองค์จะปรินิพพานไปแล้วแต่พระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ ดังนั้นพระธรรมจึงเป็นดั่งพระอาทิตย์ที่ให้แสงสว่างคือปัญญา เมื่อบุคคลฟังธรรมอยู่ ขณะที่เข้าใจก็ค่อยๆ ละความมืดคือกิเลสและความไม่รู้ จนสามารถดับกิเลส ละความมืดได้ในที่สุด ครับ
ดังนั้น ไม่ควรขาดการฟังพระธรรมที่เป็นดั่งพระอาทิตย์ ที่ให้แสงสว่างคือปัญญากับทุกท่าน ครับ ตามกาลเวลาที่เหมาะสมในการฟัง
ขออนุโมทนา ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
บุคคลผู้ไม่ประมาทย่อมจะไม่เดือดร้อนทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ไม่ประมาทในชีวิตอันมีประมาณน้อย ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ และไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เพราะกุศลธรรมทั้งหลายเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับทุกคน
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.คำปั่น, อ.ผเดิมและทุกๆ ท่านครับ