ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๔๐

 
khampan.a
วันที่  27 พ.ค. 2555
หมายเลข  21176
อ่าน  1,873

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๐]

* ความสงบไม่ได้อยู่ที่นั่ง แต่ความสงบ คือ กุศลจิตเกิดขณะใด ขณะนั้นเป็นจิตใจที่ดีงาม สงบจากโลภะ จากโทสะ จากโมหะ

* ขณะใดที่แม้ไม่นั่ง แต่เวลาที่เห็นใครแล้วมีจิตใจเมตตา มีความกรุณา พร้อมที่จะช่วยเหลือบุคคลนั้น แม้ในกิจที่เล็กน้อยที่สุดขณะนั้นก็เป็นจิตที่สงบจากกุศล

* ขณะที่ไม่ได้กล่าวคำถากถาง ดูหมิ่น เยาะเย้ย หรือกระทบกระเทียบผู้อื่นเพียงเล็กน้อย ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิต ที่ละเว้นคำพูดที่จะทำให้ผู้อื่นไม่สบายใจ

* การที่จะดับวิชชา ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องเร็ว แต่เป็นเรื่องที่จะต้องค่อยๆ รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏที่เคยมีความไม่รู้มาก่อน

* ถ้าไม่คิดที่จะแก้กุศล โดยการที่เพิ่มกุศลในทุกๆ ทาง ก็ย่อมไม่มีทางจะดับกิเลสได้ แต่ถ้าเริ่มเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ฝึกตน ก็จะทำให้เป็นผู้ที่ตรง โดยการเห็นว่า กิเลสทั้งหลายเป็นโทษ และควรที่จะมีความพากเพียรที่จะละกิเลส

* ถ้าผูกโกรธใคร ลองคิดดูเถิดว่า จะเป็นพาลหรือจะเป็นบัณฑิต? ถ้าเป็นพาลก็ผูกโกรธต่อไป ใครก็ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าเป็นบัณฑิต เห็นว่าไม่มีประโยชน์เลยเป็นอันตราย เป็นโทษ เป็นภัย

* บุคคลที่เราโกรธ ไม่ติดตามเราไปในภพหน้า แต่ความโกรธของเรา ไม่หมด ยังสะสมสืบต่ออยู่ในจิต

* สิ่งที่ชาวพุทธ ขาด คือ การฟังพระธรรมให้เข้าใจ

* เพราะขาดประเพณีที่สำคัญคือการฟังพระธรรม จึงทำให้เข้าใจผิด ปฏิบัติผิดคิดธรรมเอาเอง อันเป็นการกล่าวตู่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา

* มีหรือที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสอนให้ไม่รู้? มีหรือที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสอนให้ติดข้อง? มีหรือที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสอนให้เห็นผิด? ไม่มีเลย พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงทั้งหมด เป็นไปเพื่อปัญญาโดยตลอด

* สิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมีเหตุปัจจัย สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปนั้น จะปราศจากเหตุปัจจัยไม่ได้ ใครจะรู้ได้นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้วทรงแสดงให้สัตว์โลกได้รู้ตาม

* ฟังพระธรรม เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ย่อมน้อมไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ได้ในที่สุด

* หนทางที่จะหมดความสงสัยได้ คือ ฟังแล้วเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง

* โลก (สภาพธรรมที่เกิดดับ) มีจริง หนทางที่จะเข้าใจโลก ตามความเป็นจริง ก็มีจริง ซึ่งเป็นหนทางเดิม หนทางเดียว คือ การอบรมเจริญปัญญา ฟังพระธรรมให้เข้าใจ

* โลกก็คือแต่ละขณะ ซึ่งไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น

* ฟังพระธรรม ไม่ใช่ฟังเรื่องใหม่ ไม่ใช่ฟังเรื่องอื่น แต่ฟังให้เข้าใจในสิ่งที่มีจริง

* สภาพธรรมที่เกิดดับ เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย

* จะละคลายความติดข้องได้ไหม ถ้าความเข้าใจยังไม่เพียงพอ

* ฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ฟังเพื่อเราจะได้โน่นได้นี่ ซึ่งจะต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ ว่า ฟังพระธรรม เพื่ออะไร?

* ขณะใดที่เป็นกุศล ขณะนั้นไม่ประมาท ขณะใดที่เป็นกุศล ขณะนั้นประมาท แต่ก็ไม่รู้ เพราะเป็นกุศล

* เพราะยังมีความไม่รู้ จึงทำให้เรายังประมาทอยู่

* ขณะที่โกรธ ก็เป็นหนึ่งขณะในสังสารวัฏฏ์

* ปัญญา เห็นโทษของกุศลตามความเป็นจริง

* พระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อสัตว์โลก คือ ทรงแสดงพระธรรมเกื้อกูลสัตว์โลก จากที่เป็นผู้มากไปด้วยกิเลสประการต่างๆ มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น จนกระทั่งเป็นผู้หมดจดจากกิเลส ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย

* พระธรรมแต่ละพระสูตร มาจากไหน? มาจากการทรงตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

* เคยไม่รู้มานานแสนนาน ถ้าไม่รู้ต่อไปอีก เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ความไม่รู้จะมีเพิ่มมากขึ้นสักแค่ไหน

* กุศลจิตเกิดขึ้น เดินไปไหน (สู่สุคติภูมิ) กุศลจิตเกิดขึ้น เดินไปไหน (สู่อบายภูมิ) แต่ก็ยังไม่ถึง เมื่อใดก็ตามที่จุติเกิดขึ้นแล้วดับไป ถึงแน่นอน เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ

* เมื่อไม่มีการเกิด ก็ไม่ต้องเดินทางต่อไปอีกในสังสารวัฏฏ์ ที่จะเป็นอย่างนี้ได้ ก็ด้วยปัญญา

* เสบียงที่จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลในการเดินทางทั้งในชาตินี้และชาติต่อๆ ไป คือ กุศลธรรม ไม่ใช่กุศลธรรม

* การที่จะไขน้ำเสีย คือ กิเลสที่หมักหมมเน่าเหม็น ออกไปจากจิตได้ ก็มีหนทางเดียว ด้วยการเพิ่มน้ำใส คือ กุศลและการอบรมเจริญปัญญา

* ประโยชน์ที่จะเกินยิ่งไปกว่าความรู้ความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ ไม่มีเลย

* เกิดมาเพื่อสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๓๙ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๙

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 27 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมแบ่งปันพระธรรม ครับ

- ถ้าไม่ได้อบรมเจริญปัญญา โลภะที่สะสมมาก็จะติดตามไป และย่อมจะหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ ปัญญาที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง นอกจากปัญญาแล้ว ไม่มีธรรมะใดที่จะมาดับกิเลสได้เลย ต้องเห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา ซึ่งเกิดจากการฟังพระธรรม แล้วเข้าใจสภาพธรรมมากขึ้นโดยไม่หวังว่าจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเมื่อไร

- แม้การให้ทานแก่คนขอทาน ถ้าเป็นผู้ที่รู้จักกุศลจิต ก็จะให้ด้วยกิริยาที่ไม่ใช่โยนลงไปให้ แต่จะวางลงอย่างดี ยิ้มแย้มแจ่มใส และอาจจะมีคำพูดหรือกิริยาอาการที่ทำให้เขาสบายใจ ไม่มีกายวาจาที่แสดงออกซึ่งการดูหมิ่นดูแคลนใดๆ ทั้งสิ้น

- เมื่อระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้น ก็จะเห็นผิดว่าเป็นตัวตนน้อยลง เราจะคิดถึงตัวเราน้อยลงว่าเป็นคนดีหรือเป็นคนเลว สภาพธรรมที่เป็นกุศลและอกุศลเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เมื่อคลายความยึดมั่นว่าเป็นตัวตนที่เห็นที่ได้ยิน ที่เป็นคนดีหรือเป็นคนเลวแล้ว ก็ย่อมเป็นประโยชน์

- ปัญญาเป็นทรัพย์อันประเสริฐ ยิ่งกว่าทรัพย์สินใดๆ ทั้งสิ้น ถึงแม้ว่า เราจะมี ความยุ่งยากในชีวิตหน้าที่การงานแต่ก็ยังมีปัญญาที่จะเข้าใจชีวิตได้ดีขึ้น ธรรมะ คือชีวิต ชีวิตก็คือธรรมะ การเห็น การได้ยิน ความนึกคิด ความรู้สึก และความผูกพัน เป็นสภาพธรรมที่มีจริงซึ่งปรากฏในขณะนี้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม สภาพธรรมต่างๆ เหล่านี้ ก็มีพร้อมที่จะให้เราเข้าใจ พร้อมที่จะให้รู้ชัด พร้อมที่จะให้ประจักษ์แจ้ง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pat_jesty
วันที่ 27 พ.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอ.คำปั่น, อ.ผเดิม และทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
daris
วันที่ 27 พ.ค. 2555

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น และอาจารย์ผเดิมครับ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
kinder
วันที่ 27 พ.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 28 พ.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 28 พ.ค. 2555

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อาจารย์ผเดิมและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 28 พ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 28 พ.ค. 2555

ขออนุโมทนาปันธรรม..ที่ปันบ่อยๆ ๆ ๆ ..และคงไม่ท้อถอยจนกว่าผู้รับปัน..ปัญญ์ธรรมค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เซจาน้อย
วันที่ 28 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การชนะความไม่ดีด้วยความดี ก็คือในขณะนั้นเป็นกุศลของเราเอง ที่เจริญอบรมขึ้นเพื่อที่จะชนะความไม่ดี "ที่มีอยู่ในตัวเราเอง ไม่ใช่ไปชนะบุคคลอื่น"

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตวิริยะของอ.คำปั่น อ.ผเดิมครับ

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
aurasa
วันที่ 29 พ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wittawat
วันที่ 30 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขอขอบคุณและอนุโมทนาพี่คำปั่น ที่ได้นำข้อความเตือนสติที่มีประโยชน์สั้นๆ แต่ความหมายลึกซึ้้งทุกคำมาลง

บุคคลที่เราโกรธ ไม่ติดตามเราไปในภพหน้า แต่ความโกรธของเรา ไม่หมดยังสะสมสืบต่ออยู่ในจิต อกุศล คือ โทสะ โมหะ เป็นต้น เกิดแล้วดับแล้วก็จริง แต่ไม่ได้หมดไป เป็นอาสยานุสยะ คือ อกุศลที่ดับไปแล้ว ยังเป็นปัจจัยให้ อกุศล อื่นๆ เกิดต่อในภายหลังๆ อีก ซึ่งก็ไม่ใช่แต่เพียงชาตินี้ชาติเดียว เพราะว่าคั่นเพียงจุติจิต และปฏิสนธิจิตเท่านั้น ก็เป็นประโยชน์ที่ ไม่ควรที่จะประมาท ในอกุศลที่เกิดขึ้น แม้เพียงเล็กน้อย

ขออนุโมทนา ผู้ร่วมสนทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
kullawat
วันที่ 1 ส.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chatchai.k
วันที่ 7 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ