ที่พึ่งหาได้ยาก
เดินไปมองเห็นอุปาสิกาท่านหนึ่ง เป็นคนจีนแก่ๆ ยืนจุดธูป ยกมือไหว้ ป้ายยันต์ตัวอักษรจีนสีแดงๆ ที่ติดไว้ตามฝาบ้าน เห็นแล้วสะท้อนอะไรหลายอย่างครับ
ด้วยความเคารพอย่างสูง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชน ยังไม่ใช่พระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบันขึ้นไป ย่อมยังมีความเห็นผิดที่เป็นอนุสัยกิเลสนอนเนื่อง ยังไม่ได้ดับไป พร้อมที่จะเกิดความเห็นผิดได้ ไม่ประการใดประการหนึ่ง แม้ความไม่มั่นคงในเรื่องของกรรม การไม่เข้าใจว่า ไม่มีใครสามารถบันดาลให้เราได้รับ สุข หรือ ทุกข์ได้ นอกจากกรรมและผลของกรรม ที่ได้ทำมาของแต่ละคน ก็เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา สำหรับปุถุชน ไม่เว้นแม้แต่เราทั้งหลาย ที่ยังไม่ใช่พระโสดาบัน หากตายจากชาตินี้ไป เมื่อไม่พบพระพุทธศาสนา แม้จะสะสมความเห็นถูกมา แต่ไม่มากเพียงพอ ก็ย่อมทำให้คิดผิด ยึดถือสิ่งที่ผิด คิดว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง มีต้นไม้ ภูเขา ยันต์ หรือ สิ่งต่างๆ ได้เป็นธรรมดา อันแสดงถึง กำลังของกิเลสที่สะสมมามาก รวมทั้งความเห็นผิดที่ยังไม่ได้ดับด้วยปัญญาระดับมรรคจิต ครับ ดังนั้น สิ่งที่สะท้อนจากการเห็นสิ่งนี้ ในเหตุการณ์นี้ คือ ความเป็นไปของกิเลส ที่มีความเห็นผิด เป็นต้น ที่เป็นธรรมดาที่จะต้องเกิดขึ้นของปุถุชน และ แสดงถึง ปัญญาของผู้ที่ไม่ได้เห็นอริยสัจจะ ย่อมดำเนินเป็นไปในทางที่ผิด และยังสะท้อนกลับมาที่ตนเอง อีกว่า แม้ตัวเราในอนาคต ในชาติต่อไป ที่ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา ซึ่งมีมากเสียด้วย ก็ยังจะต้องเป็นอย่างผู้นี้ แน่นอน เพราะความเห็นผิดที่สะสมมาที่ยังไม่ได้ดับไปนั่นเองครับ และสะท้อนกลับมาที่ตนเองอีกครับว่า ควรเป็นผู้ไม่ประมาทในการทำกุศล และ สำคัญที่สุด อบรมปัญญาในชาตินี้ ที่มีเวลาไม่มาก ในชาติที่พบพระธรรม เพื่อสะสมเป็นอุปนิสัยต่อไป ให้มีความเห็นถูกมากขึ้น นั่นเองครับ
ซึ่งในความเป็นจริง สรณะที่พึ่งอย่างอื่นที่จะทำให้เหล่าสัตว์ปลอดภัย พบความสุขไม่มีอย่างอื่น นอกจากปัญญา กุศลธรรมที่เกิดจาก การมีสรณะ มีที่พึ่ง อาศัย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ที่ทำให้ได้ฟังพระธรรม และสามารถละกิเลสได้ เพราะ อกุศล กิเลส เป็นที่พึ่งไม่ได้ สิ่งภายนอก มี ต้นไม้ ภูเขา ยันต์ ต่างๆ ก็เป็นที่พึ่งไม่ได้ เพราะ ไม่สามารถทำให้ละ สิ่งที่เป็นที่พึ่งไม่ได้ คือ อกุศล กิเลสต่างๆ ได้เลย ปัญญา กุศลธรรมเท่านั้น ที่เป็นที่พึ่งอันประเสริฐ เพราะสามารถทำให้หมู่สัตว์ดับกิเลส ได้หมดสิ้น ได้ที่พึ่ง คือ เกาะ คือ การไม่ต้องเกิด อันเป็นห้วงน้ำ คือ สังสารวัฏฏ์อีกต่อไป ครับ
[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 346
"มนุษย์เป็นอันมาก ถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อมถึงภูเขา ป่า อาราม และรุกขเจดีย์ว่าเป็นที่พึ่ง; สรณะนั่นแลไม่เกษม, สรณะนั่นไม่อุดม, เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่น ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.
ส่วนบุคคลใดถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมเห็นอริยสัจ ๔ (คือ) ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์ และมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ ซึ่งยังสัตว์ให้ถึงความสงบแห่งทุกข์ ด้วยปัญญาชอบ; สรณะนั่นแลของบุคคลนั้นเกษม, สรณะนั่นอุดม, เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่น ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้."
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อตอนเป็นเด็ก แม่บุญธรรมชอบพาไปไหว้เจ้า แล้วให้อธิฐาน ว่าขอให้โตเร็วๆ เลี้ยงง่ายๆ ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจ แต่ต่อมากลับมาอยู่บ้านเกิด แม่ก็ไป ครอบครู เพื่อรับขันธ์ ๕ พอรับขันธ์ ๕ มาแล้วเรื่องวุ่นๆ ก็เกิดขึ้นมากมาย ตามที่ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ผมเคยได้ฟังรายการๆ หนึ่งเขาแปลขันธ์ ๕ ว่า คือกองแห่งทุกข์ กองแห่งทุกข์มีด้วยกันทุกๆ คน ก็เพราะความไม่รู้แท้ๆ ที่ไปรับขันธ์ ๕ มา ไม่ได้รับมาก็เป็นทุกข์มากอยู่แล้ว ทุกวันนี้ก็ยังแก้ปัญหายังไม่ได้เลย พูดธัมมะให้ฟังคุณแม่ก็ไม่ค่อยอยากฟัง ลำบากครับ ความเห็นผิดน่ากลัวจริงๆ ความไม่รู้พระธรรมตามความเป็นจริงก็ยิ่งน่าห่วง ตัวผมเอง ทุกวันนี้ ก็เจอที่พึ่งบ้างแล้วเป็นบางขณะๆ ไป ขณะที่ขาดสติก็ปล่อยทิ้งไปเลย แต่บางขณะ สัญญาเก่าก็ทำให้เป็นทุกข์บ้าง ต้องอาศัยพระธรรมคำสอนขัดเกลาจริงๆ แล้วต้องขัดหนักๆ ขัดแรงๆ ด้วยครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวไว้น่าพิจารณาทีเดียวว่า "ส่วนใหญ่แล้วละเลยความเข้าใจ" เมื่อไม่มีความเข้าใจจากการฟังพระธรรมก็ย่อมจะเป็นเหตุทำให้มีการยึดถือในสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งโดยที่เข้าใจผิดว่าจะเป็นที่พึ่งได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่สามารถที่จะมีที่พึ่งได้เลย ถ้าขาดความเข้าใจถูกเห็นถูก ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความเข้าใจถูก เห็นถูก ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่สามารถที่จะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้เลย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอุบัติขึ้นมาในโลกเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง, พระองค์ทรงปฏิบัติเพื่อความเกื้อกูลแก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยการแสดงพระธรรม ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา แห่งการประกาศพระธรรมคำสอนของพระองค์หลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้ มีผู้ที่ได้รู้แจ้งธรรมหมดจากกิเลส เป็นผู้ปราศจากกิเลสเป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งไม่มีบุคคลใดจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ได้ ดังนั้น การมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง คือ การพึ่งพระปัญญาที่ทรงตรัสรู้ ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ถ้าหากไม่มีพระธรรมที่ทรงตรัสรู้ ก็ไม่มีใครสามารถรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวันได้ เพราะฉะนั้น การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา และปัญญานี้ จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรม ค่อยๆ อบรมความเข้าใจพระธรรม ค่อยๆ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ โดยไม่ไปฟังคนอื่นที่มีความเห็นผิดคลาดเคลื่อนไปจากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงแสดงให้เห็นว่าการมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ต้องเริ่มจากการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เป็นปัญญาของตนเอง นั่นเอง ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ปัญญา กุศลธรรมเท่านั้น ที่เป็นที่พึ่งอันประเสริฐ"
"การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ต้องเริ่มจากการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ
เป็นปัญญาของตนเองนั่นเอง ครับ."
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เพราะฟังพระธรรม และพิจารณาอย่างแยบคาย จึงเข้าใจ และการสะสมความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น จะพิจารณาได้เองว่าอะไรผิด อะไรถูก และไม่หลงทาง ไปยึดถือในข้อประพฤติปฏิบัติผิด ซึ่งทั้งนี้ก็มาจากความเห็นถูก (ปัญญา) ที่เจริญขึ้นนั่นเอง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
บางครั้งคนเราก็มีความทุกข์ใจ ไม่สบายใจ มีปัญหาหลายเรื่อง ก็อาศัยธรรมะเป็นที่พึ่งและให้กำลังใจ ... แต่บางครั้งก็ไม่สบายใจอยู่ดี อยากทราบจังเลยค่ะ ว่ามีวิธีใดบ้างหนอถึงจะคลายความทุกข์ใจได้
เรียนความเห็นที่ 8 ครับ
เชิญคลิกที่นี่ครับ