ดวงไม่เป็นเนื้อคู่กัน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแม้แต่ในขณะต่อไปนี้ นี้ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง และทรงมีพระมหากรุณาที่จะอนุเคราะห์เกื้อกูลให้สัตว์โลกได้เข้าใจสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง จึงทรงแสดงพระธรรมประกาศพระศาสนาโดยละเอียด โดยประการทั้งปวงตลอด ๔๕ พรรษา เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม ไม่ได้สอนให้ใครหลงงมงายเลย ชีวิตของแต่ละคน เป็นไปตามการสะสม ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง และส่วนที่ไม่ดีนั้น ก็มีมาก เพราะยังไม่สามารถที่จะดับกิเลสอะไรๆ ได้เลย ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นสะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ของพระธรรม เห็นคุณของกุศล และเห็นโทษของอกุศลมากแค่ไหนที่จะ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เจริญกุศลเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลส ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่ดีให้เบาบางลง
สำหรับการมีคู่ครองนั้น ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย สำคัญอยู่ที่แต่ละคนทำหน้าที่ของตนเองให้สมบูรณ์หรือไม่ ในฐานะที่เป็นสามีและภรรยาที่จะพึงปฏิบัติต่อกัน
ดังข้อความจาก พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 89 สิงคาลกสูตร ว่า
“ดูก่อนคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลัง อันสามีพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือด้วยยกย่องว่าเป็นภรรยา ๑ ด้วยไม่ดูหมิ่น ๑ ด้วยไม่ประพฤตินอกใจ ๑ ด้วยมอบความเป็นใหญ่ให้ ๑ ด้วยให้เครื่องแต่งตัว ๑.
ดูก่อนคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลัง อันสามีบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕ คือ จัดการงานดี ๑ สงเคราะห์คนข้างเคียงสามีดี ๑ ไม่ประพฤตินอกใจสามี ๑ รักษาทรัพย์ที่สามีหามาให้ ๑ ขยันไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง ๑”
พร้อมกันนั้น ก็ควรที่จะเห็นประโยชน์ของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ว่า ได้สะสมสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงให้กับตนเองหรือยัง เพราะในที่สุดแล้ว แม้จะได้แต่งงานกัน มีชีวิตที่เป็นไปกับด้วยความสุข ก็จะต้องตายจากกันอยู่ดี ผู้ที่เป็นสามีก็จะต้องจากภรรยา ผู้ที่เป็นภรรยาก็จะต้องจากผู้ที่เป็นสามี ด้วยความตายที่เกิดขึ้นทำให้พลัดพรากจากกันและกัน สิ่งที่ติดตามเป็นที่พึ่งได้ก็คือ กุศลธรรมเท่านั้น ดังนั้น ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ การเป็นคนดี และฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญา คือ กิจที่ควรทำที่สุด เมื่อมีปัญญาแล้ว ก็จะเป็นแสงสว่างคอยนำทางชีวิตให้ดำเนินไปสู่ความดีทั้งปวง
ดังนั้น จึงไม่ได้สำคัญอยู่ที่ตำราทางโหราศาสตร์จะว่าอย่างไร แต่สำคัญอยู่ที่ความประพฤติเป็นไปของแต่ละคนว่าจะน้อมไปในทางที่ดี ที่ถูกที่ควรมากน้อยแค่ไหน ซึ่งความเข้าใจพระธรรมจากการฟัง การศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งได้สำหรับทุกชีวิต ไม่ได้จำกัดเฉพาะชีวิตของบุคคลผู้ที่แต่งงานมีคู่ครองเท่านั้น แต่ทั่วไปสำหรับทุกคน ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การจะได้อยู่ร่วมกัน ได้แต่งงานกันหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ดวงดาว ไม่ได้อยู่ที่ ความคิดของผู้อื่น ที่กล่าวว่า อยู่ด้วยกันได้ หรือ อยู่ด้วยกันไม่ได้ สำคัญที่ กรรมที่ทั้งสองคนทำมานั้น จะได้มีโอกาสได้เห็น ได้ยิน ได้มีโอกาส อยู่ร่วมกัน แต่งงานกันหรือไม่ เป็นสำคัญ ครับ เพราะฉะนั้น ต้องมั่นคงในเรื่องของกรรมเป็นสำคัญ ความคิด เรื่องราวบัญญัติ ไม่สามารถจะตัดสินสิ่งต่างๆ ได้ แต่ความจริง คือ ปรมัตถธรรม ที่เป็น จิต เจตสิก รูป ที่เป็นความจริงแท้ต่างหากที่เป็นการตัดสินเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น กำลังเกิดขึ้น ครับ เพราะ การได้อยู่ร่วมกัน ก็คือ การได้เห็น การได้ยิน หน้าตา ลักษณะอย่างนี้บ่อยๆ อันสมมติว่าเป็นการอยู่ร่วมกัน แต่งงานกัน ซึ่ง การเห็น การได้ยิน เป็นเรื่องของวิบากจิตที่เป็น ผลของกรรม เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับว่า ได้มีการทำกรรมที่มีโอกาสอยู่ร่วมกัน แต่งงานกันหรือไม่ ดวงดาว ความคิดนึก บัญญัติที่เกิดจากบุคคลอื่นๆ ที่ไม่เข้าใจเรื่องกรรมและผลของกรรม ไม่สามารถเป็นประมาณได้ ในเรื่องนี้ ครับ
ซึ่งตัวอย่างในพระไตรปิฎก แสดงถึงเรื่องการแต่งงานเหมือนกันครับ โดยมี ผู้ทำนาย หมอดูเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วย ที่ตรงกับประเด็นนี้ ครับ
เรื่องราวมีอยู่ว่า ตระกูล ๒ ตระกูล จะแต่งงานกัน ในตระกูลหนึ่ง ได้อุปฐากนักบวชนอกศาสนา เป็นอาชีวก คนในตระกูลนั้นได้กล่าวกับอาชีวกว่า จะแต่งงานในวันนี้ ได้หมั้นหมายไว้แล้ว อาชีวกโกรธมาก ที่ไม่ปรึกษาเขาก่อน จึงแกล้งบอกว่า ในวันนั้นดวงดาวไม่เป็นมงคล ไม่ควรแต่งงานกัน ฝ่ายเจ้าบ่าวเชื่อคำพูด การทำนายนั้น จึงเลื่อนงานแต่ง โดยที่ฝ่ายเจ้าสาวไม่ทราบ เจ้าสาวรอเก้อ บิดา มารดาฝ่ายเจ้าสาวโกรธจึงยกเจ้าสาวให้ ผู้ชายอื่น ในวันนั้น ทั้งสองตระกูลจึงทะเลาะกัน พระโพธิสัตว์อยู่ในเหตุการณ์ จึงได้กล่าวคาถาว่า ฤกษ์จะมีประโยชน์อะไร เพราะการได้เจ้าสาวก็เป็นฤกษ์อยู่แล้ว มิใช่หรือ? ดังนี้แล้ว กล่าวคาถานี้ความว่า :-
"ประโยชน์ผ่านพ้นคนโง่ ผู้มัวคอยฤกษ์ยามอยู่ ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์ ดวงดาวทั้งหลาย จักทำอะไรได้" ดังนี้.
จะเห็นนะครับว่า ประโยชน์ การจะได้มา ในสิ่งต่างๆ แม้แต่การจะได้แต่งงานกันหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ การทำนาย ดวงดาวเลย แต่ขึ้นอยู่กับกรรม และ ประโยชน์ คือที่จะได้รับในขณะนั้น คือ การกระทำในขณะนั้นนั่นเอง ที่เป็นฤกษ์ที่ดีแล้ว เพราะฉะนั้น การทำความดีร่วมกันมาก่อน ย่อมเป็นเหตุปัจจัยได้อยู่ร่วมกัน เพราะ ความดี เป็นฤกษ์ดี เวลาดีที่ประเสริฐในขณะนั้น ไม่ได้อยู่ที่เวลา ดวงดาว คำทำนาย ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"สำคัญอยู่ที่ความประพฤติเป็นไปของแต่ละคนว่า
จะน้อมไปในทางที่ดี ที่ถูก ที่ควร มากน้อยแค่ไหน"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนา ท่านผู้ถามและท่านวิทยากรทุกท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ประโยชน์ผ่านพ้นคนโง่ ผู้มัวคอยฤกษ์ยามอยู่ ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์ ดวงดาวทั้งหลาย จักทำอะไรได้" ดังนี้.
" การจะได้มา ในสิ่งต่างๆ แม้แต่การจะได้แต่งงานกันหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ การทำนายดวงดาวเลย แต่ขึ้นอยู่กับกรรม และ ประโยชน์ คือ ที่จะได้รับในขณะนั้น คือ การกระทำในขณะนั้นนั่นเอง ทีเป็นฤกษืที่ดีแล้ว "
"ความเข้าใจพระธรรมจากการฟังการศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งได้สำหรับทุกชีวิต ไม่ได้จำกัดเฉพาะชีวิตของบุคคลผู้ที่แต่งงานมีคู่ครองเท่านั้น แต่ทั่วไปสำหรับทุกคน ครับ"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.คำปั่น, อ.ผเดิมและทุกๆ ท่านครับ
ดังนั้น จึงไม่ได้สำคัญอยู่ที่ตำราทางโหราศาสตร์จะว่าอย่างไร แต่สำคัญอยู่ที่ความประพฤติเป็นไปของแต่ละคนว่าจะน้อมไปในทางที่ดี ที่ถูก ที่ควรมากน้อยแค่ไหน ซึ่งความเข้าใจพระธรรมจากการฟัง การศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งได้สำหรับทุกชีวิต ไม่ได้จำกัดเฉพาะชีวิตของบุคคลผู้ที่แต่งงานมีคู่ครองเท่านั้น แต่ทั่วไปสำหรับทุกคน
ขอขอบคุณและขอน้อมจิตอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยเศียรเกล้าครับ