ขอเรียนสอบถาม อาจารย์ครับ

 
เข้าใจ
วันที่  7 มิ.ย. 2555
หมายเลข  21230
อ่าน  1,266

๑. ศึกษาอย่างไรศรัทธาจึงจะเกิดขึ้นอย่างมั่นคงครับเนื่องจากเวลาฟังพระธรรม สังเกตว่า บางครั้งเกิดความเบื่อหน่าย ท้อถอยแล้วนึกดำริอยากให้จบเร็วๆ ความรู้สึกเหมือนไม่ค่อยชอบด้วย และก็ไม่ค่อยระลึกรู้ไปกับพระธรรมเลย

๒. จำเป็นไหมที่ต้องเรียนรู้ภาษาบาลี เพื่อเข้าใจพระธรรมยิ่งขึ้นครับ

จึงเรียนสอบถามมาด้วยความเคารพอย่างสูงครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 7 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

- พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่า ธรรม เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย คำสอนที่จะเป็นไปเพื่อความอยาก ความติดข้องต้องการนั้น ไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะ คำสอนของพระองค์ทั้งหมด เป็นไปเพื่อละโดยตลอด ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด ศรัทธา และ สภาพธรรมที่ดีงามอื่นๆ ไม่ได้เจริญขึ้นเพราะความอยาก เพราะขณะที่อยาก นั้น เป็นอกุศล เป็นเหตุขัดขวางให้กุศลธรรมไม่เจริญขึ้นแล้วในขณะนั้น

ศรัทธา ในคำสอนทางพระพุทธศาสนา นั้น เป็นธรรมฝ่ายดี (โสภณธรรม) ที่เกิดร่วมกับจิตที่ดีงาม คือจิตที่ไม่มีกิเลสเกิดร่วมด้วย ศรัทธาเป็นสภาพธรรมที่ผ่องใส ไม่ขุ่นมัว เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในการอบรมความสงบของจิต และ การอบรมเจริญปัญญา จะไม่เกิดร่วมกับอกุศลจิต ในขณะที่ฟังพระธรรม ก็มีศรัทธาแล้วในขณะนั้น ถ้าไม่มีศรัทธา ก็ย่อมจะไม่ฟังเป็นแน่ แต่ก็แสดงถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ แม้ในขณะที่ฟังพระธรรม ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นกุศลอยู่ตลอด อกุศลจิตเกิดแทรกสลับได้ ไม่ว่าจะเป็นความเบื่อ ฟังไม่เข้าใจ ง่วง เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมที่มีจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น พระธรรมเป็นสิ่งที่ยาก ละเอียดลึกซึ้งมาก สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์แล้ว แม้จะเกิดความเบื่อที่ฟังไม่เข้าใจ เกิดความท้อแท้ไปบ้าง แต่ก็ไม่ทอดทิ้งฉันทะในการฟัง ไม่ขาดการฟัง ฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ด้วยความตั้งใจ ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาต่อไป เมื่อมีความเข้าใจมากขึ้น แม้จะ เกิดอกุศล ก็สามารถรู้ตามความเป็นจริงได้ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

ศรัทธาเป็นสภาพธรรมที่มีจริง จะเกิดขึ้นก็ต้องมีเหตุ สำหรับเหตุให้เกิดศรัทธานั้น ในคำสอนทางพระพุทธศาสนาได้แสดงไว้หลายนัย เช่น การคบสัตบุรุษ การฟังธรรม ของสัตบุรุษ ย่อมทำให้เกิดศรัทธา หรือ การเว้นจากบุคคลผู้ไม่มีศรัทธา การคบบุคคลผู้มีศรัทธาและการพิจารณาธรรมที่เป็นพระธรรมที่ทำให้เกิดศรัทธา ก็เป็นปัจจัยให้ศรัทธาเจริญขึ้นได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่พ้นจากการฟังพระธรรมเลย เพราะการฟังพระธรรมนี้เอง จะนำมาซึ่งการเจริญขึ้นแห่งศรัทธา

- ประเด็นเรื่องการศึกษาภาษาบาลี ควรที่จะได้พิจารณาว่า ปกติแล้วพวกเราเป็นคนไทย ใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร ก็สามารถที่จะเข้าใจพระธรรมด้วยภาษาของคนไทยได้ คือ ด้วยภาษาไทย เข้าใจพระธรรมด้วยภาษาของตนๆ ในขณะนี้พระไตรปิฎกและอรรถกถามีการแปลเป็นภาษาไทยแล้ว ผู้มีศรัทธาก็สามารถศึกษาได้ และ ในการฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้งที่ท่านยกคำบาลีขึ้นมากล่าว ท่านก็จะอธิบายให้เข้าใจว่า มีความหมายว่าอย่างไร คำดังกล่าวนั้น ภาษาไทยใช้คำว่าอะไร เช่น ธมฺม เป็นภาษาบาลี แต่ภาษาไทยก็คือ สิ่งที่มีจริง เป็นต้น สำคัญอยู่ที่ความเข้าใจ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ถ้าจะไปเริ่มต้นเรียนบาลีก็จะใช้เวลานานกว่าจะแปลได้ ชีวิตในภพนี้ชาตินี้ เหลือไม่มากแล้วจริงๆ ควรที่จะมีเวลาให้กับการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวันให้มากเพื่อประโยชน์คือความเข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง และความเข้าใจพระธรรมนี้สะสมอยู่ในจิตทุกขณะไม่สูญหายไปไหน และจะเป็นที่พึ่งในชีวิตได้อย่างแท้จริง ถ้าหากมีความสงสัยในคำใด ก็สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ และในเว็บไซต์แห่งนี้ มีหมวด ธัมมนิทเทส ในกระดานสนทนา ที่อธิบายคำศัพท์แต่ละคำตรงตามสภาพธรรมที่เป็นจริง ผู้ศึกษาก็สามารถศึกษาค้นคว้าเพิ่มได้ ทั้งหมดนั้น ก็เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

ภาษาบาลีกับการศึกษาธรรม

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 7 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. ศึกษาอย่างไรศรัทธาจึงจะเกิดขึ้นอย่างมั่นคงครับ เนื่องจากเวลาฟังพระธรรม สังเกตว่าบางครั้งเกิดความเบื่อหน่าย ท้อถอยแล้วนึกดำริอยากให้จบเร็วๆ ความรู้สึกเหมือนไม่ค่อยชอบด้วย และก็ไม่ค่อยระลึกรู้ไปกับพระธรรมเลย


- ควรเข้าใจครับว่า ตามธรรมดาของปุถุชน ย่อมมีกิเลสมาก เพราะฉะนั้น โดยมากในชีวิตประจำวัน ก็เกิดอกุศลจิตได้บ่อยและมาก กุศลจิตเกิดน้อยมากถ้าเทียบกับอกุศลสำหรับผู้ที่เป็นปุถุชน ดังนั้นแม้ไม่ได้ฟังพระธรรม แม้ในขณะนี้เอง ก็มีอกุศลจิตอยู่แล้วโดยไม่รู้ตัวเลย อย่างรวดเร็ว และแม้ในขณะที่ฟังธรรมก็เกิดอกุศลจิต เกิดดับแทรกขั้นในขณะที่ฟังธรรมเป็นธรรมดา ครับ เพราฉะนั้น ความเบื่อหน่าย ไม่อยากฟัง ก็เกิดขึ้นได้ เพราะ สะสมกิเลสมามาก เพราะโลภะ อกุศลย่อมไม่ยินดีในสิ่งที่ถูก ที่เป็นสัจจะ แต่ย่อมยินดี สิ่งที่ทำให้ติดข้อง มีรูป เสียง กลิ่น ดังนั้น เมื่อฟังสิ่งที่ทวนกระแสกิเลส สิ่งที่จะละกิเลส กิเลสก็เกิดขึ้นต่อต้านได้เป็นธรรมดามาก และก็มีกันทุกคน สำหรับผู้ที่ศึกษาพระธรรม ที่ยังเป็นปุถุชน ครับ เพราะฉะนั้น ให้รู้ว่า เพราะมี ความไม่รู้ และ มีโลภะเป็นปัจจัย ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ท้อถอย และไม่ชอบในบางขณะในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ที่เป็นโทสะได้เป็นธรรมดา

ดังนั้น ที่ถามว่า ศึกษาอย่างไรให้ศรัทธาจึงจะเกิดอย่างมั่นคง หนทางคือ การฟังพระธรรมด้วยความเข้าใจ เข้าใจว่าอะไรครับ เข้าใจว่า จะต้องสะสมปัญญา ศรัทธาอย่างยาวนาน เพราะ สะสมกิเลสมามาก ให้เกิดกิเลสได้บ่อย ดังนั้น เพียงระยะเวลาสั้นๆ จะทำให้ศรัทธา กุศลธรรม และปัญญา มั่นคงทีเดียวไม่ได้ แม้พระอริยสาวก ท่านก็ต้องอบรมการฟังพระธรรมอย่างยาวนาน เพราะฉะนั้น หนทางที่ถูก คือ ฟังพระธรรมต่อไป ตามกาลเวลาที่เหมาะสม เข้าใจเท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่เข้าใจ ไม่ฟัง เบื่อก็ไม่ฟังตามเหตุปัจจัย อันเป็นการแสดงถึงการอบรมศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ที่เข้าใจความจริงว่ากิเลสเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา แต่ ก็ฟังพระธรรม เมื่ออยากฟัง และขณะที่เข้าใจเล็กน้อย ความเข้าใจทีละนิดนั่นแหละครับ เกื้อกูล มีอุปการะมาก ที่จะทำให้ มีศรัทธามั่นคงไปทีละน้อย เหมือนกับการจับด้ามมีด ในแต่ละวัน ไม่เห็นรอยสึกเลย แต่ จับเป็นปี ก็ถึงเห็นรอยสึก การฟังพระธรรม อกุศลเกิดบ่อยๆ แทรกมากเป็นธรรมดา แต่กุศล ความเข้าใจเกิดนิดเดียว แต่ขณะที่เข้าใจนิดเดียว สะสมแล้ว จนทำให้ปัญญาเจริญขึ้นทีละน้อย ศรัทธาเจริญขึ้นทีละน้อย ย่อมทำให้ถึงความเป็นผู้มีศรัทธามั่นคง ปัญญามั่นคง จากการสะสมศรัทธาทีละน้อย ความเข้าใจทีละน้อยนั่นเองครับ น้ำทีละหยด หยดลงตุ่ม แม้จะเพียงหยดเล็กน้อย ย่อมทำให้เต็มตุ่มได้ ฉันใด ความเข้าใจที่เกิดเพียงเล็กน้อย ในขณะไหนก็ได้ ย่อมทำให้เกิดศรัทธา ปัญญาที่มั่นคงได้ในอนาคต แต่ต้องไม่ลืมว่า ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน ครับ เพราะฉะนั้น หากเราเข้าใจพื้นฐานความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ในเรื่องของกิเลส ก็เป็นธรรมดา และก็ฟังพระธรรมต่อไป ซึ่งเหตุให้เกิดศรัทธาที่บริบูรณ์ คือ การฟังพระธรรมที่บริบูรณ์

ดังนั้น ก็ต้องฟังต่อไปนับชาติไม่ถ้วน ก็จะถึงการมีศรัทธาที่บริบูรณ์ และหากได้ศึกษาละเอียดแล้ว ผู้ที่มีศรัทธาบริบูรณ์ คือ พระอรหันต์ผู้ที่ดับกิเลสแล้ว ชื่อว่าผู้มีศรัทธาบริบูรณ์ ครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ... เหตุให้เกิดศรัทธา [ตัณหาสูตร]

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 7 มิ.ย. 2555

๒. จำเป็นไหมที่ต้องเรียนรู้ภาษาบาลี เพื่อเข้าใจพระธรรมยิ่งขึ้นครับ

- ในอรณวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดังนี้ครับว่า

ไม่พึงปรับปรำภาษาชนบท ไม่พึงล่วงเลยคำพูดสามัญ ความหมาย คือ คำบางคำ เช่น ภาขนะ เช่น หม้อ บางที่เรียกว่าอย่างนี้ บางที่เรียกอีกอย่างหนึ่ง ภาษาบาลีก็เรียกอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้น ก็เข้าใจตามความหมายของภาษาท้องถิ่นที่ใช้ภาษานั้น เพราะฉะนั้น สำคัญที่สุด คือ ไม่ว่าได้ยินคำอะไร ไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไร ก็ให้เข้าใจความหมายของคำนั้น ว่าสื่อถึงอะไร คือ ต้องย้อนกลับมาที่ตัวจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะ ไม่เช่นนั้น การเรียนภาษาบาลี หรือ ภาษาอะไรก็ตาม ก็กลายเป็นการเรียนชื่อ สิ่งที่ลืม และเป็นสิ่งที่สำคัญ คือ ย้อนมาที่ตัวสภาพธรรมในขณะนี้ เช่น จักขุวิญญาณ เป็นภาษาบาลี ความเข้าใจก็คือ เห็น รู้ความหมายว่าเห็น และก็ย้อนกลับมาที่ตัวสภาพธรรมในขณะนี้ คือ กำลังมี กำลังปรากฏอยู่ นี่คือการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง คือ กลับมาที่สภพาธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ดังมีคำที่ควรเตือนใจ และควรพิจารณาในคำที่ว่า อย่าที่ติดที่พยัญชนะ แต่ มุ่งที่อรรถะเป็นสำคัญ คือ ไม่ติดในภาษาในคำนั้น ว่าเป็นบาลี อย่างไร แต่ มุ่งที่อรรถะความหมายของคำนั้น ว่ามุ่งหมายให้เข้าใจอะไร เพราะ พระธรรมทุกบท ทุกคำ ประโยชน์ คือ เพื่อให้เกิดกุศล เกิดศรัทธา อันเกิดจากความเข้าใจพระธรรม แต่ไม่ใช่เข้าใจคำ เข้าใจชื่อพระธรรม จำเรื่องราว ด้วยการเรียนภาษาบาลี เพราะ การศึกษาธรรมไม่ใช่เรื่องวิชาการ แต่เป็นเรื่องของจิตใจที่เป็นไปเพื่อละคลายกิเลส ด้วยการฟังพระธรรม เข้าใจตามภาษาของตน แต่เมื่ออ่านแล้ว ขัดกับความจริงในสภาพธรรมในขณะนี้ ก็ตรวจสอบคำนั้น ว่ารากมาจาก ภาษาบาลีอะไร เพื่อที่จะได้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามจริง ครับ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ตรวจสอบ จริงๆ คือ ตัวธรรมในขณะนี้แล้วจึงย้อนกลับไปที่ชื่อ ที่ภาษา ครับ สำคัญคือ การรู้สภาพธรรมในขณะนี้ ด้วยการเข้าใจภาษาของท้องถิ่นนั้นแต่ไม่ใช่ให้เรียนบาลีทั้งหมด ครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

ว่าด้วยเข้าใจธรรมด้วยภาษาใด ก็เข้าใจในภาษานั้น [อรณวิภังคสูตร]

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เข้าใจ
วันที่ 7 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งครับ ที่อาจารย์ช่วยวิสัชนาขยายความๆ หมายให้ได้เข้าใจสภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เนื่องจากทำงานหนักอ่อนเพลีย พักผ่อนน้อย พอฟังพระธรรมก็เกิดง่วงครับ

ผมเคยได้ฟังรายการหนึ่งว่า ถ้าปรารถนาจะพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องตั้งมั่นอยู่ในศีลต้องฟังเทศน์มหาชาติให้ครบในวันเดียวทั้ง ๑๓ กัณฑ์ และเรียนรู้ภาษามคธหรือบาลี เพราะ บาลีเป็นภาษาของพระพุทธเจ้า ท่านกล่าวเท้าความไปครั้งที่พระโพธิสัตว์เจ้าเป็นสันดุสิตเทวราชเจ้า ตอนที่จะเสด็จลงมาปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายานั้น ได้พิจารณาภาษาที่จะใช้คือมรรคกถะ มคธ บาลี ผมไม่แน่ใจว่าสะกดถูกไหมหรือสัญญาคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงหรือไม่ ท่านผู้ดำเนินรายการให้ความเห็น ต้องเรียนรู้ภาษาของพระพุทธเจ้าเพื่อจะไดัเป็นปัจจัยให้ได้พบพระศาสนาของพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ทั้งหมดนี้คือที่มาของคำถามครับ

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ คำปั่น และ อาจารย์ ผเดิมอย่างสูงยิ่งครับ

ด้วยความเคารพ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 8 มิ.ย. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 8 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kinder
วันที่ 9 มิ.ย. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
isme404
วันที่ 9 มิ.ย. 2555

ชีวิตในภพนี้ชาตินี้ เหลือไม่มากแล้วจริงๆ ควรที่จะมีเวลาให้กับการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวันให้มาก เพื่อประโยชน์คือความเข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง และความเข้าใจพระธรรมนี้สะสมอยู่ในจิตทุกขณะไม่สูญหายไปไหน และจะเป็นที่พึ่งในชีวิตได้อย่างแท้จริง

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เซจาน้อย
วันที่ 9 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

" จริงอยู่คำสอนที่สืบทอดมา เป็นภาษาบาลี แต่มิได้หมายความว่า ผู้รู้ภาษาบาลีจะเข้าใจธรรมะ เพราะธรรมะมิใช่ภาษาบาลี สำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ ตัวธรรมะจริงๆ "

"เพราะฉะนั้นจึงควรจะพิจารณาสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏขณะนี้"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.คำปั่น, อ.ผเดิมและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เข้าใจ
วันที่ 10 มิ.ย. 2555

ขอขอบพระคุณเพื่อนสหายพระธรรมทุกๆ ท่านที่ชี้โทษ และบอกประโยชน์ที่แท้จริงให้เข้าใจครับ ชีวิตเหลือเวลาน้อยลงทุกขณะจริงครับและบาลีก็ไม่ใช่ตัวธรรมะจริงๆ ขอบคุณครับ

ขออนุโมทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ