ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ มูลนิธิฯ วิสาขบูชา ๔ มิถุนายน ๒๕๕๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วันวิสาขบูชา ซึ่งในปีนี้ ตรงกับวันที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้จัดให้มีการสนทนาธรรมขึ้นที่มูลนิธิฯ
เพื่อเป็นการรำลึกในพระมหากรุณาคุณ ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ เพื่อที่จะทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ
ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ และ ทรงแสดงความจริงที่ทรงตรัสรู้นั้น แก่สัตว์โลก
ได้เข้าใจตาม จนมีผู้ที่ได้เคยอบรมเจริญปัญญามาในอดีต ถึงกาลที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม
ถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ มากมาย นับไม่ถ้วน แม้เทวดาและ พรหม
สำหรับท่านที่สนใจประวัติของวันสำคัญนี้
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่...
อนึ่ง วันวิสาขบูชาในปีนี้ ยังเป็นวันครบรอบ ๑๒ ปี
ของการเปิดใช้ อาคารมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา แห่งนี้อีกด้วยครับ
ในวันสำคัญๆ เช่นนี้ จะมีท่านผู้ที่รับฟังธรรมที่ท่านอาจารย์บรรยายมานาน
เดินทางมาจากที่ต่างๆ เป็นจำนวนมาก
มีหลายท่านเดินทางมาจากต่างจังหวัด มาถึงมูลนิธิฯแต่เช้า แต่ถึงกระนั้น
ที่นั่งที่ทางมูลนิธิฯได้จัดไว้มากกว่าปรกติ ก็เต็มหมด จนเจ้าหน้าที่ต้องนำเก้าอี้มาเสริม
และ ที่ซาบซึ้งใจของข้าพเจ้าอย่างยิ่ง คือ ได้เห็นท่านนั่งใต้ร่มไม้ภายนอกอาคารโดยรอบ
และ ทุกๆ ท่าน มีอาการอย่างเดียวกันทั้งหมด คือ ตั้งใจฟังการสนทนาธรรมอย่างยิ่ง
ให้เห็นถึงศรัทธาของทุกท่าน อันข้าพเจ้าขอกราบอนุโมทนาไว้ ณ ที่นี้ ด้วยครับ
ตลอดวัน ข้าพเจ้าได้เห็นถึงความชื่นบานต่อกันของทุกๆ ท่าน
ได้เห็นภาพการเจริญกุศลทุกประการ ของสหายธรรม ได้เห็นท่านที่ไม่ค่อยได้มีโอกาส
เดินทางมาฟังธรรมที่มูลนิธิฯ เลือกรับหนังสือเล่มใหม่และเก่า แผ่นเอ็มพีสาม
รวมถึงวีดีโอการสนทนาธรรม ชุดต่างๆ กลับไปฟัง และ แจกจ่ายแก่ผู้อื่น ไม่ขาดสาย
และ แน่นอนว่า ทุกครั้งที่มีการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ในวันสำคัญๆ จะมีสหายธรรม
หลายท่านเป็นเจ้าภาพ นำอาหารคาวหวานชนิดต่างๆ มากมายหลายชนิดมาบริการฟรี
แก่ผู้เข้าร่วมฟังการสนทนา รวมถึงเพื่อนบ้านใกล้เคียงโดยรอบมูลนิธิฯด้วยครับ
ที่สำคัญที่สุด คือ ความการสนทนาธรรมในวันนี้ เป็นเรื่องของคำว่า "ที่พึ่ง"
ซึ่งท่านอาจารย์ และ วิทยากรได้สนทนาไว้ด้วยความครบถ้วน และ ไพเราะอย่างยิ่ง
ดังข้าพเจ้าจะขอนำความบางตอน มาลงบันทึกไว้ เพื่อประโยชน์ในการพิจารณา ดังนี้...
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
คุณคำปั่น กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ คณะวิทยากร และ สวัสดี
ท่านผู้ร่วมศึกษาธรรมะทุกท่านครับ ในช่วงแรกนี้ ก็จะกล่าวถึง "อริยสาวิตรี"
ซึ่งเป็นที่พึ่ง ที่สูงสุด และ มีเฉพาะในพระพุทธศาสนา เท่านั้นนะครับ
ซึ่งจริงๆ แล้ว คำว่า สาวิตรี มีในทุกลัทธิ มีในทุกศาสนาก็ว่าได้
แต่สำหรับในพระพุทธศาสนา
เป็น "อริยสาวิตรี" ซึ่งเป็นที่พึ่งสูงสุด และ มีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
เป็นบทที่ไพเราะ และ มีค่าอย่างยิ่ง สามบท คือ
บทที่ ๑ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
บทที่ ๒ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
บทที่ ๓ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
ที่มาของอริยสาวิตรี มีปรากฏในพระไตรปิฎก คือ ในสุนทริกภารทวาชสูตร
หรือ สุนทริกสูตร ปรากฏในขุทกนิกาย สุตตนิบาต...
...กล่าวโดยย่อๆ นะครับ มีพราหมณ์ ท่านหนึ่ง ชื่อ สุทริกภารทวาชพรหมณ์ เป็นพราหมณ์
ที่นับถือ การบูชาไฟ วันนั้นท่านถือเครื่องสักการะบูชา ตามลัทธิของพราหมณ์
เพื่อที่จะไปบูชาไฟ เมื่อมีเครื่องสักการะเหลืออยู่ ท่านก็คิดว่า ใครหนอที่จะควรรับ
เครื่องสักการะบูชาเหล่านี้ ซึ่งในวันนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นแล้วว่า
พราหมณ์ท่านนี้ จะได้รู้แจ้งธรรมะ ถึงความเป็นพระอรหันต์...
...ซึ่งพราหมณ์ท่านนี้ได้ถามพระพุทธเจ้าว่า ท่านมีชาติอะไร แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตรัสว่า ท่านไม่ควรถามถึงชาติ แต่ควรถามถึงธรรมะ เป็นข้อประพฤติ ปฏิบัติดีกว่า
ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพราหมณ์ท่านนี้ว่า ขอให้ท่านจงกล่าว สาวิตรีในลัทธิของท่าน
ซึ่งเมื่อพราหมณ์กล่าวสาวิตรีตามลัทธิของตนแล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า
นั่นไม่ใช่อริยสาวิตรี นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นที่พึ่ง ที่ประเสริฐจริงๆ เพราะเหตุว่า อริยสาวิตรี
มีเฉพาะในพระธรรมวินัยนี้เท่านั้น แล้วพระพระพุทธเจ้าก็ตรัสถึง อริยสาวิตรีฉันท์
ซึ่งเป็นคำที่ไพเราะ ๓ บท ดังกล่าวแล้วข้างต้น คือ
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้า ขอถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้า ขอถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้า ขอถึง พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
ในที่สุด พราหมณ์ท่านนี้เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เพราะได้ฟังพระธรรมคำสอน
ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง ถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมะ ทุกอย่าง ทุกประการ
เกิดความเลื่อมใส ขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา ในที่สุด พราหมณ์ท่านนี้
เป็นพระภิกษุที่ถึงความเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ที่ดับกิเลสทั้งปวง ได้อย่างหมดสิ้น
เป็นผู้ที่มี "ที่พึ่ง" ที่แท้จริง คือ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
เพราะว่า ทำให้ถึงความเป็นผู้หมดจดจากกิเลสได้ โดยประการทั้งปวง
อันนี้คือคำว่า "อริยสาวิตรี" สิ่งที่นำมา ซึ่งความปลาบปลื้มอย่างยิ่ง
มีเฉพาะในพระพุทธศาสนา เท่านั้น นะครับ ข้อความที่แสดงถึงอริยสาวิตรี มีปรากฏใน
พระสุตตันตปิฎก ขุทกนิกาย สุตตนิบาต สุนทริกสูตร และ อีกที่หนึ่ง จะไม่แสดง
รายละเอียดเท่ากับในสุตตนิบาต คือ ในสังยุตนิกาย สคาถวรรค สุนทริกภารทวาชสูตร
ครับ ท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ ก็ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น นะคะ
เมื่อพระผู้มีพระภาค ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงอนุเคราะห์สัตว์โลก ด้วยการทรงแสดงธรรม
จากการที่ได้สะสมบารมี ทำให้พระองค์รู้ว่า ณ ขณะนี้ วันนั้น ใครจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม
ขั้นไหน ด้วยเหตุนี้ เมื่อใครก็ตาม ที่ได้สะสมความเข้าใจธรรมะมาแล้ว พร้อมที่จะได้รับฟัง
พระธรรมเทศนา พระองค์ก็ได้ทรงแสดงธรรม ที่เหมาะที่จะให้บุคคลนั้น
ได้มีความเห็นถูก ได้มีความเข้าใจถูก
แม้แต่ "อริยสาวิตรี" ภาษาบาลี ใช้คำว่าอะไรคะ คุณคำปั่น
คุณคำปั่น ในภาษาบาลี จะเป็น "อริยสาวิตติ" ครับท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ นี่ก็แสดงความต่างกัน สาวิตตรี ก็ไม่ใช่ภาษาบาลี แต่ว่า สาวิตติ
เป็นภาษาบาลี เป็นสิ่งที่นำความแช่มชื่น หรือ ความปีติอย่างสูงมาให้ เมื่อได้ฟัง "ที่พึ่ง"
เพราะว่า แสดงให้เห็นว่า การที่เกิดมาแล้ว ใครจะมีความสุข ความปีติ
เพลิดเพลินอย่างไรก็ตาม สิ่งนั้นก็หมดไป แล้วก็ไม่ยั่งยืน และ ไม่ใช่สิ่งที่นำความปีติ
หรือ ความแช่มชื่น ความบันเทิง ความโสมนัส มาให้อย่างแท้จริง
เพราะเหตุว่า เพียงแค่ "ชั่วคราว" ชั่วครู่ ชั่วยาม ก็หมดไป
ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราได้มีความเข้าใจถูกต้อง
ว่าพระธรรมที่ทรงแสดง ละเอียด ลึกซึ้ง แม้แต่ได้ยินคำว่า
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
ก็ยังสามารถที่จะรู้ว่า คำนี้ ใครเป็นผู้กล่าว เมื่อไหร่ และ กล่าวกับใคร
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ อย่างละเอียด ก็จะทำให้เห็นว่า
จากผู้ที่ไม่รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อได้ฟังพระธรรม ก็สามารถที่จะรู้แจ้งความจริง ของสภาพธรรมะ
แล้วก็ดับกิเลสได้ เป็นพระอรหันต์
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่า ไม่มีหนทางที่จะหมดกิเลส นะคะ
แต่ว่า จะหมดได้ ด้วยการเป็นผู้ที่ ได้กระทำบุญไว้ แต่ปางก่อน จึงมีโอกาสได้ "ฟัง"
แม้พราหมณ์ผู้นี้ ก็ต้องได้กระทำบุญไว้ แต่ปางก่อน จึงเป็นเหตุให้ ได้ฟังพระธรรม
แล้ว ความเข้าใจ ที่ได้สะสมมา ก็สามารถที่จะทำให้ เข้าถึง ความเป็นที่พึ่ง
โดยมี พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
ไม่ใช่มีอย่างอื่น เป็นที่พึ่ง
ฟังเท่านี้ ก็ยังไม่พอ ใช่ไม๊คะ?
เพราะว่า ทุกคนเนี่ยพูดคำนี้ บ่อยมาก วันนี้ พูดแล้วหรือยัง?
วันก่อนๆ ก็ไม่ขอถึงใครเป็นที่พึ่ง นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
"เพียงขอ" แต่ยังไม่ได้เข้าใจเลยว่า "พึ่ง" อย่างไร?
และ
"พึ่ง" เพื่ออะไร?
เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะได้รู้ความจริง ที่จะกล่าวคำนี้ ด้วยความจริงใจ ว่า
"พึ่ง" โดยการฟังพระธรรม
ได้ฟัง "คำ" ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี
ที่จะตรัสสอน เวไนยสัตว์ คือ ผู้ที่สามารถที่จะเข้าใจธรรมะนั้นได้
เพราะเหตุว่า ถ้าพระองค์ตรัสรู้เพียงพระองค์เดียว เป็นพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ได้ทรงแสดงพระธรรมอย่างละเอียด เพื่ออนุเคราะห์บุคคลอื่น
เพราะฉะนั้น การที่จะบำเพ็ญพระบารมี เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็ต้องนานกว่า และ มากกว่า
การที่จะถึงความดับกิเลส โดยเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
ด้วยเหตุนี้ แต่ละ "คำ" มีค่ายิ่ง มหาศาล
ที่ไม่ใช่ว่า เพียงฟังแล้ว ก็ผ่านไป
แม้แต่ "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ" คำว่า "เป็นที่พึ่ง" ก็ผ่านไป
พูดเอง บ่อยๆ หลายครั้ง
แต่ว่า มีความเข้าใจ และ มีความจริงใจ และ รู้ว่า
"พึ่ง" พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น
"พึ่ง" อย่างไร
แต่วันนี้ ก็ได้ทราบแล้ว นะคะ
"พึ่ง" โดยการ "ฟังพระธรรม" ที่ทรงแสดง
เพื่อเข้าใจถูก เห็นถูก ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดง
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ได้ยินคำว่า พึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ละเอียดกว่านั้น คือ พึ่งอย่างไร?
พึ่ง "คำ" ที่ทรงแสดง ด้วยพระมหากรุณา ๔๕ พรรษา
เพื่ออะไรคะ? ไม่ใช่เพื่อทรัพย์สิน เงินทอง เกียรติยศ หรืออะไรเลย ทั้งสิ้น
แต่ เพื่อเป็นกัลญาณมิตร เป็นผู้ที่หวังดี ต่อสัตว์โลก ด้วยการตรัส วาจาสัจจะ
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะกล่าวคำไม่จริง ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ทุกคำ เป็นคำจริง
แต่ความลึกซึ้งของคำที่ได้ฟัง ต้องตามระดับ ของความเข้าใจ
มิฉะนั้น ก็จะไม่มีความต่าง
ระหว่าง ผู้ที่เป็นปุถุชน กับ ผู้ที่ตรัสรู้ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น แต่ละคำ มีความลึกซึ้ง
เพื่อให้เข้าใจจริงๆ อย่างมั่นคง ไม่เปลี่ยน
เพราะเหตุว่า ธรรมะ ที่ทรงตรัสรู้ เป็นที่สุดของความจริง ของสิ่งที่มีจริง
ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยน ลักษณะที่มีจริงนั้นได้เลย
แต่สิ่งที่มีจริง ในขณะนี้ก็เป็นจริง แต่ว่า ยังไม่ได้เข้าใจจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ จึงต้องพึ่ง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดย ฟังพระธรรม ด้วยความเคารพ ที่ไม่เผิน
แต่ละคำ ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ อย่างมั่นคง
ก็จะถึงความลึกซึ้ง ของแต่ละคำ
ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ในขณะนี้ทุกอย่าง ที่กำลังปรากฏ โดยละเอียดยิ่ง
เพื่อที่จะให้ผู้ที่ได้ฟัง มีโอกาสได้เข้าใจถูก ได้เห็นถูก ในสิ่งซึ่ง แม้มีจริง ตลอดทุกภพชาติ
แต่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ ความจริงนั้น ด้วยตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ การเป็นสาวก คือ การเป็นผู้ฟังพระธรรม
แล้วก็ ไม่ประมาท ในความลึกซึ้งของพระธรรมด้วย...
...ถ้าไม่ฟัง "คำ" แต่ละคำ ที่พระผู้มีพระภาคตรัส ให้เข้าใจจริงๆ
จะ "พึ่ง" อะไรคะ?
แม้ว่าจะทรงแสดง "คำ" นั้น เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี หรือ ๖๐๐ ปี
หรือ จะต่อไปข้างหน้า อีกสักกี่ปีก็ตาม
"คำ" ที่ตรัสไว้ ไม่เปลี่ยน
แต่ว่า ความเข้าใจของคน เข้าใจความลึกซึ้ง และ ความจริง ของคำนั้น หรือเปล่า?
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า "พึ่ง" ต่อเมื่อ "เข้าใจ"
แต่ไม่ใช่ "พึ่ง" เพียง "ได้ยินคำ"
แล้วก็ "จำคำ" แล้วก็ "เข้าใจเอง" แล้วก็ ไม่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้น จะเป็นที่พึ่งเมื่อไหร่?
เมื่อ...เข้าใจ.....
เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่า จะมีพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง ก็คือว่า
ไม่ว่างเว้น การที่จะได้ฟังพระธรรม
จึงสามารถที่จะเห็นพระคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรงกับที่กล่าว่า เป็นที่พึ่ง
ไม่ใช่พึ่งอย่างอื่นเลยค่ะ
"พึ่ง" ให้เข้าใจ สิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยตัวเอง
แม้ว่า สิ่งนี้มีจริง ก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น
เช่น ขณะนี้ มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีโลภ มีโกรธ มีหลง
มีริษยา มีมานะ มีง่วง มีขยัน มีเกียจคร้าน ทุกอย่าง ทั้งหมด ที่เราใช้ภาษาไทย
ที่ทำให้เราเข้าใจได้ นะคะ คนมคธ ชาวมคธ ครั้งนั้น มีอย่างนี้หรือเปล่า?
หรือไม่มี...คะ? ไม่มีโกรธ ไม่มีโลภ ไม่มีหลง หรือยังไงคะ?
มีเหมือนกัน แต่ใช้คนละภาษา
เพราะฉะนั้น การที่เราจะเข้าใจความจริง ก็โดยภาษาที่สามารถเข้าใจได้
แม้ว่า ทรงแสดงพระธรรม เป็นภาษามคธี ซึ่งเราใช้คำว่า ปาลี หรือ ปาละ
เพราะเหตุว่า ดำรงพระศาสนา ด้วยภาษานั้น ไม่ให้คลาดเคลื่อน
แต่ก็ต้องเข้าใจ อรรถะ หรือ ความหมายของคำนั้นด้วย
เช่น "สิ่งที่มีจริง" คนไทยเข้าใจไม๊คะ?
เดี๋ยวนี้ มีอะไรจริงๆ จริงหรือเปล่า? เป็นสิ่งที่มีจริง
ภาษาบาลี ภาษามคธี ไม่มีคำว่า สิ่งที่มีจริง แต่ใช้คำว่า ธรรมะ
แต่คนไทย ที่ศึกษาธรรมะ ไม่เข้าใจคำว่า สิ่งที่มีจริง
แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า กำลังพูดถึง สิ่งที่มีจริง
โดยมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง ให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้น ถ้าเพียงรู้ภาษาบาลี และ รู้จำนวน แล้วก็รู้คำแปล
แต่ไม่รู้ว่า ขณะนี้เอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เป็นพระธรรม ที่ทรงแสดงไว้
โดยละเอียดยิ่ง เพื่อที่จะให้มีความเข้าใจ ถึงความเป็นธรรมะ
คือ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
มีจริงเมื่อเกิดขึ้นแน่ๆ แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก
เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้ เพิ่มขึ้น ก็มี พระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง
แต่ถ้าเพียงกล่าวว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ไม่ได้ฟัง "คำ" ให้เข้าใจ
ถ้าไม่เข้าใจ ตราบใด
จะชื่อว่า เป็นที่พึ่ง ไม่ได้
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของสหายธรรมผู้ร่วมกันเจริญกุศลทุกประการในวันนั้นทุกท่าน
ที่ทำให้การทั้งหลาย ล่วงไปด้วยความงดงามอย่างยิ่ง ทุกประการ
ขออนุโมทนาท่านเจ้าภาพอาหารทุกท่าน
ท่านเจ้าภาพดอกไม้ รวมถึงทุกท่านที่ร่วมกันจัดดอกไม้บูชาพระบรมสารีริกธาตุในปีนี้
เป็นดอกไม้ที่มีความ ละเอียด ประณีต และ งดงามมาก
เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ในวาระครบรอบ ๑๒ ปี ของการเปิดทำการ
อาคารมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาแห่งนี้ ที่ควรค่าแก่การจดจำเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ใดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์
เป็นสรณะ ผู้นั้นย่อมเห็นอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบ
คือเห็นทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ และ
อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ซึ่งให้ถึงความสงบทุกข์
นั่นแลเป็นสรณะอันเกษม นั่นเป็นสรณะสูงสุด
ผู้อาศัยสรณะนี้ ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต
เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 331
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
กราบท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูง ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
กราบท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูง และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
อีกทั้งยังตรงกับวันครบรอบ ๑๒ ปี ของอาคารมูลนิธิฯ แห่งนี้ด้วย น่าอัศจรรย์ค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลศรัทธาของคุณวันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
ขอกราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลศรัทธาของกัลยาณมิตรทุกๆ ท่านครับ
ขออนุโมทนาสาธุ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัยที่ถ่ายทอดสาระ ของการสนทนาธรรมและกิจกรรมอันเป็นกุศลได้อย่างดีเยี่ยมครับ และขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านด้วยครับขอนอบน้อมแ่ด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
..."ความเข้าใจ ที่ได้สะสมมา ก็สามารถที่จะทำให้ เข้าถึง ความเป็นที่พึ่ง
โดยมี พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
ไม่ใช่มีอย่างอื่น เป็นที่พึ่ง"...
-----------------
...การเป็นสาวก คือ การเป็นผู้ฟังพระธรรม
แล้วก็ ไม่ประมาท ในความลึกซึ้งของพระธรรมด้วย...
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่าน ด้วยครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขอกราบท่านอาจารย์สุจินต์
และขอร่วมกราบอนุโมทนาในบุญทุกๆ อย่างในวันวิสาขบูชาค่ะ สาธุๆ ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัยที่ถ่ายทอดสาระ ของการสนทนาธรรมและกิจกรรมอันเป็นกุศลได้อย่างดีเยี่ยมครับ และขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านด้วยครับ