ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๔๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๘]
- ลืมจุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรมไม่ได้เลย มิฉะนั้นแล้วการศึกษานั้นจะ เป็นการศึกษาแบบจับงูพิษที่หาง และงูพิษนั้นก็จะกัด เพราะเหตุว่าเมื่อมีความรู้มากขึ้น ก็มีความสำคัญตน มีความทะนงตน แต่ไม่ได้น้อมที่จะเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระ ธรรมด้วยการขัดเกลากิเลส
- รู้ว่าวันหนึ่งอกุศลเกิดมากกว่ากุศล เป็นผู้ตรงมาขั้นหนึ่งแล้ว แล้วยังต้องคิด แก้ไขด้วย และจะต้องรู้ว่าไม่ควรเลยที่จะปล่อยให้เป็นอกุศลเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ กว่า จะสิ้นชีวิตไป
- บางทีใจคิดเบียดเบียน แต่ยังไม่ทำ ย่อมเป็นไปได้ โกรธใคร บางคนก็อาจจะนึก คิดถึงคำแรงๆ อยู่ในใจได้ แต่ว่ายังไม่ได้กล่าวออกไป แม้อย่างนั้นก็ยังจะต้องเห็นว่า ในขณะนั้นจิตไม่สงบ
- มุทิตาพรหมวิหารเป็นสภาพที่ยินดีด้วยในความสุข หรือในสมบัติของคนอื่น ไม่น่าจะยากเลย ใครได้ดีมีสุขก็ยินดีด้วย จิตใจก็เบิกบานแช่มชื่นผ่องใส ในขณะนั้น เป็นกุศลแล้ว แต่ถ้าไม่รู้สึกอย่างนั้น คงจะไม่รู้ว่า ขณะนั้นเป็นอกุศล เพราะเหตุว่าความ เป็นผู้ตรงไม่เกิด ไม่เป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า เพราะอะไรจึงไม่ยินดีด้วยในความสุขหรือใน สมบัติของคนอื่น
- ความโกรธเกิดขึ้นขณะใด ขณะนั้นไม่ใช่เมตตาเพราะว่าเมตตากับโทสะ เป็น สภาพที่ตรงกันข้ามกัน
- ถ้าเป็นโลภะแล้วเดือดร้อนวุ่นวายมากมายใหญ่โต คนโน้นก็รัก คนนี้ก็รัก วุ่นวาย มาก แล้วเดี๋ยวก็คนโน้นก็รักน้อย คนนี้ก็รักมาก หรือว่าคนโน้นรัก แล้วก็ไม่ได้ทำตามใจ ที่คนโน้นรัก คนนี้ไม่รัก สารพัดอย่างที่จะวุ่นวาย แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องเมตตาแล้ว เป็นเรื่อง ที่สบายใจมากทีเดียว ไม่มีการที่จะต้องเดือดร้อนประการใดเลย
- ความชั่ว ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ควรค่าแก่การชื่นชมยินดี ส่วนความดีแม้เพียงเล็กน้อย ก็ควรค่าแก่การชื่นชมยินดี
- อดทนที่จะเข้าใจหรือเปล่าว่าขณะนี้เป็นธรรมที่มีจริง
- พระบารมีทั้งหมดที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมา เพื่อให้สัตว์โลก ได้ฟังและได้เข้าใจความจริงที่เป็นวาจาสัจจะ
- สิ่งใดที่จะเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัย
- ผู้ที่รู้จักบุญ จึงชื่นชมในบุญ
- แต่ละอายตนะ เป็นอนัตตา
- สิ่งที่มีจริงในขณะนี้เกิดแล้วดับไป ใครจะเป็นเจ้าของได้ เพราะเกิดแล้วดับแล้ว
- สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้
- ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเพื่อเข้าใจ ผลจริงๆ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน ซึ่งเมื่อแยกย่อยแล้ว ก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เราจะอยู่ที่ไหน
- ถ้าไปทางอื่น ก็ไม่พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ฟัง ความจริงที่พระองค์ทรงแสดง
- ไม่มีใครพาสัตว์ออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ก็ย่อมดีกว่าที่จะไม่เข้าใจเลย
- ปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) ไม่ใช่เรา เป็นเพียงธรรมอย่างหนึ่ง
- แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งที่ได้ฟังพระธรรม ย่อมแตกต่างไปจากแต่ละ หนึ่งซึ่งไม่ได้ฟังพระธรรม
- ยังไม่ได้ละความติดข้อง ความติดข้องจึงเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ที่สำคัญ คือ เป็นผู้ตรงรู้ว่าเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย
- อกุศลทั้งหมด ควรมีไหม? ไม่ควรมี แต่ต้องด้วยปัญญา
- ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่มีใครที่จะหลอกลวงความเป็นจริงของสภาพธรรมได้เลย
- ประโยชน์สูงสุดของการฟังพระธรรม คือ ดับกิเลสได้ทั้งหมด
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๔๗ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๗
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุโมทนา อ.คำปั่น ครับ
เป็นถ้อยคำที่เป็นประโยชน์ ให้น้อมระลึกศึกษา ธรรมภายใน คือ กุศลจิต และ อกุศลจิต ซึ่งแม้ว่าเคยฟัง และจดจำไว้ในอดีต ว่าไม่ควรเลยที่ เมื่อคนอื่นได้ดี แล้วก็มีความเทียบตน แต่เมื่อได้ฟังธรรม พิจารณาไตร่ตรอง ก็ควรที่จะมีมุทิตา ที่เป็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นได้ เพราะว่าภายในนั้น สะสมมา ที่คิดเบียดเบียน คิดกระทบกระทั่งไว้ เสีย ด้วยประการต่างๆ ที่สำคัญทุกวันนี้สะสมความไม่รู้ ความเสียภายใน มากเท่าไรก็ไม่ทราบ แต่พอจะทราบได้ว่า แม้กระทั่งสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ไม่ได้รู้ความจริง เพราะไม่ได้ปรากฏลักษณะทีละอย่างๆ และเหมือนว่าไม่ได้ดับไป และเห็นวันหนึ่งๆ เท่าไร ก็นับไม่ได้ ความไม่รู้สะสมมากเท่าไร ก็เช่นเดียวกัน การฟังธรรมด้วยความเข้าใจขึ้นๆ พิจารณาไตร่ตรองความจริง ระลึกลักษณะของ ความจริง แต่ละหนึ่งๆ เป็นหนทางเดียวเท่านั้น ที่เป็นประโยชน์ ที่จะสามารถค่อยๆ ถ่ายถอนความไม่รู้ได้ เพราะเมื่อไรที่เข้าใจ ขณะนั้นละความไม่รู้ ประโยชน์ คือ การเข้าใจความจริงตามที่ทรงแสดง เพื่อละความหวัง แม้เพื่อการเข้าใจ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมปันธรรมด้วยครับ
- ตอนนี้มีปัญหาทั้ง สัมคม คนอื่น และเหตุการณ์ อยากให้คนอื่นสงบ แต่ถ้าตนเองยัง ไม่สงบ แล้วความไม่สงบในจิตใจของตน จะช่วยความไม่สงบในบุคคลอื่น เหตุการณ์ สังคม อื่นๆ ได้อย่างไร ดังนั้นแทนที่จะช่วยสังคมเหตุการณ์ต่างๆ ในโลก ก็ช่วยโลกตัว เอง คือ ด้วยการอบรมปัญญาของตนเอง ให้ใจตนเองสงบขึ้น
- เมตตา ความเป็นมิตร ควรรั้งรอไหม เสียโอกาสหรือเปล่า
- คนที่กำลังโกรธน่าสงสาร มีแม่ทัพ คือ โทสะ แทนที่จะลำเอียงด้วยโลภะ หรือ โทสะ กับบุคคลนั้น ก็เห็นใจด้วยความเป็นเพื่อน ด้วยกุศลที่แท้จริง
- ถ้าท่านผู้ฟังเห็นช่างเขียนรูป ซึ่งกำลังเขียนรูปจาก สิ่งที่ไม่มีอะไรเลย แต่ อาศัย สี ต่างๆ กระทำให้วิจิตรเกิดขึ้น เป็นรูปต่างๆ ฉันใด ขณะนี้จิตของท่านผู้ฟัง ก็เหมือน กับช่างเขียน ซึ่งกำลังจะเขียนรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ซึ่งจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ขณะนี้ ทุกท่าน ต่างกัน ตามกรรมที่ได้ กระทำแล้ว เพราะความวิจิตรของจิต ซึ่งเกิดขึ้นเนิ่นนานมาแล้ว ฉันใด จิต ซึ่งกำลังวิจิตร ในขณะนี้ ก็กำลังกระทำให้วิจิตร ซึ่งจะเป็นคติ เป็นเพศ เป็นรูปร่าง สัณฐาน การได้ลาภ เสื่อมลาภ การได้ยศ เสื่อมยศ ทุกข์ สุข นินทา หรือ สรรเสริญในกาลข้างหน้า ฉันนั้น. ด้วยเหตุนี้จึงควรที่จะพิจารณา ลักษณะของจิตที่กำลังปรากฏ ซึ่งกำลังเขียนสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นข้างหน้า
- เราควรพิจารณาให้ละเอียด ว่า ที่เราเรียกว่า ความรัก นั้นเป็นสภาพธรรมอะไร
- ความรักอาจจะเป็นความเมตตา ที่มีต่อผู้อื่นซึ่งเกิดขึ้น เมื่อเราคิดถึงทุกข์ สุขของเขา อย่างไรก็ดี ความรักก็เป็น อกุศลธรรมประเภทหนึ่งได้ เมื่อเรา ผูกพันกับใคร เพราะว่า ความจริงแล้ว ขณะนั้น เราคิดถึงความสุขของตัวเอง ซึ่งหมายความว่า ขณะที่เราคิดถึง ความสุขของตัวเอง ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต และเมื่อเราต้องพลัดพรากจากผู้ที่เรารัก ความผูกพันนั้นเอง ที่เป็นเหตุ ทำให้เราเกิดความทุกข์ โทมนัส แต่ขณะที่ไม่มีความเห็นแก่ตัว และ ความเมตตาเกิดขึ้นขณะนั้น คุณจะไม่คิดถึงความสุขของตัวเอง