ปฐมตถาคตสูตร ... วันเสาร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕

 
มศพ.
วันที่  22 ก.ค. 2555
หมายเลข  21449
อ่าน  1,585

•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••

... สนทนาธรรมที่ ...

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)

พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. คือ
ปฐมตถาคตสูตร

(ว่าด้วยพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมจักร)

...จาก...

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 420

(ภาพแสดงบรรยากาศการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ในวันอาทิตย์ที่ ๖ มี.ค. ๒๕๕๔)

...นำสนทนาโดย...

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 420

ธรรมจักกัปปวัตตนวรรคที่ ๒ ปฐมตถาคตสูตร

(ว่าด้วยพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมจักร)

[๑๖๖๔]  ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุปัญจวัคคีย์มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุดสองอย่างนี้ อันบรรพชิตไม่ควรเสพ ส่วนสุดสองอย่างนั้น เป็นไฉน คือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นของเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ประเสริฐ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ การประกอบความลำบากแก่ตน เป็นทุกข์ ไม่ประเสริฐ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุด ๒ อย่างเหล่านั้น อันตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว กระทำจักษุ กระทำญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานอก็ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลางนั้น ... เป็นไฉน คือ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แหละ. ซึ่งได้แก่ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบอการงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งมั่นชอบ ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลางนี้แล อันตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว กระทำจักษุ กระทำญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.

[๑๖๖๕]  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจนี้แล คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งอันไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้แม้สิ่งนี้ ก็เป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์

ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้แล คือ ตัณหา ตัณหาให้มีภพใหม่ประกอบด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความพอใจ ความเพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้แล คือ ความดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือแห่งตัณหานั้นแหละ ความสละ ความวาง ความปล่อย ความไม่อาลัย

ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้แล คือ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ซึ่งได้แก่สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.

[๑๖๖๖]  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่างได้เกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขอริยสัจนั้นควรกำหนดรู้ ฯล ทุกขอริยสัจนั้นเรากำหนดรู้แล้ว.

[๑๖๖๗]  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ ฯลฯ ทุกขสมุทัยอริยสัจนั้น ควรละ ฯลฯ ทุกขสมุทัยอริยสัจนั้นเราละแล้ว.

[๑๖๖๘]  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่างได้เกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธอริยสัจนั้น ควรกระทำให้แจ้ง ฯลฯ ทุกขนิโรธอริยสัจนั้นอเรากระทำให้แจ้งแล้ว.

[๑๖๖๙]  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่างได้เกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้น ควรเจริญ จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้นเราเจริญแล้ว.

[๑๖๗๐]  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณทัสสนะ (ความรู้ความเห็น) ตามความเป็นจริง มีวนรอบ ๓ อย่างนี้ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ของเรา ยังไม่บริสุทธิ์เพียงใด เราก็ยังไม่ปฏิญาณตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น ก็เมื่อใด ญาณทัสสนะ (ความรู้ความเห็น) ตามความเป็นจริง มีวนรอบ ๓ อย่างนี้ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจเหล่านี้ของเรา บริสุทธิ์ดีแล้ว เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ก็ญาณทัสสนะได้บังเกิดขึ้นแก่เราว่า วิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติที่สุด บัดนี้ภพใหม่ไม่มี พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุปัญจวัคคีย์ปลื้มใจ ชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า.

[๑๖๗๑]  ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านโกณฑัญญะ ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล ล้วนมีความดับเป็นธรรมดา ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมจักรแล้ว พวกภุมมเทวดาได้ประกาศว่า นั่นธรรมจักรอันยอดเยี่ยม อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหมหรือใครๆ ในโลกประกาศไม่ได้ พวกเทพชั้นจาตุมหาราชได้ฟังเสียงของพวกภุมมเทวดาแล้ว .... พวกเทพชั้นดาวดึงส์ได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นจาตุมหาราชแล้ว ... พวกเทพชั้นยามา ได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นดาวดึงส์แล้ว ... พวกเทพชั้นดุสิต ได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นยามาแล้ว ... พวกเทพชั้นนิมมานรดี ได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นดุสิตแล้ว ... พวกเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตีได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นนิมมานรดีแล้ว ... พวกเทพที่นับเนื่องในหมู่พรหมได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตีแล้ว ได้ประกาศว่า นั่นธรรมจักรอันยอดเยี่ยม อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤทายวัน กรุงพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ โนโลกประกาศไม่ได้.

[๑๖๗๒]  โดยขณะนั้น โดยครู่นั้น เสียงได้ระบือขึ้นไปจนถึงพรหมโลกด้วยประการฉะนี้ ก็หมื่นโลกธาตุนี้ สะเทือนสะท้านหวั่นไหว ทั้งแสงสว่างอันยิ่งหาประมาณมิได้ได้ ปรากฏแล้วในโลกล่วงเทวานุภาพของพวกเทพดาทั้งหลาย.

[๑๖๗๓]  ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงเปล่งอุทานว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ เพราะเหตุนั้น คำว่า อัญญาโกณฑัญญะ จึงได้เป็นชื่อของท่านโกณฑัญญะ ด้วยประการฉะนี้แล.

จบปฐมตถาคตสูตรที่ ๑.

ข้อความจากอรรถกถา ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่นี่

อรรถกถาปฐมตถาคตสูตร [มหาวารวรรค]


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 22 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความโดยสรุป

ปฐมตถาคตสูตร

(ว่าด้วยพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมจักร)

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ ว่าด้วยส่วนสุด ๒ ประการ
ที่บรรพชิตไม่ควรเสพ คือ กามสุขัลลิกานุโยค (การประกอบตนให้หมกมุ่นพัวพันอยู่ใน
ความสุขในกาม) และ อัตตกิลมถานุโยค (การประกอบตนให้ได้รับความลำบาก) และ
ทรงแสดงข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นไปเพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
ต่อจากนั้น ทรงแสดงอริยสัจจ์ ๔ ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค, ทรงแสดงว่า ญาณทัสสนะ (ความรู้ความเห็น) ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ มีวนรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ คือ รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์, ทุกข์ ควรรู้, ทุกข์ ได้รู้แล้ว

รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ สมุทัย, สมุทัย ควรละ, สมุทัย ละได้แล้ว
รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ นิโรธ, นิโรธ ควรกระทำให้แจ้ง,นิโรธ ได้กระทำให้แจ้งแล้ว
รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ มรรค, มรรค ควรเจริญ, มรรค ได้เจริญแล้ว

เมื่อญาณทัสสนะในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ยังไม่บริสุทธิ์อยู่ตราบใด พระองค์ก็ยังไม่ปฏิญาณ
ตนว่าได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แต่เมื่อญาณทัสสนะในอริยสัจจ์ ๔ บริสุทธิ์ดี
แล้ว พระองค์จึงได้ปฏิญาณตนว่าได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมจบลง ท่านโกณฑัญญะ ซึ่งเป็นหนึ่งในภิกษุ
ปัญจวัคคีย์ ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาบัน พร้อมด้วยพรหม ๑๘ โกฏิ.

ขอเชิญคลิกอ่านเพื่อความเข้าใจเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

รอบ ๓ อาการ ๑๒
ดวงตาเห็นธรรม
ย้อนรำลึกเหตุการณ์วันอาสาฬหบูชา

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Jans
วันที่ 24 ก.ค. 2555
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 26 ก.ค. 2555

ขอบพระคุณและขอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nong
วันที่ 29 ก.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ