สัมมัปปธาน
สัมมัปปธานคืออะไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สัมมัปปธาน คือ ความเพียรชอบ ๔ ประการ หมายถึง สภาพธรรม คือ วิริยเจตสิกที่เกิดกับกุศลจิตที่เป็นไปในวิปัสสนาภาวนา เพราะเป็นส่วนหนึ่งของโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ วิริยเจตสิกที่เป็นสัมมัปปธานมีอาการ ๔ อย่าง คือ
๑. สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปอกุศลที่ยังไม่เกิดขึ้น มิให้เกิดขึ้น
๒. ปหานปธาน เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว มิให้เกิดขึ้นอีกต่อไป
๓. ภาวนาปธาน เพียรอบรมเจริญกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้เกิดมีขึ้น
๔. อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ตั่งมั่นเจริญงอกงามไพบูลย์
ดังนั้น สัมมัปปธาน จะต้องเป็นวิริยเจตสิกที่เกิดกับจิตที่ดีงาม ที่เป็นกุศลธรม ซึ่ง วิริยเจตสิก ความเพียร เกิดกับจิตเกือบทุกประเภท เพราะฉะนั้น ขณะที่เป็นอกุศลจิต ขณะนั้นก็มีความเพียรที่เป็นวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วยแล้ว ครับ เป็นความเพียรที่ผิด ไม่ถูกต้อง ในขณะที่ทำงานก็เป็นการทำงานของจิต เจตสิกที่เกิดขึ้น ก็ต้องมีวิริยเจตสิกเกิดขึ้น ในขณะที่เป็นกุศล อกุศล เพราะฉะนั้นขณะที่ทำงาน ขณะที่เป็นอกุศล มีความเพียรที่จะทำด้วยความต้องการ ในขณะนั้นก็มีความเพียร แต่ในเมื่อเป็นอกุศล จะเป็นสัมมัปปธานไม่ได้ เพราะ อกุศลเกิดขึ้นในขณะนั้น ไม่ใช่สัมมัปปธาน ที่จะไปถึงการดับกิเลส เพราะสัมมัปปธานต้องเป็นกุศลธรรม และ ต้องประกอบด้วยปัญญา เป็นสำคัญ
ความเพียรทุกอย่าง จึงไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นสัมมัปปธาน ครับ เพราะความเพียรที่เกิดกับจิตที่เป็นอกุศลก็มี สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราไม่กล่าวว่า ควรปรารภความเพียรทุกอย่าง และเราไม่กล่าวว่า ไม่ควรปรารภความเพียรทุกอย่าง ความเพียรได้กระทำแล้ว กุศลเจริญ อกุศลเสื่อม ความเพียรนั้นควรเจริญ ความเพียรใด กระทำแล้ว กุศลเสื่อม อกุศลเจริญ ความเพียรนั้น ไม่ควรเจริญ
ในความละเอียดของสัมมัปปธานอีกประการหนึ่ง คือ สัมมัปปธานต้องเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา เพราะฉะนั้น ขณะที่ทำงาน แม้กุศลจิตเกิดที่เป็นกุศลขั้นทาน ขั้นศีล แต่ก็ไม่เป็นสัมมัปปธาน ที่จะเป็นไปเพื่อถึงการดับกิเลสได้ ครับ แต่กุศลที่ประกอบด้วยปัญญา คือ ขณะใดที่สติปัฏฐานเกิดรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นมีความเพียรชอบ ที่เป็นสัมมาวายามะ เพียรระลึกลักษณะของสภาพธรรม และเป็นสัมมัปปธานในขณะนั้นด้วย คือ ในขณะที่สติปัฏฐานเกิด ครับ
ดังนั้น ในชีวิตประจำวัน แม้ในขณะที่ทำงาน ขณะที่เป็นอกุศลในขณะที่ทำงาน มีความต้องการทำกิจธุระต่างๆ มีความเพียร แต่เพียรเป็นไปในอกุศล ไม่ใช่สัมมัปปธาน และ แม้เกิดกุศลจิต ขั้นทาน ศีล มีความเพียรในกุศลขั้นทาน ศีล ก็ไม่จัดเป็น สัมมัปปธาน เพราะ ไม่เป็นความเพียรที่จะเป็นไปเพื่อถึงการดับกิเลส และไม่ประกอบด้วยปัญญา แต่ขณะใดสติปัฏฐานเกิดรู้ความจริงของสภาพธรรม ขณะนั้น มีสัมมัปปธานเกิดร่วมด้วย เป็นความเพียรชอบ สัมมาวายามะ อันจะถึงการดับกิเลสได้ ครับ เพราะฉะนั้น การเจริญสติปัฏฐาน จึงไม่มีตัวตนที่จะทำความเพียรประการใด ไม่มีตัวตนที่จะทำสัมมัปปธาน แต่อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ในเรื่องของสภาพธรรม ก็จะเป็นปัจจัย ให้ความเข้าใจมากขึ้น จนมีเหตุปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิด ขณะนั้น ก็มีความเพียรชอบ ที่เป็นสัมมัปปธาน ทำกิจหน้าที่ ตามความเหมาะสมแล้ว ครับ
เชิญคลิกฟังเพิ่มเติมที่นี่ครับ
ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่าเราเจริญสัมมัปปธาน ๔ แล้วหรือหนอ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิม และทุกท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจว่าสัมมัปปธานคืออะไร?
สัมมัปปธาน เป็นความเพียรที่ตั้งไว้โดยชอบ เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลส จนกว่าจะดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้น มีหลายระดับ ทั้งที่เป็นโลกิยะ และ โลกุตตระ เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ได้แก่ วิริยเจตสิก
และก็จะต้องกล่าวถึงวิริยเจตสิกด้วย ว่าเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เกิดร่วมกับจิตเกือบทุกประเภท [เว้นไม่เกิดกับอเหตุกจิต ๑๖ ดวง เท่านั้น คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง ทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐ ดวง สัมปฏิจฉันนจิต ๒ ดวง สันตีรณจิต ๓ ดวง เพราะ จิต ๑๖ ดวงนี้กระทำกิจของตนๆ ได้ โดยไม่มีวิริยะ เป็นปัจจัยเลย] ในขณะที่ฟังพระธรรม ขณะที่ให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น ก็มีความเพียรเกิดร่วมด้วย หรือแม้กระทั่งขณะที่อกุศลเกิดขึ้น ไม่พอใจ โกรธขุ่นเคืองใจ หรือ ติดข้องยินดีพอใจ เป็นต้น ก็มีความเพียรเกิดร่วมด้วย ดังนั้น ความเพียรจึงมีทั้งเพียรที่เป็นกุศล และเพียรที่เป็นอกุศล ด้วย ดังนั้น ความเพียรที่เกิดขึ้นนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นไปในเรื่องใด ไม่ใช่ว่าขึ้นชื่อว่าความเพียรที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วจะเป็นสัมมัปปธานไปทั้งหมด ถ้าเป็นไปกับด้วยอกุศลแล้ว ไม่ใช่สัมมัปปธานอย่างแน่นอน ที่จะเป็นสัมมัปปธาน ก็ต้องเป็นความเพียรที่เป็นไปในการอบรมเจริญปัญญา (วิปัสสนาภาวนา) เป็นไปในการขัดเกลาละคลายกิเลส
และที่น่าพิจารณา คือ ความเพียรใดๆ ก็ตาม ถ้าหากว่าเมื่อเพียรไปแล้วเป็นไปเพื่อความเกิดมากขึ้นของอกุศล ทำให้กุศลธรรมเสื่อมไป ความเพียรนั้นไม่ควรเริ่ม ไม่ควรประกอบ ในทางตรงกันข้าม ความเพียรใดๆ ถ้าหากว่าเมื่อเพียรไปแล้ว เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม ทำให้อกุศลธรรมเสื่อมไป ความเพียรนั้น ควรเริ่ม ควรประกอบ นี้คือความจริง สำหรับในชีวิตประจำวัน ความเพียรที่เป็นไปกับการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา พร้อมทั้งเจริญกุศลทุกๆ ประการ เป็นความเพียรที่ควรประกอบ ควรอบรมให้มีขึ้นเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะคล้อยไปสู่การดับกิเลสได้ในที่สุด ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ปกติทุกๆ วันที่เราเพียรหรือขยันในการทำงาน ถ้าไม่ได้เป็นไปในกุศลที่เป็นความเพียรที่ประกอบด้วยปัญญา เช่น สติปัฏฐานเกิด ฯลฯ ขณะนั้นก็ไม่ใช่สัมมัปปธาน และ กว่าที่จะถึงความเป็นสัมมัปปธาน ก็ต้องเริ่มจากการฟัง จนกว่าจะเป็นความเข้าใจที่มั่นคง ค่ะ