ไม่อยากไปเที่ยวที่ไหน
ตามปกติธรรมดาสะสมมาที่เป็นคนไม่ชอบเที่ยวดูการละเล่น เช่น ดูหนัง ดูละคร โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ชอบอยู่ในบ้านที่มีรั้วรอบชอบชิด ไม่ชอบอยู่นอกบ้านในเวลากลางคืน เพราะมีความรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่ชอบแสงสลัวๆ ที่ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน แต่ก็ยังชอบเที่ยวชมธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร ผู้มีความรู้ด้านโหราศาสตร์บอกว่า ที่เป็นอย่างนี้ เพราะเกิดปีเสือ ทำให้ชอบท่องเที่ยวไปดูธรรมชาติต่างๆ โดยเฉพาะป่าไม้ ภูเขา ลำธารที่มีน้ำใสไหลริน เห็นก้อนหินรูปร่างสวยๆ มีปลาตัวเล็กตัวน้อยแหวกว่าย ท่ามกลางหมู่ไม้ออกดอกหลากสีสัน มีผีเสื้อ แมลงปอบินไปมา อย่างนั้นเป็นบรรยากาศที่ประทับใจ แต่ความประทับใจนั้นก็เพียงทำให้อยากเห็นอย่างนั้นอีก คอยหาโอกาสว่าเมื่อไรจะได้เห็นอีก ไม่มีสาระอะไร เมื่อฟังพระธรรมพอเข้าใจบ้างก็รู้ว่า เห็นนั้นดับไปนานแล้ว ที่ยังจำได้เพราะคิดถึงสถานที่นั้นๆ เท่านั้นเอง และจำความสุขที่ดับไปนานแล้วนั้น เพื่อเป็นต้นแบบในการแสวงหาความสุขจากการเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างนั้นอีก เมื่อสมปรารถนาก็ต้องการสุขยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าไม่สมปรารถนาก็ขุ่นเคือง ไม่พอใจ มีแต่สะสมกิเลสอกุศลให้มากขึ้นๆ
ในวันอาสาฬหบูชาปีนี้ (๓ ส.ค. ๕๕) ท่านอาจารย์ได้บรรยายธรรมตอนหนึ่งว่า “ถ้าฟังธรรมเข้าใจแล้ว จะไม่อยากไปเที่ยวที่ไหน เพราะเกิดความสุขและปีติเมื่อได้เข้าใจพระธรรม และถ้ายิ่งรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ก็จะยิ่งมีความสุขและสงบยิ่งขึ้น”
เมื่อได้สนทนากับสหายธรรมด้วยกัน หลายท่านประทับใจกับข้อความตอนนี้เช่นกัน เพราะเป็นความจริงอย่างนั้น สังเกตได้จากตัวเอง เมื่อเข้าใจพระธรรมแล้ว บางครั้ง น้ำตาคลอด้วยความปีติ จิตใจเบาสบาย ตัวก็เบาสบายด้วย หน้าตาก็ยิ้มแย้มด้วยความรู้สึกที่เป็นสุข บางครั้งต้องยกมือขึ้นประนม แสดงความนอบน้อมในพระธรรมที่ท่านอาจารย์นำมาแสดง ซึ่งอาการอย่างนี้ไม่เคยเห็นปรากฏกับใครๆ ในการไปท่องเที่ยวดูสถานที่ต่างๆ หรือชมการแสดงที่ไหนเลย ที่เห็นกันก็มีการแสดงความชื่นชมด้วยการปรบมือ ลุกขึ้นยืน หรือกระโดดโลดเต้นตามจังหวะเพลง หรือส่งเสียงกรี๊ดแสดงความสะใจเท่านั้นเอง แม้แต่กิริยาที่แสดงออก ก็แสดงความหยาบและละเอียดของความสุขที่ต่างกันได้
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะอานุภาพของพระธรรมรัตนะนั่นเอง พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้โดยยาก ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป และทรงแสดงพระธรรมไว้แล้วด้วยดี งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด ทำให้ได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทำให้สิ่งที่เคยได้ฟังมาแล้ว ที่ยังไม่แจ่มแจ้ง ก็เข้าใจแจ่มแจ้งขึ้น ทำให้บรรเทาความสงสัยเสียได้ ทำให้ไม่เข้าใจผิดคลาดเคลื่อน มีความเห็นถูกตามความเป็นจริง ทำให้จิตใจผ่องใส เพราะรสของพระธรรมนั้นเป็นยอดของรสทั้งปวง ซึ่งการที่จะรู้รสของพระธรรมได้ ก็เมื่อได้ลิ้มรสด้วยความเข้าใจแล้วนั่นเอง
ท่านอาจารย์เคยพูดตอนหนึ่งว่า “ถ้าพูดด้วยความเข้าใจพระธรรมแล้ว ผู้ฟังก็สามารถรู้ตามได้” ต้องกราบเท้าขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่เมื่อท่านเข้าใจพระธรรมแล้วก็ไม่ได้เก็บความเข้าใจนั้นไว้คนเดียว ยังนำพระธรรมที่ได้เข้าใจแล้วนั้นมาเผยแพร่ด้วยความเมตตา อดทน และด้วยความเพียรอย่างยิ่ง จึงได้เผยแพร่ต่อเนื่องยาวนานมาเกือบเท่าอายุของเรา (เปรียบเทียบอย่างนี้จะได้เห็นชัดว่า ยาวนานแค่ไหน)
แต่ที่ว่า ไม่อยากไปเที่ยวที่ไหนนั้น ไม่ได้หมายความว่า ไม่อยากไปเที่ยวที่ไหนอีกเลย เพียงแต่ไม่อยากไปเที่ยวในที่ๆ ไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมสดๆ จากท่านอาจารย์ ยังอยากติดตามท่านอาจารย์เวลาที่ท่านไปสนทนาธรรมในสถานที่ต่างๆ แม้จะห่างไกลอย่างไร ก็ไม่เป็นอุปสรรค เช่น ที่ประเทศโปแลนด์ เป็นต้น เพราะตรงกับความต้องการหลายอย่าง คือ เป็นสถานที่ๆ มีป่าเขา ทะเลสาบที่ชอบดู (ตอนนี้โลภะทำกิจของโลภะ) และที่สำคัญที่สุด ได้ฟังพระธรรมด้วย (ตอนนี้ปัญญาทำกิจของปัญญา แม้จะมีกำลังอ่อนกว่าโลภะมากก็ตาม) แม้จะเป็นภาษาอังกฤษ ฟังเข้าใจไม่ครบถ้วนทั้ง ๑๐๐ % แต่ก็พอผ่าน เพราะอย่างไรก็ถามท่านอาจารย์ด้วยภาษาไทยอีกหลายๆ ครั้งก็ยังได้ ท่านเมตตาพร้อมให้ความเข้าใจเสมออยู่แล้ว และอีกอย่างคือ ตั้งใจจะกลับมาเขียนเล่าให้ฟังด้วยค่ะ (บอกไว้ก่อนอย่างนี้ เพื่อผูกมัดตัวเองว่า ขี้เกียจจำ ขี้เกียจบันทึก ขี้เกียจเขียนไม่ได้แล้ว แต่ถ้าถีนมิทธะมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดทำกิจหน้าที่ของตน ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาจริงๆ ค่ะ)
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่แดงด้วยครับ
ภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ จะพูดว่า "ปูเสื่อรอ"
จะรอชมทั้งภาพและเรื่องจากพี่แดง หลังกลับมาจากโปแลนด์นะครับ
ท่านอาจารย์เคยพูดตอนหนึ่งว่า
“ถ้าพูดด้วยความเข้าใจพระธรรมแล้ว ผู้ฟัง ก็สามารถรู้ตามได้”
กราบท่านอาจารย์ และขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาคุณกาญจนา และทุกท่านด้วยค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดงล่วงหน้านะครับ
เท่าที่เห็นบทความ หนังสือ และงานต่างๆ ที่พี่แดงทำนั้น ตรงกันข้ามกับที่พี่แดงว่า ขี้เกียจจำ ขี้เกียจบันทึก ขี้เกียจเขียน เลยนะครับ เพราะงานแต่ละเรื่องของพี่แดงนั้นต้องใช้ความวิริยะ ความละเอียดรอบคอบ ความตั้งใจมากสูง รู้สึกว่าพี่แดงจะถ่อมตนเกินไปสักนิดนะครับ
และก็ถือเป็นโชคดีที่พี่แดงจะได้เล่าประสบการณ์ทั้งทางโลกและทางธรรมที่ โปแลนด์ ให้สหายธรรมได้ติดตามอีกครั้ง (หลังจากที่ล่าสุด รู้สึกว่าจะเป็นประสบการณ์ที่อินเดียนะครับ)
ก็ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดงอีกครั้งครับ
ปล. ผมก็ปีเสือเช่นกัน แต่อ่อนรอบนะครับ รู้สึกว่าอุปนิสัยผมก็คล้ายๆ ที่พี่แดงอธิบายมากเลย จะไปสนับสนุนโหราศาสตร์เกินไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะครับ เว้นแต่เรื่องขี้เกียจจำ ขี้เกียจเขียนนี่ ผมเป็นจริงๆ นะครับ เพราะว่าเป็นเสือเกิดกลางวันครับ เวลาพักผ่อนของเสือนะครับ โหราศาสตร์เค้าว่าอย่างนั้นครับ
ขออนุโมทนาอาจารย์กาญจนาค่ะ
ได้ฟังวลีเด็ดของท่านอาจารย์ในวันนั้นแล้วรู้สึก "โดน" เหมือนกันเลยค่ะ
ท่านอาจารย์ท่านพูดได้ตรงกับใจมากเพราะรู้สึกอย่างนี้มานานแล้ว
จากเป็นคนที่เคยแสวงหาความสุขจากภายนอก ไม่ว่าจะดูหนัง ฟังเพลง ท่องเที่ยว ฯลฯ
(แต่ก่อนเป็นคนชอบเที่ยวมากค่ะ ชอบไปในที่ที่คนไม่ค่อยไป ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน)
แต่ความสุขที่เคยมีมานั้นเทียบไม่ได้เลยกับความสุขที่ได้จากความเข้าใจธรรม
รู้สึกว่าความสุขทางโลกนั้นมีแต่ความเร่าร้อน
แต่ความสุขในทางธรรมนั้นมีแต่ความสงบ เบา สบาย
และเมื่อได้ความสุขจากอารมณ์ที่ประณีต
ก็ไม่อยากกลับไปหาความสุขจากอารมณ์ที่หยาบอีก
เดี๋ยวนี้เวลาว่างส่วนใหญ่ในชีวิตจะหมดไปกับการเจริญกุศลค่ะ
ท่านอาจารย์ได้บรรยายธรรมตอนหนึ่งว่า
“ถ้าฟังธรรมเข้าใจแล้ว จะไม่อยากไปเที่ยวที่ไหน เพราะเกิดความสุขและปีติเมื่อได้เข้าใจพระธรรม และถ้ายิ่งรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ก็จะยิ่งมีความสุขและสงบยิ่งขึ้น”
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิต กุศลวิริยะของพี่แดงด้วยค่ะ
เมตตาก็จะปูเสื่อรอเหมือนกันนะคะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ถึงไม่ใช่วัยรุ่นก็ขอบอกว่า "ปูเสื่อรอ" ธรรมะ จากโปแลนด์ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
อนุโมทนาในกุศลที่เจริญแล้วด้วยนะครับ
ได้มุมมองเป็นประโยชน์มากเลยครับ
แต่ยังไม่เข้าใจเรื่อง โหราฯ โดยที่พี่กล่าวมา ว่าเกิดปีเสือเลยเป็นคล้ายๆ อย่างนั้นๆ แต่ไม่ยักบอกว่า ชอบกินของสดๆ ของที่มีชีวิต ตามอุปนิสัยของเสือ (ไม่ได้ล้อเลียนนะครับ) ผมเลยอยากรู้จริงๆ ว่า
๑. เรื่องหมอดู หรือ โหราฯ หรือ ดาราศาสตร์ มีในสมัยพุทธกาลหรือไม่
๒. ความฝัน ซึ่งคนที่ฝันนั้นน่าจะไม่หลับ จึงมีฝัน มีคิด จะเป็นการบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แต่คงกล่าวกับพุทธมารดาไม่ได้ ก่อนที่พระองค์จะประสูติ (ที่ทรงนิมิตถึงช้างเผือก) เพราะ พระพุทธเจ้าเหนือกว่าบุคคลธรรมดา แต่ผมสงสัยในส่วนของคนธรรมดานะครับ
ขอบคุณมากนะครับ
เรียนคุณผ้าเช็ดธุลี ความเห็นที่ 14 ครับ
ผมต้องขออภัยหากกล่าวเรื่องโหราศาสตร์แล้วทำให้เกิดความสงสัยขึ้นนะครับ
จริงๆ แล้วโหราศาสตร์ก็เป็นเพียงวิชาทางโลกวิชาหนึ่งนะครับ การที่บุคคลที่จะมีอะไรคล้ายๆ กันนั้น หากมีเหตุผลตรงไปตรงมาแล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับวัน เดือน ปี อะไรเลยนะครับ
ถ้าได้ศึกษาพระธรรมแล้ว คงจะทราบได้เป็นอย่างดีที่เดียวนะครับว่า อุปนิสัยต่างๆ ของบุคคล เกิดจากการสะสมเท่านั้นที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย
ที่ผมยกเรื่องที่มีอุปนิสัยและความชอบคล้ายๆ กัน โดยโยงเรื่องโหราศาสตร์ก็เพียงยกขึ้นกล่าวเล่นๆ เท่านั้นนะครับ
ส่วนที่คุณผ้าเช็ดธุลีถามว่า คนเกิดปีเสือ ชอบกินของสดๆ นั้น จริงทีเดียวครับ แต่เป็นผักสดนะครับ ทานกับน้ำพริกทุกชนิด อร่อยที่สุดเลยครับ แต่ถ้าเป็นเนื้อทั้งหลาย จะสดไม่สด ผมทานตามปกติครับ ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษ จะเห็นได้ว่า โหราศาสตร์นั้นพิสูจน์อุปนิสัยจริงๆ ของแต่ละคนได้หรือไม่
ส่วนเรื่องเกี่ยวกับโหราศาสตร์นั้น คุณผ้าเช็ดธุลี อาจอ่านเพิ่มเติมได้ในลิงก์นี้นะครับ
ต้องขออภัยคุณผ้าเช็ดธุลีเป็นอย่างมากมา ณ ที่นี่ด้วยนะครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
กฎแห่งกรรม แม่นยำกว่าโหราศาสตร์ค่ะ
.
ขอทวนวลีเด็ดของท่านอาจารย์ในวันอาสาฬหบูชาอีกครั้ง
"เมื่อมีความสุขจากความเข้าใจธรรม ก็ไม่ต้องไปแสวงหาความสุขจากที่ไหน"
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบเรียน พี่เพื่อนร่วมทางครับ
อนุโมทนาในกุศลจิตที่พี่ได้เจริญแล้วด้วยครับ
ผมเชื่อฟัีงท่านอาจารย์สุจินต์เช่นเดียวกับพี่ครับ (ด้วยเหตุผล) เพียงเห็นข้อความลักษณะดังกล่าว ผมเลยขออนุญาตสนทนาดักไว้นะครับ
เพื่อสะกิตใจให้ผู้รู้ได้ร่วมสนทนาเพิ่มเติม ด้วยเหตุผลในเรื่องโหรฯ (กันการเข้าใจผิด) ของผู้ที่ใหม่ หรือ ผู้ที่ผ่านมาอ่าน น่ะครับ
ขอบคุณมากครับ