อาหาร หมายถึงอะไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นก็เข้าใจคำว่า อาหาร ในพระพุทธศาสนาหมายถึงอะไรก่อน ครับ
อาหาร โดยศัพท์ หมายถึง นำมา คือ เป็นปัจจัย หรือ นำมาซึ่งผล
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมอะไรก็ตาม ซึ่งนำมาซึ่งผล หมายถึง อาหาร อาหารจึงไม่ได้ หมายถึงอาหารที่เราบริโภคกันเท่านั้น แต่ อาหารมีความละอียด หลากหลายนัยดังนี้ ครับ
อาหาร มี ๔ ประเภท ดังนี้
๑. กพฬีการาหาร หมายถึง รูปอาหารที่เป็นคำๆ ที่เราบริโภคเข้าไป ส่วนที่จะเป็นประโยชน์หล่อเลี้ยงร่างกาย อาหารที่เป็นคำๆ นำมาซึ่ง โอชารูป
๒. ผัสสาหาร หมายถึง ผัสสเจตสิก ซึ่งเป็นปัจจัยให้สัมปยุตธรรมเกิดขึ้น นำมาซึ่งเวทนา
๓. มโนสัญเจตนาหาร หมายถึง กรรม ทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม ย่อมนำมาซึ่งปฏิสนธิวิญญาณ (การเกิด)
๔. วิญญาณาหาร หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณ ย่อมนำมาซึ่งนามรูป
จะเห็นนะครับว่า อาหารทั้ง ๔ นำมาซึ่งสภาพธรรมต่างๆ จึงเรียกว่าเป็นอาหาร ครับ
พระพุทธเจ้า ทรงแสดงต่อไปครับว่า อาหาร ๔ นั้น เหตุให้เกิด เพราะ มีตัณหา คือเพราะ มีกิเลส จึงเกิด อาหาร ๔ ตราบใดที่ยังไม่รู้ตามความเป็นจริง ที่เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ และ ยังมีกิเลส ก็ยังจะต้องไม่พ้นจากอาหารเลย ไม่ประการใดประการหนึ่ง ครับ ยังจะต้องเกิด คือ มีการทำกรรม ที่เป็นมโนสัญเจตนาหาร นำมาซึ่งการเกิด (ปฏิสนธิวิญญาณ) ยังต้องมีร่างกาย จิตใจ เพราะ อาศัยการเกิด คือ ปฏิสนธิวิญญาณ ที่เป็นวิญญาณอาหาร ครับ
ซึ่งหนทางการดับ อาหาร ๔ คือ การฟังพระธรรม อบรมปัญญา ระลึกลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ย่อมถึงการดับกิเลส ดับอาหาร ๔ ไม่เกิดอีกเลย ครับ ไม่นำมาซึ่งผลใดๆ เพราะ ไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมใดๆ อีก ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ
อาหาร [สภาพที่นำมาซึ่งผล] ๔ ประการ
ขอถามเกี่ยวกับ "อาหารสูตร" ครับ
เชิญคลิกฟังคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ
อาหารเป็นธรรมชาติที่นำมาซึ่งผล ควรเห็นโทษภัยของอาหารปัจจัย
นามอาหาร ๓ - ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร
อาหารปัจจัยมี ๔ เป็นรูป ๑ เป็นเจตสิก ๒ เป็นจิต ๑
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในอาหารสูตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า อาหารทั้ง ๔ อย่าง นั้น เป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้ที่เกิดแล้ว และ เป็นไปเพื่ออุปการะเกื้อกูลแก่ผู้ที่ยังต้องมีการเกิดอยู่ (คือ ยังมีกิเลสอยู่) แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรม ที่ตราบใดก็ตามที่ยังมีการเกิด อันมีต้นตอมาจากการที่ยังมีอวิชชา ความไม่รู้อยู่ จึงยังต้องมีอาหาร ๔ อย่างนี้เกิดขึ้นเป็นไป มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ไม่พ้นไปจากทุกข์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ที่จะดับทุกข์ได้นั้น ซึ่งก็คือการดับเหตุแห่งการเกิด ได้แก่ การดับกิเลส ก็ต้องเป็นผู้มีการอบรมเจริญปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสอะไรๆ ได้เลย หนทางนี้ เป็นหนทางที่ยาวไกล ซึ่งจะต้องอาศัยการสะสมปัญญาไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ ครับ
[เล่มที่ 75] พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๔๑๐
ถามว่า ตรัสว่าอย่างไร
ตอบว่า บรรดาอาหารเหล่านั้น
ผัสสาหาร เป็นปัจจัยแก่ธรรมทั้งหลายที่จิตและเจตสิกเป็นปัจจัยเหล่านั้น และย่อมนำมาซึ่งเวทนา ๓.
มโนสัญเจตนาหาร ย่อมเป็นปัจจัยแก่ธรรมเหล่านั้นและย่อมนำมาซึ่งภพ ๓.
วิญญาณาหาร ย่อมเป็นปัจจัยแก่ธรรมเหล่านั้น และย่อมนำมาซึ่งปฏิสนธิ นามและรูป.
ถามว่า วิญญาณาหารนั้นเป็นวิบากอย่างเดียว ส่วนวิญญาณนี้เป็นกุศลวิญญาณมิใช่หรือ.
ตอบว่า เป็นกุศลวิญญาณแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้นกุศลวิญญาณนั้น ท่านก็เรียกว่า วิญญาณาหารเหมือนกัน เพราะเป็นสภาพเหมือนกับวิปากวิญญาณาหารนั้น.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
อาหาร ๔ กพฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร และวิญญาณาหาร ละปัจจัยนำมาซึ่งผลให้มี โอชา อวินิพโภครูป ๘ เวทนา ๓ ภพ ๓ และวิญญาณปฏิสนธิจิตแต่ละขณะ พิจารณาดูแล้วน่าอัศจรรย์ใจนะครับ เพราะเป็นความลงตัวของสภาวธรรมแต่ละอย่างๆ จริงๆ ถ้าไม่มีโอกาสได้ศึกษาก็คงยากที่จะเข้าใจนะครับ ขั้นการศึกษาก็พอจะมนสิการเข้าใจได้บ้าง แต่ขั้นประจักษ์แจ้งคงยากยิ่งกว่าหลายเท่านะครับ ก็ขอขอบพระคุณ คุณปวีร์ด้วยครับ ที่ตั้งกระทู้นี้เพื่อได้ศึกษากันครับ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
อะไรชื่อว่า อาหาร เพราะสัตว์ทั้งหลายดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร ในโลกนี้การแสวงหามี 2 อย่าง คือ
1. แสวงหาอามิส หมายถึง กามคุณ ๕
2. แสวงหาธรรมะประเสริฐที่สุด
ขออนุโมทนากับผู้ถามและผู้ตอบ และผู้ร่วมสนทนาทุกท่าน กำลังจะถามเรื่องนี้พอดี แต่ลองค้นหาคำก่อน เพราะเดาว่าคงจะมีกัลยามิตรสอบถามก่อนแล้ว
ขออนุโมทนา
ศึกษาพระธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงแสดง จึงได้รู้ความจริงว่า อาหาร ไม่ใช่มีเพียงที่รับประทานทุกวัน ที่เป็นคำข้าว แต่ยังมีอาหารที่เป็นสภาพธรรม ที่แสนยากที่จะปรากฏ กับสติและปัญญา ความเป็นปุถุชนที่มืดบอด จึงไม่รู้ว่า ชีวิตที่ดำรงอยู่ ทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะ ใคร ผู้ใด จะมีอำนาจจัดการอะไรได้ แท้ที่จริงเป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ชีวิตจึงเป็นทุกข์ เพราะความ ที่ต้องอิงอาศัย ไม่อิสระ คงทนอยู่ได้ยาก มีเพียงชั่วคราว แล้วก็หมดไป อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อยังมีอาหาร ก็ยังต้องวนไป ตามปัจจัย ที่ยังไม่สิ้นสุด การฟังพระธรรม ด้วยความเคารพและอดทนต่อไป สะสมการรู้ความจริง ที่จะเป็นหนทางนำไปสู่การสิ้นสุดการแสวงหาอาหาร ในวันหนึ่งได้ แม้จะแสนนาน เท่าใดก็ต้องมีวันหนึ่ง ตามเหตุที่สมควร
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านผู้ถามและท่านผู้ตอบ ที่ทำให้ได้ทราบความละเอียดด้วยค่ะ