ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๖
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปัน ข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็น ธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๖]
๐ ประโยชน์ของการฟังธรรมมีมากทีเดียว ในพระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎกนั้น ก็ควรค่า แก่การฟัง ควรค่าแก่การศึกษา ควรค่าแก่การอ่าน การค้นคว้า เพื่อให้ได้รับประโยชน์ อย่างเต็มที่ เพราะเหตุว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมถึง ๔๕ พรรษา ก็เพื่ออนุเคราะห์ให้ผู้ฟังได้เข้าใจสภาพธรรมชัดเจนถูกต้องตามความเป็นจริง ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดแล้ว ก็อาจจะทำให้เข้าใจผิดพลาดคลาด เคลื่อนไปได้
๐ ถ้ามีโลภะ โลภะ จะให้ทำอะไรๆ ก็ทำ คือ อกุศลของตัวเอง โลภะที่มีอยู่ใน ใจเป็นผู้คอยให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ครอบงำบังคับบัญชาให้แสวงหา ให้ทำสิ่งต่างๆ
๐ ในเมืองที่ไกลและมีผู้คนที่อ่านหนังสือไม่ออก ก็ย่อมจะหาบุคคลที่อ่านหนังสือ ออก เมื่อมีพระราชสาส์นของพระราชา ไปถึงบุคคล ในตำบลที่อยู่ไกลนั้น ก็จะต้องให้ คนที่อ่านหนังสือออกนั้น เป็นผู้อ่านข้อความในหนังสือนั้น ฉันใด ผู้ที่แสดงธรรมของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เช่นเดียวกัน พระไตรปิฎก ใครเป็นผู้อ่านออก ก็ให้ผู้นั้นอ่าน แต่ว่า ไม่ใช่เขียนเอง ไม่ใช่คิดเอง สอนเอง แต่ว่า ต้องตรงตามพระธรรมวินัยที่ได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียด
๐ เวลาที่โกรธ บางคนก็หมดไปโดยง่าย แต่ว่า บางคนก็ยังผูกโกรธ คือ ความ โกรธนั้น รัดรึงใจไว้บ่อยๆ เดี๋ยวนึกขึ้นมา ก็โกรธอีกแล้ว เดี๋ยวก็โกรธ ทำไมเรื่องนั้น นิดเดียว แต่โกรธต่อไปอีกได้ตั้งนาน นั่นเป็นความผูกโกรธ แต่ว่าผู้ที่มีสติ ก็ระลึกได้ แทนที่จะโกรธ ก็ไม่โกรธ เพราะฉะนั้น สติ เป็นสิ่งที่มีอุปการะคุณมาก ไม่ได้เป็นโทษ เป็นภัยอะไรเลย
๐ ถ้าไม่ศึกษา พระธรรม ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทุกคนคาดคะเน ธรรม ตามความคิด ความเชื่อ ความเข้าใจของตนเอง ซึ่งมีหนทางที่จะผิด ได้มาก เพราะอวิชชาความไม่รู้ แต่ว่า ถ้าศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ ก็จะทำให้เข้าใจธรรมแจ่มแจ้งขึ้น
๐ พระธรรมเทศนาทั้งหมด เพื่อเตือนให้รู้จักตนเอง เพื่อความไม่ประมาท เพื่อการ ที่จะได้เจริญกุศลธรรมมากขึ้นยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าเป็นการไร้สาระ หรือว่าไม่มีประโยชน์ที่ จะกล่าวถึงความจริง แต่ว่า เพื่อจะให้ผู้ศึกษา ได้ตระหนักชัดถึงความจริง
๐ ความจริงแล้ว ไม่ต้องให้ใครเอา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ มาให้ ใจของแต่ ละคนที่ยังมีกิเลส มีความต้องการในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นั้นเอง เพราะฉะนั้น การละ ก็ต้องละด้วยการเจริญปัญญา รู้ลักษณะของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ตาม ความเป็นจริง
๐ มีความเห็นว่า ทางกายก็ดีแล้ว ทางวาจาก็ดีแล้ว ไม่ต้องขัดเกลาอะไรอีก นั่น ไม่ใช่ วิสัยของผู้ที่รู้จักตนเอง
๐ ในชีวิตประจำวัน ก็ควรที่จะได้พิจารณาถึงกุศลวิตก และอกุศลวิตกของตนเอง มิฉะนั้นแล้ว ก็จะเห็นแต่อกุศลของคนอื่น แทนที่จะกระทำกิจของตน ก็ไปคิดที่อยากให้ คนอื่นหมดกิเลส โดยที่ลืมว่าในขณะนั้นจิตของตนเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล?
๐ วิตักกะ คือ การตรึก เป็นกุศล หรือเป็นอกุศลก็ได้ ก็ต้องเนื่องมาจากการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึก ทั้งนั้น ไม่พ้นเลย
๐ ความโกรธ รวมไปถึง กิเลสทั้งหลายประการต่างๆ อุปมา เหมือนต้นไม้มีพิษ คิดจะเพิ่มอาหารให้ต้นไม้มีพิษ ให้ฝังรากลึกลงไปอีก และให้งอกงามเพิ่มพูนขึ้น จะเก็บบำรุงรักษาต้นไม้มีพิษนั้นไว้ หรือจะตัดโค่นต้นไม้มีพิษนั้น?
๐ ประโยชน์ที่สุดในชีวิต คือ การฟังพระธรรม ที่พระสัมสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง แสดงพระมหากรุณาคุณที่ทรงแสดงพระธรรมไว้เป็นอันมาก ก็เพื่อที่จะ ให้เห็นโทษ ของอกุศลของตนเอง และจะได้เจริญกุศลยิ่งขึ้น
๐ ความรู้ คือ ความรู้ ความไม่รู้ คือ ความไม่รู้ และใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ละชีวิต หลังปฏิสนธิแล้ว ก็จะต้องเป็นไป ไม่มีใครหยุดยั้งสภาพธรรม ที่เป็นไป ได้เลย
๐ การที่จะเป็นผู้ที่ตรง ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม และพิจารณา ก็จะได้ตรงขึ้น ว่า เมื่อนับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเคารพด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจ มิฉะนั้น จะไม่มีทางเลย เคารพบูชาด้วยจิตอะไร ด้วยความเคารพ นอบน้อมในอะไร ถ้ายังไม่ได้ศึกษา ก็ไม่รู้ว่า เคารพในอะไร เพียงแต่ได้ยิน ได้ฟังตั้งแต่เด็กว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นผู้ควรแก่การเคารพนอบน้อมอย่างสูงสุด เป็นผู้ที่ หมดจดจากกิเลส ไม่มีใครเสมอเหมือนกับพระองค์ จะรู้ได้ ก็ด้วยการศึกษา เริ่มต้นจน กระทั่งสามารถจะเข้าใจถึงพระคุณได้ แต่ถ้าไม่มีการฟัง การศึกษา เราก็ไม่ใช่ผู้ตรง ตั้งแต่ต้น
๐ ในคำสอน ทางพระพุทธศาสนา มีคำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่ใช่คำพูด เปล่าๆ โดยเลื่อนลอย แต่ อนิจฺจํ คือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มี เกิดแล้วต้องดับไป ทนอยู่ต่อ ไปไม่ได้ ทุกฺขํ คือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามซึ่งเกิดมีแล้วหมดไป สิ้นไป สิ่งนั้นจะเป็นสุขได้ อย่างไร เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดชั่วคราวแล้วก็ดับไป
๐ ธรรมใดที่ไม่ดี ไม่ควรมีมากๆ
๐ ชีวิตนี้จะมีความสุขได้ โดยปราศจากธรรมฝ่ายไม่ดี
๐ ถ้ามีกุศลมาก ทุกข์ย่อมน้อยลง แต่ถ้ามีอกุศลมาก ทุกข์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
๐ ชีวิตทุกขณะเป็น ธรรม ทั้งหมด ยิ่งฟัง ก็ยิ่งเข้าใจว่า อะไรบ้างที่เป็นธรรม แต่ ต้องค่อยๆ เริ่มเข้าใจ ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็จะไม่ใช่เพียงแค่ กล่าวถึงคำ เช่น คำว่า กรรม และผลของกรรม แต่ยังต้องรู้ความจริงว่า กรรมเป็นอะไร ผลของกรรมเป็นอะไร แม้แต่ "เห็น" ขณะนี้ เป็นผลของกรรม เกิดแล้ว เพราะ เหตุปัจจัย จริงๆ เลือกไม่ได้
๐ การฟังพระธรรมมีประโยชน์มากมายมหาศาล การฟังเป็นความดี เป็นเหตุให้ การฟังเจริญ เมื่อมีการฟังครั้งหนึ่งแล้ว ผู้ที่เห็นประโยชน์ จะไม่หยุดอยู่แค่นี้ ก็จะมีความอดทน มีความเพียร ที่จะฟัง ที่จะศึกษาต่อไป อันเป็นโอกาสที่มีค่าที่สุดสำหรับ ชีวิต ผู้ที่สะสมเหตุที่ดี มีศรัทธา เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจพระธรรมมาแล้ว จึงมีโอกาสได้ฟังได้ศึกษา ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ฟัง
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๕๕ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ
- เปลี่ยนคนอื่นหรือเปลี่ยนตัวเอง คือ เปลี่ยนการสะสมที่สะสมมาของจิต แต่เปลี่ยนอย่างไร เปลี่ยนด้วยการศึกษาธรรม เปลี่ยนด้วยการสะสมสิ่งที่ดีใหม่ ด้วย การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เมื่อมีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สิ่งที่ดีก็ เกิดขึ้น มีปัญญา
- รักษาใจด้วยการเข้าใจว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตนเมื่อเข้าใจดังนี้ ก็ช่วย เท่าที่ทำได้ ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้น ก็ตามแต่กรรมของบุคคลที่ทำมาและตามการสะสม มาของแต่ละบุคล
- ใครทำดี ผู้นั้นเองย่อมได้ดี แต่ไม่ใช่คนนี้ทำดี เลยทำให้อีกคนเลยได้ดีด้วย
- ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม จะมีเงินมากหรือน้อย จะมีบ้านใหญ่โตหรือบ้านเล็กก็ ไม่พ้นไปจาก เห็น ได้ยิน และคิด แล้วก็อยู่ในโลกของความติดข้องตลอดเวลา นอก จากความเข้าใจเท่านั้น เมื่อความเข้าใจธรรมค่อยๆ เพิ่มขึ้น กุศลต่างๆ ก็จะมีเพิ่มขึ้น แทนอกุศลไม่มีใครชักนำมาให้เกิด แต่กรรมที่ชักนำมาให้เกิด สัตว์โลกทั้งหลายจึงเป็น ไปตามกรรมที่บุคคลนั้นเองทำไว้ ไม่มีใครทำให้ นำมาให้เราเกิดได้เลย สัตว์ทั้ง หลายมีกรรมเป็นของๆ ตน
- สิ่งใดที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่เหตุผล เพราะเหตุไม่ตรงกับผล แต่สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเหตุผล เพราะเหตุที่ แสดงตรงกับผลที่เกิดขึ้น
- ข่าวอื่นได้ฟังอยู่เกือบตลอดเวลาซึ่งทำให้เกิดแต่อกุศล แต่ข่าวที่เป็นวาจาสัจจะ วาจาคือคำ ผู้แสดงคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า วาจาที่ตรัสออกจากพระโอษฐ์ เป็นคำจริงเป็นวาจาที่เป็นประโยชน์ วาจาที่ไม่ทำให้เดือดร้อน เป็นข่าวที่ทำให้เกิด ปัญญา
- หากพิจารณาอย่างถ่องแท้ เราอยู่ในโลกของความคิดของตัวเองเท่านั้น ที่เห็น ว่าผู้อื่นเป็นคนพาลนั้น ก็เป็นความคิดของเราถึงคนคนนั้น ซึ่งคิดด้วยอกุศล เป็นการ คบกับอกุศล เป็นการคบคนพาลเพราะเราคิดด้วยอกุศล เช่นนี้แล้วเราเองเป็นคนพาล ด้วยหรือไม่ ดังนั้น ควรพิจารณาความเป็นคนพาลของตน คือขณะที่เป็นไปในอกุศล ประการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขณะที่คิดถึงบุคคลอื่น ซึ่งควรคิดถึงด้วยมิตรไมตรี แต่ไม่ควรคิดหรือคบด้วยอกุศล
- ควรที่จะไปสู่ที่ชอบที่ชอบคือ สถานที่ที่มีการสนทนาธรรม ฟังธรรมตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องรอคอยให้คนอื่นบอกตอนที่ตายแล้วว่า ไปสู่ที่ชอบที่ ชอบเถิด เพราะสามารถไปได้แม้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ สำคัญอยู่ที่ว่าจะไปหรือไม่ไป เท่านั้นเอง
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปัน อาจารย์ผเดิม และทุกท่านครับ
- ถ้ามีโลภะ โลภะ จะให้ทำอะไรๆ ก็ทำ คือ อกุศลของตัวเอง โลภะที่มีอยู่ในใจ เป็นผู้คอยให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ครอบงำบังคับบัญชาให้ แสวงหา ให้ทำสิ่งต่างๆ
- ในคำสอนทางพระพุทธศาสนา มีคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่คำพูด เปล่าๆ โดยเลื่อนลอย แต่ อนิจฺจํ คือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มี เกิดแล้วต้องดับไป ทนอยู่ต่อ ไปไม่ได้ ทุกฺขํ คือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ซึ่งเกิดมีแล้วหมดไป สิ้นไป สิ่งนั้นจะเป็นสุข ได้อย่างไร เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดชั่วคราวแล้วก็ดับไป
- ควรที่จะไปสู่ที่ชอบที่ชอบคือ สถานที่ที่มีการ สนทนาธรรม ฟังธรรมตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องรอคอยให้คนอื่นบอก ตอนที่ตายแล้วว่า ไปสู่ที่ชอบ ที่ชอบเถิด เพราะสามารถไปได้ แม้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ สำคัญอยู่ที่ว่าจะไปหรือไม่ไป เท่านั้นเอง
...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ. คำปั่น และ อ. เผดิม ด้วยค่ะ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อาจารย์ผเดิม และทุกท่าน ค่ะ
การฟังพระธรรมมีประโยชน์มากมายมหาศาล การฟังเป็นความดี เป็นเหตุให้ การฟังเจริญ เมื่อมีการฟังครั้งหนึ่งแล้ว ผู้ที่เห็นประโยชน์ จะไม่หยุดอยู่แค่นี้ ก็จะมีความอดทน มีความเพียร ที่จะฟัง ที่จะศึกษาต่อไป อันเป็นโอกาสที่มีค่าที่สุดสำหรับ ชีวิต ผู้ที่สะสมเหตุที่ดี มีศรัทธา เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจพระธรรมมาแล้ว จึงมีโอกาสได้ฟังได้ศึกษา ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ฟัง
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ