พุทธทำนายที่มีต่อมหันตภัยโลก
เรียนท่านอาจารย์ที่เคารพทุกท่าน
ดิฉันได้รับหนังสือชื่อ "ไขปริศนา-พุทธทำนาย?" และมีข้อความตอนหนึ่ง ในหน้าที่ 29 กล่าวว่า ... จากศิลาจารึก ในมหาวิหารเจตมหาเชตวัน ณ สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย โดยคณะทูตไทย ที่ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ตามคำแปลเป็นภาษาไทยว่า ดังนี้
สาธุ อะระหังตา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง พระเมตตากรุณาสรรพสัตว์ซึ่งเกิดมาในบ่วงทุกข์ ล้วนต้องพานพบ กับความลำบาก ทุกข์ยากกันทั่วหน้า ทุกชาติพันธุ์ ศาสนา เป็นธรรมดาตามวิสัย เมื่อตถาคตเข้านิพพานไปแล้วศาสนาจะดำรงจนเวลาครบห้าพันปี เป็นที่สุด ทว่ากึ่งเวลานั้นโลกจะหมุนไปใกล้วาระซึ่งทรงพยากรณ์ไว้ว่า ประมาณสองพันห้าร้อยปี หรือกึ่งพุทธกาล มนุษย์และสัตว์จะประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่ สิ่งที่ประชาโลกยัไม่เคยเจอะเคยเจอ จะได้เห็น ไม่เคยพบจะได้พบ ...
ส่วนหน้าที่ 32 กล่าวว่า "อานันทะ ดูก่อนอานท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง มีการรบรา ฆ่าฟัน เกิดการเข่นฆ่าประหารกันครั้งใหญ่ ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ ไฟจะลามลงมาจากฟ้า แต่ว่า ... ดูก่อนอานนท์ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี จะถือว่าเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงได้ไม่ ทั้งนี้ก็เพราะว่า หลังกึ่งพุทธกาลไปแล้ว ... จะมีความร้ายแรงมากกว่า สำหรับดินแดนแคว้นใด ที่นับถือพุทธศาสนา จะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก" ....
ดิฉันขอความกรุณาอาจารย์ช่วยให้ความกระจ่างในเรื่องเหล่านี้ค่ะ ขอขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านที่ตอบ เป็นอย่างสูงล่วงหน้ามา ณ โอกาสนี้
ขอแสดงความเห็นในฐานะสหายธรรมด้วยกันนะค
สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมคือ สัตว์โลกมีกรรมเป็นของของตน ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ที่จะต้องได้รับ ยังไงก็หนีไม่พ้นค่ะ คงไม่ต้องรอให้ถึงกึ่งพุทธกาล แม้วันพรุ่งนี้ก็เกิดขึ้นได้ ถ้ากรรมนั้นสุกงอมพร้อมที่จะให้ผล
กล่าวอย่างคร่าวๆ ทุกข์ของมนุษย์นั้นมี ๒ ประเภทคือ ทุกข์กาย กับ ทุกข์ใจ ทุกข์ใจเกิดจากกิเลส แต่ทุกข์กาย ที่เป็นทุกขกายวิญญาณนั้น เป็นผลของอกุศลกรรม ไม่ว่าสาเหตุของทุกข์กายนั้น จะมาจากความเจ็บป่วย ถูกประทุษร้าย อุบัติเหตุ หรือภัยพิบัติใดๆ ก็ตาม ความเจ็บปวดทางกายที่เกิดขึ้น ต่างก็เป็นผลของ อกุศลกรรม ทั้งสิ้น
แม้พระอรหันต์ ผู้ซึ่งหมดจดจากกิเลส ไม่มีทุกข์ใจเลย แต่ทุกข์กายท่านยังมีอยู่ ตราบใดที่ยังมีขันธ์ ๕ และตราบใดที่ยังมีอกุศลวิบาก
ดังนั้น กุศลกรรม เท่านั้นที่เป็น ที่พึ่งอันแท้จริง เพราะไม่นำมาซึ่งโทษ และภัยใดๆ เลย และการอบรมเจริญปัญญาจะช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ความทุกข์ ความกังวลใจ ก็จะน้อยลง ความอาจหาญ ที่จะมีชีวิตอยู่ เพื่อเจริญกุศลธรรมทุกประการก็จะมากขึ้น ... เป็นผู้มีชีวิตอยู่ด้วยความรู้ ไม่ใช่อยู่ด้วยความเขลาอีกต่อไปค่ะ
ขอให้อาจหาญร่าเริงและมีพระธรรมเป็นที่พึ่งนะคะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำหรับพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ไม่ได้มีพุทธพยากรณ์ในเรื่องนี้ ครับ
ซึ่งหากมองกันตามความเป็นจริงแล้ว พระพุทธเจ้า ทรงตรัสสอน ให้เห็นภัยที่น่ากลัว คือ ภัย คือกิเลส ไม่ได้ทรงสอนว่า ภัยที่น่ากลัว คือ ภัยธรรมชาติ เพราะ ภัยธรรมชาติ ก็เป็นเพียงทำให้ผู้นั้น ตายจากความเป็นบุคคลนี้ เพียงชาติเดียว แต่สำหรับ ภัย คือ กิเลสแล้ว ย่อมนำทุกข์โทษมากมาย เกินกว่าภัยธรรมชาติ หาประมาณไม่ได้ เพราะเหตุว่า เมื่ออาศัยกิเลส ก็ย่อมทำบาป ทำอกุศลกรรม ก็ทำให้จะต้องเจอภัยธรรมชาติ เพราะ จะต้องมีการเกิด ในภพภูมิต่างๆ และที่สำคัญ เมื่อพิจารณาละเอียดลงไปว่า การได้รับทุกข์ทางกาย ต่างๆ อันเกิดจากภัยธรรมชาติ ทุกข์ทางกาย ก็คือ กายวิญญาณ ที่มีอกุศลกรรม คือ กรรมที่ไม่ดีเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้น เหตุที่แท้จริง คือ กิเลส ที่เป็นปัจจัยให้ทำอกุศลกรรม และ ทำให้ได้รับทุกข์ทางกาย อันเกิดจากสิ่งที่สมมติ ที่เรียกว่าภัยธรรมชาติ นั่นเอง ครับ และที่น่ากลัวกว่านั้น ภัยธรรมชาติที่ว่าน่ากลัวในโลกมนุษย์ เทียบไม่ได้แม้เพียงนิดเดียว กับทุกข์ในนรก ที่จะต้องทนทุกข์ทรมาน มีการถูกไฟเผาอยู่ตลอดเวลา ถูกมีด ถูกการทรมานต่างๆ เป็นเวลายาวนาน ซึ่งการจะไปสู่ภพภูมิ มี นรก เป็นต้น ก็เพราะอาศัยการทำอกุศลกรรม ซึ่งจะทำอกุศกลรรมไมได้เลย หากไม่มีกิเลส ดังนั้น ภัย อมิตร ศัตรู ที่น่ากลัวที่สุด สัตว์โลกย่อมสำคัญว่า เป็นสิ่งภายนอก แต่ พระพุทธองค์ ทรงย้อนกลับมา ให้ดูที่ต้นเหตุ คือ กิเลสที่สะสมที่มีอยู่ในจิตใจ
ขณะที่กลัวภัยธรรมชาติ ก็เกิดภัยในใจแล้วโดยไม่รู้ตัว ขณะนี้กำลังมีภัย ไม่รู้ว่าเป็นภัย ในแต่ละขณะจิต ที่เป็นอกุศล ภัย คือ ความไม่รู้ จึงเป็นภัยที่น่ากลัว เพราะเป็นเหตุให้สัตว์โลก ไม่พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ครับ
และ ภัยที่น่ากลัว ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ไม่ใช่ภัย คือ ธรรมชาติและการพลัดพรากจากกัน แต่เป็นภัยที่น่ากลัวอีกนัยหนึ่ง คือ ภัย คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่เป็นชรา พยาธิ และมรณะ ซึ่งพระพุทธเจ้า ได้ทรงอนุเคราะห์ ให้อบรมปัญญาเพื่อละภัย ๓ อย่างนี้ ด้วยการเจริญอริยมรรค รู้ความจริงของสภาพธรรม ในขณะนี้ ว่าเป็น ธรรม ไม่ใช่เรา อันเป็นหนทาง ละกิเลส และภัยที่น่ากลัว คือ ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ครับ
เชิญคลิกอ่านภัยตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ครับ
ภยสูตร ... วันเสาร์ ๑๔ มี.ค. ๒๕๕๒
ประโยชน์ของการศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่การระวังตัว ที่จะหลีกหนีภัยธรรมชาติ เพราะเมื่อ เหตุ ปัจจัย พร้อม ก็สามารถได้รับทุกข์อย่างอื่นที่ไม่ใช่ภัยธรรมชาติก็ได้ หรือ ไปสู่นรก ที่เป็นสถานที่ที่ทรมานมากกว่าการเจอภัยธรรมชาติ แต่ประโยชน์ของ การได้ศึกษาพระธรรม คือ การรู้จักภัยในตนเอง เพราะการรู้จักภัย คือกิเลส รู้ตามความเป็นจริงด้วยปัญญา ย่อมสามารถละภัย คือ กิเลส ได้ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง จึงเป็นไป เพื่อละคลาย หน่ายจากกิเลส อันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง เป็นภัยที่แท้จริง ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตราบใดที่ยังมีกิเลส ย่อมมีการเกิดอยู่ร่ำไป สังสารวัฏฏ์ดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น การที่แต่ละบุคคลจะประสบกับภัย (ตามศัพท์ ภัย หมายถึงสิ่งที่น่ากลัว) ประการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้ น้ำท่วม แผ่นดินไหว เป็นต้น นั้น ก็สืบเนื่องมาจากความยาวนานของสังสารวัฏฏ์ที่ได้เคยกระทำอกุศลกรรมมาอย่างมากมาย เมื่ออกุศลกรรมถึงคราวที่จะให้ผล จึงประสบภัยต่างๆ เหล่านั้น ไม่มีใครทำให้เลย และที่สำคัญภัยต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่ภัยที่น่ากลัวอย่างแท้จริง แต่ภัยที่น่ากลัวอย่างยิ่งและมองไม่เห็นเลย นั้น คือ กิเลส ซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต ทำให้หมู่สัตว์ยังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ นอกจากนั้นยังหมายรวมถึงกิเลสประการอื่นๆ ด้วย เช่น อหิริกะ (ความไม่ละอายต่อบาป) อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่อบาป) อิสสา (ความริษยา เห็นคนอื่นได้ดีแล้ว ทนไม่ได้) มัจฉริยะ (ความตระหนี่) มายา (ความเป็นผู้มีมายา ปกปิดความชั่วที่ตนเองกระทำ) มักขะ (ความลบหลู่ผู้มีคุณความดี) เป็นต้น
กิเลสเกิดขึ้นครั้งใด ย่อมทำให้จิตเศร้าหมองเป็นอกุศล และเป็นเครื่องผูกมัดเหล่าสัตว์ไว้ไม่ให้ออกไปจากสังสารวัฏฏ์
ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ย่อมไม่เห็นกิเลสที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งไม่มีการเห็นโทษ แล้วจะดำเนินไปถึงการละกิเลสได้อย่างไร
ดังนั้น ประโยชน์สูงสุด คือ ความเข้าใจพระธรรม ซึ่งจะเป็นเครื่องป้องกันภัยคือกิเลส และสามารถที่จะดับกิเลสได้ในที่สุด ไม่ต้องมีการเกิดมาประสบกับภัยต่างๆ อีกเลย ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...