แบบนี้ จะมีโอกาส รู้มรรคผล ไหม

 
nasza
วันที่  17 ต.ค. 2555
หมายเลข  21908
อ่าน  1,268

ผมเป็นคนที่ชอบฟังธรรม และปฏิบัติธรรมเป็นประจำ สวดมนต์บ้าง เดินจงกรมบ้าง และอย่างอื่น แต่ทว่าในบางครั้ง มีโอกาสที่จะทำไม่ดี เช่น มีโอกาสมีความสัมพันธ์กับหญิงลึกซึ้งนานแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีโอกาส รู้มรรคผล ป่าว

ขอบพระคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 17 ต.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

หากเป็นเพศบรรพชิต มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้หญิง ต้องอาบัติปาราชิก ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในเพศบรรพชิต แต่ หากเป็นเพศคฤหัสถ์ หากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ซึ่งผู้หญิงที่ไม่ใช่ภรรยาของตน หรือ ผู้ปกครองไม่ได้ยกให้ ก็ถึงการล่วงศีล ข้อที่ ๓ ซึ่งการล่วงศีล ๕ ไม่ได้เป็นเครื่องกั้นของการบรรลุธรรม สำหรับเพศคฤหัสถ์ แต่เป็นเหตุ ให้ไปอบายภูมิได้ เมื่อกรรมนั้นให้ผล

ซึ่งในความเป็นจริง คงไม่ต้องคิดถึงไปไกลถึงการบรรลุมรรคผลในชาตินี้ เพราะ เป็นเรื่องที่ยากแสนยาก และไกลเกินความจริง ครับ ควรกลับมาที่ความเข้าใจถูกเบื้องต้น คือ การสะสมความเข้าใจพระธรรมไปทีละน้อย โดยเริ่มจากความเข้าใจถูกขั้นการฟัง ก็จะทำให้ ในอนาคตกาล อีกนับชาติไม่ได้ ถึงการบรรลุธรรม หากเหตุถูกต้อง ครับ

ดังนั้น แทนที่จะคิดถึง อดีตที่ผ่านมา ก็คิดถึงปัจจุบันนี้ ได้พบพระธรรมแล้ว ค่อยๆ สะสมปัญญา โดยการฟัง ศึกษาไปเรื่อยๆ การมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ด้วยความเข้าใจพระธรรม ประเสริฐที่สุด เพราะ ขณะนั้นไม่ได้กังวลว่าจะบรรลุ หรือบาป หรือไม่ เพราะกำลังเข้าใจพระธรรม ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nasza
วันที่ 17 ต.ค. 2555

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 18 ต.ค. 2555

กิเลสอย่างหยาบยังขัดเกลาไม่ได้

จะกล่าวไปไยถึงการบรรลุมรรคผล

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 18 ต.ค. 2555

นายเขมกะ ก่อนบรรลุก็ล่วงศีลแต่ได้สะสมปัญญามา เมื่อได้ฟังพระธรรมก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 205

๔. เรื่องบุตรเศรษฐีชื่อเขมกะ [๒๒๖]

ข้อความเบื้องต้น

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุตรเศรษฐี ชื่อเขมกะ ซึ่งเป็นหลานของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " จตฺตาริ านานิ " เป็นต้น.

เขมกะเป็นนักเลงเจ้าชู้ ถูกจับถึง ๓ ครั้ง

ดังได้สดับมา นายเขมกะนั้นเป็นผู้มีรูปสวย. โดยมากหญิงทั้งหลาย เห็นเขาแล้ว ถูกราคะครอบงำ ไม่สามารถจะดำรงอยู่ตามภาวะของตนได้. แม้เขาก็ได้เป็นผู้ยินดียิ่ง ในปรทารกรรม (กรรมคือการคบหาซึ่งภรรยาของผู้อื่น) เหมือนกัน.

ต่อมาในเวลากลางคืน พวกราชบุรุษ จับเขานำไปแสดงแด่พระราชา. พระราชามิได้ตรัสอะไรกะเขา ด้วยทรงดำริว่า " เราละอายต่อมหาเศรษฐี " แล้วรับสั่งให้ปล่อยไป. ฝ่ายนายเขมกะนั้นก็มิได้งดเว้นเลย. ต่อมา (อีก) พวกราชบุรุษก็จับเขาแล้วแสดงแด่พระราชาถึงครั้งที่ ๒ ที่ ๓. พระราชาก็รับสั่งให้ปล่อยเช่นเคย. มหาเศรษฐีทราบเรื่องนั้นแล้ว พาเขาไปสำนักพระศาสดา กราบทูลเรื่องนั้นแล้วทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมแก่นายเขมกะนี้ "

พระศาสดาทรงแสดงโทษแห่งปรทารกรรม

พระศาสดาตรัสสังเวคกถาแก่เขาแล้ว เมื่อจะทรงแสดงโทษในการเสพภรรยาของคนอื่น ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-

" นระผู้ประมาท ชอบเสพภรรยาของคนอื่น ย่อมถึงฐานะ ๔ อย่าง คือ:

การได้สิ่งที่มิใช่บุญ เป็นที่ ๑ การนอนไม่ได้ตามความปรารถนา เป็นที่ ๒ การนินทา เป็นที่ ๓ นรก เป็นที่ ๔. การได้สิ่งมิใช่บุญ อย่างหนึ่ง, คติลามกอย่างหนึ่ง, ความยินดีของบุรุษผู้กลัวกับด้วยหญิงผู้กลัว มีประมาณน้อยอย่างหนึ่ง, พระราชาย่อมลงอาชญาอันหนักอย่างหนึ่ง, เพราะฉะนั้น นระไม่ควรเสพภรรยาของคนอื่น "

ในกาลจบเทศนา นายเขมกะดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว.

ตั้งแต่นั้นมา มหาชนยังกาลให้ผ่านไปอย่างสบาย.

อีกเรื่อง นายพรานกุกกุฏมิตร เป็นนายพราน ฆ่าสัตว์เป็นประจำ เมื่อได้ฟังธรรมได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน

เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ

เรื่องนายพรานกุกกุฏมิตร [คาถาธรรมบท]

จะเห็นนะครับว่า สำหรับชีวิตของคฤหัสถ์ ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชน ก็ยังล่วงศีลได้เป็นธรรมดา แม้แต่พระโพธิสัตว์ก็ล่วงศีลได้ แม้ศีลข้อ ๓ ในพระชาติที่เป็นหาริตดาบส นี่แสดงถึง ความหนา ความหยาบของกิเลส แม้เป็นพระโพธิสัตว์ ก็ยังล่วงศีลได้เป็นธรรมดา

ส่วนสาวกของพระพุทธเจ้า เมื่อยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็ยังหนาด้วยกิเลส แต่ปัญญาที่สะสมอบรมมา ไม่ได้หายไปไหน เมื่อปัญญาถึงพร้อม ก็สามารถบรรลุธรรมได้ แม้ชาตินั้นจะเป็นผู้ที่ล่วงศีลก็ตาม เพราะ โทษของความเป็นปุถุชน ดังนั้น อกุศลธรรมที่เป็นเครื่องกั้น ต่อการบรรลุธรรมของเพศคฤหัสถ์ คือ อนันตริยกรรม ดังเช่น พระเจ้าอชาตศัตรูฆ่าบิดา เป็นต้น เพราะฉะนั้น ไม่หลงลืมว่า ไม่ว่าจะอบรมปัญญามามากเท่าใด แต่เมื่อยังเป็นปุถุชน ก็ยังเป็นผู้หยาบ หนาด้วยกิเลส เพราะเต็มไปด้วยอนุสัยที่มีครบ และเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ปุถุชนก็พร้อมล่วงศีลได้ทุกคน แต่ในทางกลับกัน เมื่อปัญญาถึงพร้อม ก็สามารถบรรลุธรรมได้

แม้ในอดีตเคยล่วงศีล แต่ ต้องพิจารณาว่า มีปัญญามากพอ หรือยัง ดังนั้น อกุศลมี การล่วงศีล เป็นต้น มี ข้อ ๓ ที่เป็นกิเลสหยาบ ไม่ได้เป็นเครื่องกั้นในการบรรลุธรรม ตามข้อความในพระไตรปิฎก ที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว ครับ

ดังนั้นการอบรมปัญญา ก็เป็นผู้ มีปกติเจริญสติปัฏฐาน แม้จะเห็นโทษของกิเลส ก็ยังเป็นธรรมดาที่ล่วงศีลได้ และไม่มีใคร สามารถบังคับไม่ให้ล่วงศีล เพราะเป็น ธรรมและเป็นอนัตตา ของปุถุชน แต่ การอบรมปัญญา ก็ค่อยๆ รู้ความจริงว่า ไม่พ้นจากธรรม และ ขณะที่รู้ความจริงในสภาพธรรม ที่มีในขณะนี้ ในขณะนั้น ก็มี ศีล ที่เป็น อธิศีล เพราะประกอบด้วยปัญญา และมี สมาธิ และ ปัญญา ในขณะนั้น เมื่อปัญญามากขึ้น ก็ขัดเกลากิเลสมากขึ้น เห็นโทษของการล่วงศีลมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ล่วงศีล เพราะยังเป็นปุถุชน แต่ก็สามารถอบรมปัญญา บรรลุธรรมได้ หากปัญญาถึงพร้อมจริงๆ ครับ ดังตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 18 ต.ค. 2555
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 21908 ความคิดเห็นที่ 3 โดย ไตรสรณคมน์

กิเลสอย่างหยาบยังขัดเกลาไม่ได้

จะกล่าวไปใยถึงการบรรลุมรรคผล

ไม่ได้บอกให้ "ละ" นะคะ

แต่เป็นสิ่งที่ควร "ขัดเกลา"

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นผู้ที่ศึกษาธรรมด้วยแล้ว

ไม่ควรประมาทอกุศล...แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันค่ะ

ไม่ทราบว่าทำไมถึงหวังไปไกลถึงมรรคผลนิพพาน?

สภาพธรรมใน "ขณะนี้" เข้าใจดีแล้วหรือยังค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 18 ต.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 5 ครับ

ก็เป็นอันเข้าใจตรงกันว่า กิเลสเป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี ควรขัดเกลา แต่ต้องเป็นปัญญา ไม่ใช่เราที่จะขัดเกลา ที่สำคัญ ปุถุชนทุกคนก็ยังล่วงศีล ๕ ได้ เมื่อเหตุปัจจัย พร้อมยังเกิดกิเลสหยาบได้เป็นธรรมดา และ

ผู้ที่แม้ล่วงศีล ๕ ก็ยังสามารถบรรลุธรรมได้หากเป็นผู้สะสมปัญญามา

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nasza
วันที่ 18 ต.ค. 2555

อนุโมครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nasza
วันที่ 18 ต.ค. 2555

กิเลสที่หยาบ ย่อมขัดเกลาด้วยการค่อยๆ สะสมปัญญาทีละเล็ก ทีละน้อย ให้เข้าถึงความจริงนั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
paderm
วันที่ 18 ต.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 8 ครับ

ถูกต้อง ครับ กิเลสที่หยาบก็ต้องขัดเกลาไปทีละน้อย เมื่อมีเหตุปัจจัยก็ย่อมเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา ซึ่งหนทางก็คือ การอบรมเจริญสติปัฐาน เมื่อถึงการบรรลุธรรม ย่อมไม่เกิดกิเลสหยาบ คือ การล่วงศีลในที่สุด

ขออนุโมทนาในความเห็นถูก ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
khampan.a
วันที่ 18 ต.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเข้าใจพระธรรม จะเป็นเครื่องเกื้อกูลที่ดี ให้มีความประพฤติที่ เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรยิ่งขึ้น จากที่มากไปด้วยอกุศล หรืออาจจะถึงขั้นล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ได้นั้น ก็จะสามารถเห็นโทษ เห็นภัย ตามความเป็นจริง แล้วขัดเกลา ละคลายกิเลสของตน ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง คล้อยตามความเข้าใจ ที่ค่อยๆ เจริญขึ้น แม้กระทั่งหนทางหรือปฏิปทา ที่จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริง ก็ไม่มีความเห็นที่คลาดเคลื่อน เพราะได้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้วว่า ไม่มีตัวตนที่ไปกระทำอะไร ที่ผิดปกติ จะกล่าวว่า มีชีวิตดำเนินไปตามปกติ แต่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็ได้ เพราะสิ่งที่มีจริง มีจริงในชีวิตประจำวัน การรู้สภาพธรรม ก็รู้สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งจะต้องมี พื้นฐานความเข้าใจ ในขั้นของการฟัง ในเรื่องของสิ่งที่มีจริง ซึ่งจะต้องตั้งต้น ที่การฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 18 ต.ค. 2555

คนที่ล่วงศีลห้า ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนก็ตาม ถ้าสะสมเหตุคือปัญญา และบารมีมาแล้วในอดีต ถ้าเหตุปัจจัยพร้อมก็สามารถบรรลุได้ ผู้ที่จะมีศีลห้าบริสุทธิ์คือพระอริยบุุคคล ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
songjea
วันที่ 19 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนากับผุ้ถาม ผู้ใคร่ต่อพระธรรม และผู้ตอบซึ่งกรุณาตอบอย่างละเอียดครับ

หากเริ่มสนใจในพระธรรมก็ถือว่าเป็นลาภอย่างมากแล้วครับ ขอให้เพียรศึกษาต่อไปครับ ล้ม ลุก คลุก คลาน ก็เป็นมามาก นับไม่ถ้วนแล้ว แต่นี่เรา เริ่มมีเชื้อแห่งธรรมแล้ว ขอให้เข้มแข็ง กล้าหาญ ตรง และมุ่งต่อ กุศลธรรมทุกประการ เท่าที่จะเป็นไปได้ครับ

เธอทั้งหลายย่อมเป็นผู้ปฏิบัติพลาด

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Nataya
วันที่ 24 พ.ค. 2563

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 24 พ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ