ประมวลธรรม...จากการสนทนาธรรมที่สถาบันบำราศนราดูร นนทบุรี

 
มศพ.
วันที่  19 ต.ค. 2555
หมายเลข  21929
อ่าน  3,258

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ

ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ

สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย


มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)

ประมวลธรรม

จากการสนทนาธรรม

ที่สถาบันบำราศนราดูร จ. นนทบุรี

วันพฤหัสบดี ที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๔

ชีวิตได้ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มศึกษาธรรมจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ก็ศึกษาไม่มีวันจบ แสดงให้เห็นว่าพระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ต้องศึกษาไปจนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์ แม้แต่การที่จะได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยากที่บุคคลใดจะเข้าถึงพระคุณ

แม้จะมีพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ แต่ถ้าผู้นั้นไม่เห็นคุณค่า ก็ไม่เป็นรัตนะสำหรับผู้นั้น

การที่จะรู้ว่าสิ่งใดเป็นรัตนะแท้จริง ก็เมื่อได้เข้าใจความเป็นรัตนะ ไม่ใช่เพียงกล่าวตามๆ ไปแต่ไม่เห็นความเป็นรัตนะเลย

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ธรรม ก็เพื่อที่จะให้บุคคลอื่นมีโอกาสได้เข้าใจธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ตั้งแต่หลังจากทรงตรัสรู้จนกระทั่งถึงใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน เป็นระยะเวลาถึง ๔๕ พรรษา ไม่มีใครที่จะอนุเคราะห์เกื้อกูลผู้อื่นได้เท่ากับพระองค์เลย

บุคคลผู้ที่ฟังพระธรรม ย่อมจะเห็นในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ที่ทำให้เรามีโอกาสได้ยินได้ฟังคำที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส อันเป็นวาจาสัจจะ เพื่อให้ผู้อื่นได้ฟังและเข้าใจ นำไปสู่ปัญญาความเข้าใจถูกต้อง จนกระทั่งสามารถเข้าใจสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้

เวลาที่ฟังสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับธรรม ประโยชน์คือเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง เมื่อได้ฟังและเข้าใจในสิ่งนั้น ย่อมเป็นประโยชน์

โอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงที่รวบรวมไว้เป็นพระไตรปิฎก เป็นโอกาสที่หายาก

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะได้ทรงตรัสรู้ ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลา ๔ อสงไขยแสนกัปป์ พระบารมีทั้งหมดก็เพื่อทรงเข้าใจในสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น แต่ละคนซึ่งเป็นผู้ศึกษาพระธรรมก็จะต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ไตร่ตรองสิ่งที่ได้ยินได้ฟังโดยละเอียด โดยลึกซึ้ง

จุดประสงค์ของการสนทนาธรรม ก็เพื่อเข้าใจความจริง เนื่องจากมีความจริง แต่เมื่อยังไม่เคยฟังพระธรรม ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ธรรมนั้น คืออะไร คิดไม่ออก จึงต้องเริ่มที่การฟังในขณะนี้

ฟังเรื่องที่มีจริง กับฟังเรื่องหลอกๆ ไม่จริง การฟังเรื่องจริง ย่อมเป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์ ซึ่งเป็นความจริงแท้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อันเป็นความจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้

ความจริง ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน ความจริงก็คือขณะนี้ ขณะนี้คือความจริง มีสภาพธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา

ขณะนี้เป็นความจริงที่สุด เมื่อวานนี้หมดไปแล้ว พรุ่งนี้ยังไม่มาถึง เมื่อเช้านี้ก็หมดไปแล้ว ตอนเย็นก็ยังไม่มาถึง ความจริงคือขณะนี้ ไม่มีอย่างอื่นจริงแท้แน่นอนกว่านี้ แล้วใครจะรู้ความจริงในขณะนี้ได้ ถ้าไม่ได้อาศัยการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

คนอื่นไม่สามารถจะให้ความจริงของธรรมในขณะนี้ได้เลย นักวิทยาศาสตร์หรือผู้ที่มีความรู้วิชาการต่างๆ สาขาต่างๆ ไม่ได้พูดถึงความจริงเดี๋ยวนี้ พูดถึงความจริงที่คิดขึ้น แต่ไม่สามารถกล่าวถึงความจริงในขณะนี้ได้เลย

อะไรจริงเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม ตอบไม่ได้เลย ถ้าจะบอกว่า เดี๋ยวนี้ กำลังเห็น จริงหรือเปล่า คำตอบคือ จริง เป็นธรรม

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงซึ่งคนอื่นไม่รู้เลย เหมือนกับว่าไม่มีอะไรในขณะที่กำลังเห็นเพราะไม่รู้ความจริง แต่ถ้ารู้ความจริงก็จะรู้ว่าความจริงไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย อยู่ที่เห็นนี้แหละ เป็นธรรมซึ่งเกิดแล้วดับไป

คำที่เราได้ยินบ่อยๆ คุ้นหู ยังไม่ลึกซึ้งจนกว่าจะได้ฟังความละเอียดยิ่งขึ้น คำที่ได้ยินก็จะมีความหมายที่ชัดเจนขึ้น

คำจริงหรือวาจาจริง จากการทรงตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือขณะนี้เอง เห็น เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครสามารถทำเห็นให้เกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีจักขุปสาทะ อย่างไรก็ไม่สามารถเห็นได้

เห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็เพียงเห็น แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย

วาจาจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัส ก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่กลับมากอีกเลย ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นอย่างนี้มาตลอด ไม่มีอะไรเลยซึ่งตั้งแต่เกิดแล้วยังคงอยู่ เห็นเมื่อวานนี้ก็หมดไปเมื่อวานนี้ เมื่อเช้านี้ก็หมดไปเมื่อเช้านี้

ไม่มีสมบัติอะไรในโลกที่คนนำติดตัวไปได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดๆ ก็ตามที่มีอยู่ ตั้งแต่บรรพบุรุษซึ่งได้ชื่อว่าครอบครองในสิ่งเหล่านั้น แต่ก็จากไปหมด ไม่มีใครเป็นเจ้าของในสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างแท้จริง

เกิดมาเห็น มีความไม่รู้ มีความติดข้องยินดีพอใจ มีสุข มีทุกข์ กระทำสุจริต ทุจริต แล้วก็จากโลกนี้ไป เหมือนโรงละครที่เปิดมาแสดงไปจนจบแล้วก็ออกจากเวทีไป

ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย สมบัติเห็นชัดๆ ว่าติดตามคนตายไปไม่ได้ แม้กระทั่งร่างกายตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าก็ไม่ใช่ของเรา ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมก็จะไม่รู้เลยว่า เป็นแต่เพียงธรรมแต่ละอย่างๆ เท่านั้น

รูปร่างกายของแต่ละคนแตกต่างกันไปเพราะกรรมเป็นปัจจัย กรรมหลากหลาย ผลของกรรมก็หลากหลายด้วย นี้คือพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

เข้าใจชีวิตตามความเป็นจริง แล้วจะได้รู้ว่า เมื่อมีความเข้าใจ ชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ติดข้อง ไม่เป็นทุกข์ ไม่เดือดร้อน เพราะรู้ว่าเพราะเหตุใดสิ่งนั้นจึงเกิดขึ้น แทนที่จะถามว่าทำไมถึงต้องเป็นเรา ก็ต้องเป็นเรา เพราะเราได้กระทำกรรมไว้ ในเมื่อเป็นกรรมที่เราได้กระทำไว้ ผลจะไปเกิดกับคนอื่นได้อย่างไร

การฟังธรรม มีประโยชน์มาก ทำให้ได้เข้าใจความจริง ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ใช่การเสียเวลา เวลาที่ยังเหลืออยู่นี้ ไปดูหนัง ฟังเพลง ย่อมไม่ได้ประโยชน์อะไรที่จะทำให้ได้เข้าใจความจริง แต่ถ้าได้ฟังพระธรรมตามปกติ ตามศรัทธา ตามกำลัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ย่อมดีกว่าไม่ได้ฟังและไม่เข้าใจเลย

แต่ก่อนอาจจะเคยเข้าใจว่า ธรรม หมายถึงเฉพาะธรรมที่ดีงามเท่านั้น แต่พอได้ฟังพระธรรมละเอียดยิ่งขึ้น ก็จะเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ไม่ใช่เฉพาะธรรมฝ่ายดีเท่านั้น ครอบคลุมถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด

ทุกคนชอบความตรง ตรงไปตรงมาตามเหตุตามผลตามความเป็นจริง การที่จะกล่าวว่า พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ตรงหรือยัง จริงหรือยัง ก็เริ่มจากเมื่อมีความพอใจที่จะรู้ความจริงและเป็นผู้ตรง ก็ต้องเป็นผู้ตรงว่า กล่าวคำนอบน้อมเคารพสักการะผู้ใด ต้องมีความเคารพจริงๆ ในบุคคลนั้น และจะเคารพได้จริงๆ ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรมและเป็นผู้เข้าใจในพระคุณ จึงจะสามารถเคารพนอบน้อมสักการะอย่างยิ่งในพระรัตนตรัย กล่าวคือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์สาวก ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ฟังธรรมมาแล้วและได้เข้าใจจริงๆ ในพระธรรมที่ได้ฟัง

การที่จะเป็นผู้ที่ตรง ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรมและพิจารณา ก็จะได้ตรงขึ้นว่า เมื่อนับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเคารพด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจ มิฉะนั้นจะไม่มีทางเลย เคารพบูชาด้วยจิตอะไร ด้วยความเคารพนอบน้อมในอะไร ถ้ายังไม่ได้ศึกษาก็ไม่รู้ว่าเคารพในอะไร เพียงแต่ได้ยินได้ฟังตั้งแต่เด็กว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ควรแก่การเคารพนอบน้อมอย่างสูงสุด เป็นผู้ที่หมดจดจากกิเลส ไม่มีใครเสมอเหมือนกับพระองค์ จะรู้ได้ก็ด้วยการศึกษา เริ่มต้นจนกระทั่งสามารถจะเข้าใจถึงพระคุณได้ แต่ถ้าไม่มีการฟัง การศึกษา เราก็ไม่ใช่ผู้ตรงตั้งแต่ต้น

การที่จะเข้าใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ต้องเริ่มจากความเป็นผู้ตรงและมีความมั่นคงที่จะฟัง ที่จะศึกษาเพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง

ความทุกข์ ความเดือดร้อน ไม่มีวันจบสิ้น ถ้าไม่ได้เข้าใจความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว ความจริง เป็นความจริงที่สุด (วาจาสัจจะ) จากการตรัสรู้ คือ สิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย เพียงชั่วคราวแล้วก็หมดไป ไม่กลับมาอีก ถ้าฟังแล้วไตร่ตรองก็จะเห็นว่าเป็นความจริง ก็ฟังต่อไปอีก จนกระทั่งมีความมั่นคงว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เป็นอย่างอื่น นอกจากธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น

ธรรมชาติ ก็คือ ความเป็นจริงของธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

เข้าใจธรรมด้วยภาษาของตนๆ ในภาษาบาลี ไม่มีคำว่า สิ่งที่มีจริง ไม่มีคำว่าความจริง แต่มีคำว่า ธมฺม และ ธมฺมชาติ ดังนั้น เมื่อเป็นคนไทย พูดถึงคำว่า ธมฺม หรือ ธมฺมชาติ ก็บอกว่า หมายถึงสิ่งที่มีจริง ในภาษาไทย ไม่ได้หมายถึงสิ่งอื่น เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ มีจริงๆ เช่น เห็นมีจริง ได้ยินมีจริง คิดมีจริง ชอบมีจริง ไม่ชอบ มีจริง เป็นต้น ระหว่างคำว่า ธมฺม ก็ดี ธมฺมชาติ ก็ดี ล้วนหมายถึงสิ่งที่มีจริงทั้งนั้น

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะได้ทรงตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงแล้วก็ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไรทั้งนั้น ความจริงเป็นความจริง เช่น เห็น เป็นสิ่งที่มีจริง ภาษาบาลีใช้คำว่า จกฺขุวิญฺญาณํ เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเห็น ในการศึกษาจะเป็นภาษาใดก็ตาม ก็เพื่อเข้าใจความจริง จากภาษาบาลีแปลเป็นภาษาในท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งคนในท้องถิ่นนั้นๆ สามารถเข้าใจได้ การสวดแล้วไม่เข้าใจ ไม่ใช่พุทธประสงค์อย่างแน่นอน

ต้องเป็นผู้ตรงจึงจะได้สาระจากพระธรรม การสนทนาธรรมเป็นมงคลอันอุดม เพราะทำให้เราได้เข้าใจ ถ้าไม่มีการสนทนาธรรมเลย เราก็รับฟังคำอะไรต่อๆ กันมาโดยที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจ แต่เมื่อใดที่เราต้องการที่จะเป็นคนตรงและเข้าใจว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้องหรือเปล่า เราก็จะเริ่มเข้าใจถูกต้องขึ้นได้ ไม่ใช่กระทำในสิ่งที่ผิดต่อไป

การได้ประสบกับสิ่งที่น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ ต้องมีเหตุ คือ กุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว ไม่ใช่เพราะสวดแล้วจะได้ในสิ่งที่น่าปรารถนา ไม่ใช่ว่าทุกคนสวดแล้วจะได้เงินล้าน เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อมีการนับถือในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณและพระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องรู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่จริง ไม่มีในคำสอนของพระองค์ ไม่ใช่วาจาสัจจะ เพราะไม่ประกอบด้วยเหตุด้วยผล พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงอย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้พระพุทธศาสนาจึงมีคำตอบสำหรับทุกคำถาม

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้พุทธบริษัทได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ที่จะสอนให้ไม่รู้นั้น ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าจะเป็นพระสูตรใด ส่วนใด ไม่ใช่สำหรับสวดหรือสำหรับท่อง แต่สำหรับศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบจริงๆ เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามที่พระองค์ทรงแสดง

สวดแล้วหวัง ท่องแล้วหวัง เพื่อที่จะได้ผลตอบแทนที่ดี นั่นไม่ตรงแล้ว เพราะหวังเป็นโลภะ เป็นเหตุที่ไม่ดี ในเมื่อเป็นเหตุที่ไม่ดี ก็ไม่สามารถนำผลที่ดีมาให้ได้เลย นี่คือความเป็นผู้ตรง ซึ่งจะต้องมีความเข้าใจด้วยว่า ระหว่างการสวดโดยที่ไม่เข้าใจกับการฟังพระธรรมแล้วก็เข้าใจ อย่างไหนจะเป็นประโยชน์กว่ากัน

การสาธยาย คือ การทบทวนสิ่งที่ได้ฟังให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ในครั้งพุทธกาล ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็สาธยาย แต่เพราะได้ฟังพระธรรมแล้ว ในครั้งนั้นกว่าจะได้ฟังพระธรรมนั้นยากลำบาก เดินทางไกลไปเข้าเฝ้าฟังพระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไกลแสนไกลเพื่อที่จะได้ฟัง เมื่อฟังเสร็จแล้วก็เดินทางกลับ ระหว่างนั้นก็มีการระลึกถึงพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เพื่อจะได้ไม่ลืม เวลาที่มีการระลึกถึงคำที่ได้ฟังบ่อยๆ เนืองๆ แล้วไตร่ตรองด้วยความเข้าใจ นี้คือการสาธยาย ซึ่งไม่ใช่การพูดคำที่ไม่รู้จัก

แม้แต่บทว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ก็จะมีความเข้าใจที่มั่นคงลึกซึ้งยิ่งขึ้นเมื่อได้ศึกษาและได้เข้าใจในพระคุณจริงๆ จึงต้องเป็นผู้ตรงว่าจะสวดโดยไม่เข้าใจ หรือจะศึกษาพระธรรมฟังพระธรรมจนกระทั่งให้เข้าใจแล้วระลึกถึงบ่อยๆ จะด้วยวาจาหรือตรึกตรองด้วยใจ ก็ได้

ขณะแรกที่เกิดนี้ ใครทำให้เกิด เจ้ากรรมที่ไหนมาทำให้เกิดเป็นอย่างนี้ นายเวรที่ไหนมาทำให้เกิดเป็นอย่างนี้ พูดถึงเจ้ากรรมนายเวร แล้วกรรมคืออะไร เวรคืออะไร ก็ยังไม่รู้ กล่าวได้เลยว่าตั้งแต่เกิดจนตายพูดคำที่ไม่รู้จัก หรือพูดคำที่ไม่รู้จริงๆ สักคำ ไม่รู้ไม่เข้าใจเลย

เจ้ากรรมนายเวร ไม่มี แต่กรรม มีจริง ผลของกรรม มีจริง และ เวร มีจริง

กรรม มีจริง เป็นเจตนาที่จงใจขวนขวายกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด กรรมมีทั้งกรรมที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรม ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง กุศลกรรมเป็นเหตุที่ดี สามารถทำให้เกิดผลที่ดีในภายหน้าได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นอกุศลกรรม เป็นกรรมเหตุที่ไม่ดีย่อมเป็นเหตุทำให้ผลที่ไม่ดีเกิดขึ้นในภายหน้า เหตุย่อมสมควรแก่ผล โดยไม่ปะปนกันเลยระหว่างกุศลกรรมกับอกุศลกรรม

บุคคลผู้ที่มีความมั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรม ท่านจะเป็นผู้ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม แต่มีความมั่นคงที่จะสะสมกุศลกรรมซึ่งเป็นความดีเพิ่มมากยิ่งขึ้น เพราะสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งในชีวิตจริงๆ คือกุศลกรรมที่ได้สะสมไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่

เมื่อกล่าวถึงคำอะไร ก็ต้องชัดเจนในคำนั้น ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ขาดไม่ได้เลย มิฉะนั้น เราก็เข้าใจว่าเป็นเรา เป็นเรื่องราวต่างๆ แต่ก็ไม่เข้าใจธรรม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงโดยละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวง แม้แต่คำว่า “กรรม” กรรมมีจริง กรรมคือการกระทำ แต่ต้องไม่ลืมว่ากรรมเป็นธรรม ต้องย้อนกลับมาหาความจริงว่า กรรมมีจริง เป็นธรรมที่เป็นนามธรรม เมื่อเป็นธรรมก็ไม่ใช่เรา คำตอบจะอยู่ที่ธรรม ถ้ามีความเข้าใจธรรมคือ เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป

ในคำสอนทางพระพุทธศาสนา มีคำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่ใช่คำพูดเปล่าๆ โดยเลื่อนลอย แต่ อนิจฺจํ คือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มี เกิดแล้วต้องดับไป ทนอยู่ต่อไปไม่ได้ ทุกฺขํ คือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามซึ่งเกิดมีแล้วหมดไปสิ้นไป สิ่งนั้นจะเป็นสุขได้อย่างไร เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดชั่วคราวแล้วก็ดับไป

อนตฺตา คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ของใคร เป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ที่หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคลไม่ได้

ทุกคนที่เกิดมานี้ มีแต่เกิด-ดับๆ เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง ถูกต้องกระทบสัมผัสบ้าง คิดนึกบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้างเท่านั้นเองจนกระทั่งถึงตาย ไม่มีอะไรที่เที่ยงที่ยั่งยืนเลย เพียงชั่วคราวแล้วก็ต้องหมดไป ไม่มีใครสักคนเดียวที่จะอยู่ในโลกนี้ค้ำฟ้าไปได้ ไม่ว่าจะเป็นภพใดก็ตาม เกิดแล้วดับตลอดเวลา แต่ความรวดเร็วทำให้ไม่รู้ความจริง จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงสามารถที่จะเริ่มฟังพระธรรมเริ่มเข้าใจบ้าง จนกว่าจะประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริง

กรรม ต้องเป็นสิ่งที่เกิดแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลย แต่เมื่อการกระทำ ที่เป็นกรรมมีแล้ว ผลของกรรมก็ย่อมมี จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ถ้าใครเป็นผู้ที่มีความมั่นคงในเรื่องกรรมก็จะมีความมั่นคงว่า เมื่อเหตุมี ผลก็ต้องมี ยกตัวอย่างเวลาที่รับประทานอาหาร ใครรับประทาน คนนั้นก็เป็นคนอิ่ม ดังนั้น ถ้าได้กระทำเหตุไปแล้ว ก็ต้องตัวเองเท่านั้นที่จะได้รับผล จะเอาผลนั้นไปให้เกิดกับคนอื่นก็ไม่ได้

ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงหลากหลายมาก ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมทั้งหมด เมื่อธรรมมากมายหลากหาย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงพระธรรมโดยนัยไหน ก็เพื่อให้ผู้ฟังผู้ศึกษาเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงได้ โดยประเภทใหญ่ๆ แล้ว มี ๒ ประการ คือ สภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ ซึ่งเป็นนามธรรม กับสภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่รู้อะไรเลย เป็นรูปธรรม ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะให้เป็นอย่างอื่นไปได้

ธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ใคร แต่เป็นสิ่งซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีสิ่งซึ่งใครจะสามารถดลบันดาลให้เกิดขึ้นได้ แต่สิ่งนั้นเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงได้ว่า ธรรม คือ ตั้งแต่เกิดจนตาย มีสภาพธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น มีความต่างกันเป็น ๒ ประเภท คือ ธรรมอย่างหนึ่งไม่สามารถรู้อะไรเลยทั้งสิ้น เป็นรูปธรรม ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ ซึ่งถ้าไม่มีธาตุรู้ รูปธรรมปรากฏไม่ได้เลย และอีกประเภทหนึ่ง เป็นสภาพรู้ จะเห็นได้ว่าในสัตว์ บุคคล ไม่ได้มีเฉพาะรูปธรรมเท่านั้น ยังมีธรรมอีกประเภทหนึ่งที่เป็นนามธรรม กล่าวคือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) และ เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิต ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็อาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิต)

เห็น กับ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น มีความต่างกัน เพราะเห็นเป็นนามธรรม เป็นธาตุรู้ สภาพรู้ ส่วนสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เป็นรูปธรรม เป็นสีหรือสิ่งที่ปรากฏทางตา

ปัญญา คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก ซึ่งเกิดจากการไตร่ตรองจากสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ถ้าได้ยินแล้วไม่เข้าใจ นั่นไม่ใช่ปัญญา แต่ว่าปัญญาจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อได้ยินได้ฟังแล้วไตร่ตรอง ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกต้องหรือไม่? จริงหรือไม่? แล้วความเข้าใจนั้น จึงจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ และรู้ว่าใครเป็นผู้กล่าววาจาสัจจะ ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง นั่นก็คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

การฟังพระธรรม ก็เพื่อที่จะได้รู้จักพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น ตรงกับที่เราเคยรู้ว่า เป็นผู้ที่มีพระคุณเหนือบุคคลอื่นใดในสากลจักรวาลทั้งหมดเลย

พระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ได้สะสมปัญญาจากการได้ฟังพระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ จนกระทั่งในที่สุดสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ จนถึงความเป็นพระอรหันต์ได้

ความจริงที่เริ่มฟังนี้ สามารถที่จะเข้าใจขึ้นจนกระทั่งรู้ความจริง และดับกิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์ มิฉะนั้น ก็จะเปล่าประโยชน์ในการที่เราจะกล่าวว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดับกิเลส ถ้าการดับกิเลสไม่มี ก็ไม่มีการเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมให้เข้าใจ ก็ไม่สามารถดับกิเลสได้เลย

ขณะใดก็ตามที่เริ่มเข้าใจธรรม นั่นก็เป็นมรรคแล้ว เป็นหนทางที่จะทำให้เข้าถึงความจริงที่กำลังมีในขณะนี้ซึ่งสามารถที่จะถึงได้ แต่ต้องอดทนอย่างมาก ขาดบารมีไม่ได้ บารมี คือ คุณความดีประการต่างๆ ที่จะทำให้อกุศลน้อยลง และสามารถที่จะดับทุกข์ได้ ไม่ต้องมีการเกิดดับสืบต่อของธรรมอีกต่อไป

ไม่มีใครไปเร่งรัดให้กรรมให้ผลได้ เพราะเรื่องของกรรม มีความละเอียดมาก กรรมให้ผลในชาตินี้ก็มี ให้ผลในชาติหน้าก็มี ชาตินี้ยังไม่ให้ผล ชาติหน้ายังไม่ให้ผล ยังมีชาติต่อๆ ไปที่จะให้ผลอีก แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงประชวร ก็เพราะว่ากรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีตให้ผลในชาติสุดท้ายที่ ทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานยังมีโอกาสที่กรรมจะให้ผล

ถ้ามีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เวลาที่กรรมให้ผล ก็สามารถรู้ได้ว่าไม่มีใครทำให้เลย ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรที่จะทำให้เลย นอกจากกรรมที่ตนเองได้กระทำไว้แล้วเท่านั้น ถ้ามีความมั่นคงในเรื่องกรรมเพิ่มมากยิ่งขึ้น ก็จะไม่กระทำอกุศลกรรม

ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา คำว่าอนัตตานี้ ครอบคลุมพระธรรมทั้งหมด มีความหมายว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เช่น ความโกรธ เป็นธรรมที่มีจริง เมื่อได้เหตุ ได้ปัจจัย ความโกรธก็เกิดขึ้น แสดงให้เห็นถึงความเป็นอนัตตาของธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ

ชีวิตประจำวัน มีโกรธ แสดงว่าโกรธมีจริง เป็นธรรม นี่คือความมั่นคง โกรธ ไม่ใช่เรา โกรธ ไม่เป็นเรา แต่โกรธเป็นธรรม ซึ่งเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย หลายคนไม่อยากโกรธ แสวงหาหนทางที่จะไม่โกรธ แต่ก็ยังโกรธ เพราะว่าความโกรธไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับความเข้าใจถูกต้องว่า เป็นธรรม

ถ้ามีความเข้าใจว่าเป็นธรรมจริงๆ โกรธเกิดแล้ว โกรธก็ดับไป ไม่มีใครโกรธอยู่ตลอดเวลา เพราะเห็นไม่ใช่โกรธ ได้ยินไม่ใช่โกรธ และธรรมมีมากมายไม่สามารถที่จะนับได้ แต่ละหนึ่งเกิดแล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีกเลย ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ปัญญาก็สามารถที่จะเข้าใจถูกตามความเป็นจริงได้

ธรรมใดที่ไม่ดี ไม่ควรมีมากๆ เช่น ความโกรธ ความพยาบาท ความเบียดเบียน ไม่ดีเลย แต่ถ้าสามารถรู้ว่าอะไรเป็นเป็นปัจจัยให้ไม่เกิดความโกรธ เราก็สามารถที่จะมีปัญญาให้เห็นถูก เริ่มเห็นตามความเป็นจริงว่า ชีวิตนี้จะมีความสุข โดยปราศจากธรรมฝ่ายไม่ดี เพราะอาศัยความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้ามีความเข้าใจถูกเห็นถูก ว่า กุศลเป็นสิ่งที่ดี อกุศลเป็นสิ่งที่ไม่ดี ตั้งแต่เริ่มเกิดปัญญาก็สามารถจะรู้ได้ว่าควรจะเป็นอย่างไรเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ถ้ามีกุศลมาก ทุกข์ย่อมน้อยลง แต่ถ้ามีอกุศลมาก ทุกข์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

ธรรมมีทั้งฝ่ายที่เป็นกุศลธรรม และฝ่ายอกุศลธรรม แล้วก็เริ่มเห็นโทษของอกุศลธรรม ปัญญาที่เห็นโทษก็จะทำให้ค่อยๆ เว้นจากอกุศลธรรมแล้วเจริญกุศลธรรมเพิ่มขึ้น

ขณะที่ฟังพระธรรมเข้าใจ เป็นปัญญา ปัญญาคือความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริง

สัตว์โลกมีกรรมเป็นของของตน จักกระทำกรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ก็จักเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้น

ถ้ากลัวทุกข์อันเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ไม่ควรที่จะกระทำอกุศลกรรมทั้งในที่แจ้ง และในที่ลับ

เวร หมายถึง สิ่งที่ไม่ดี ไม่งาม ไม่มีใครชอบ เป็นอกุศลธรรม เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เป็นต้น นำมาซึ่งภัยประการต่างๆ ไม่มีใครนำมาให้เลย เหตุมี ผลก็ต้องมี เพราะฉะนั้นก็ใช้คำคู่กันว่า เวรภัย แต่เวรหมายถึงอกุศลธรรม ภัยคือผลของอกุศลกรรม สิ่งที่เป็นเหตุก็นำมาซึ่งผล

ทุกคนมีกรรมมาก ทั้งชาตินี้และชาติก่อนๆ แต่กรรมไหนจะให้ผลวันไหน ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ แล้วก็ไม่คิดด้วยว่าเป็นผลของกรรม จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม

การเกิดเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลกรรม ขณะเกิดเป็นผลของกุศลกรรม เป็นธรรม ซึ่งจะต้องย้อนกลับไปที่เป็นธรรม การรับผลของกรรมต้องเป็นธาตุรู้คือเป็นนามธาตุ และกรรมก็สามารถจะทำให้ผลเกิดขึ้น ศึกษาธรรมต้องไตร่ตรองให้เข้าใจสิ่งที่ได้ฟังให้ชัดเจน ไม่ใช่ฟังแล้วผ่านไป

ขณะที่เข้าใจ เป็นกุศล ถ้าไม่เข้าใจ ก็เป็นอกุศล แต่ถ้าเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ที่เป็นรูปธรรม นั้น ไม่สามารถเป็นกุศลและไม่สามารถเป็นอกุศลได้ ดังนั้น กุศลกับอกุศล ต้องเป็นนามธรรมเท่านั้น กล่าวคือเป็นจิตและเจตสิกซึ่งเกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน

ชีวิตทุกขณะเป็นธรรมทั้งหมด ยิ่งฟังก็ยิ่งเข้าใจว่าอะไรบ้างที่เป็นธรรม แต่ต้องค่อยๆ เริ่มเข้าใจ ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็จะไม่ใช่เพียงแค่กล่าวถึงคำ เช่น คำว่า กรรมและผลของกรรม แต่ยังต้องรู้ความจริงว่า กรรมเป็นอะไร ผลของกรรมเป็นอะไร แม้แต่เห็นขณะนี้ เป็นผลของกรรม เกิดแล้ว เพราะเหตุปัจจัยจริงๆ เลือกไม่ได้

ผลของกุศลกรรมทำให้เกิดเป็นมนุษย์ แต่ผลของอกุศลกรรมทำให้เกิดในอบายภูมิ เริ่มเข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลของธรรม เพื่อที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ธรรมไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ แต่ว่าธรรมซึ่งเป็นเหตุ มี ก็ต้องทำให้เกิดผล ถ้าเป็นเหตุที่ดีคือเป็นกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดผลที่ดีคือกุศลวิบาก ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นเหตุที่ไม่ดีเป็นอกุศลกรรม ก็ทำให้อกุศลวิบากเกิดขึ้น

แม้แต่เกิดขณะแรก ก็ยังต้องเป็นไปตามกรรม และในขณะที่ยังไม่สิ้นชีวิต ได้รับผลที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ก็เป็นไปตามกรรมอีกเหมือนกัน ไม่มีใครทำให้เลย นอกจากกรรมที่ได้กระทำแล้ว เป็นเหตุที่จะทำให้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ถ้าเป็นฝ่ายไม่ดีก็เป็นผลของอกุศลกรรม ถ้าเป็นฝ่ายที่ดีก็เป็นผลของกุศลกรรม จึงไม่มีเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้ผลเกิดขึ้น นอกจากกรรมที่ตนเองได้กระทำแล้วในอดีตเป็นปัจจัย

ชีวิตมี ๒ ส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนที่เป็นผลของกรรม ได้รับผลของกรรมในชีวิตประจำวัน และ ส่วนที่เป็นการสะสมเหตุที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ต่อไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ก็เท่านี้เอง ชาติหนึ่งๆ พอที่จะรู้จักตัวเองบ้างไหมว่ามีกุศลกรรมมาก หรือผลของกุศลกรรมมาก หรือมีผลของอกุศลกรรมมาก หรือว่าเกิดมาแล้วมีผลของอกุศลกรรมมาก แต่ก็ยังเป็นกุศลมากได้ ทั้งๆ ที่เป็นผลของอกุศลกรรม แต่จิตใจดี ไม่หวั่นไหว เข้าใจถูก ไม่โทษใคร เพราะเป็นกรรมของตนเอง นี้ก็จะทำให้แม้ได้รับอกุศลวิบาก คือ ผลของอกุศลกรรม แต่กุศลก็ยังสามารถที่จะเกิดได้ นี้คือประโยชน์ของการฟังและเข้าใจพระธรรม

การฟังพระธรรมมีประโยชน์มากมายมหาศาล การฟังเป็นความดี เป็นเหตุให้การฟังเจริญ เมื่อมีการฟังครั้งหนึ่งแล้ว ผู้ที่เห็นประโยชน์จะไม่หยุดอยู่แค่นี้ ก็จะมีความอดทน มีความเพียรที่จะฟังที่จะศึกษาต่อไป อันเป็นโอกาสที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิต ผู้ที่สะสมเหตุที่ดี มีศรัทธา เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจพระธรรมมาแล้ว จึงมีโอกาสได้ฟังได้ศึกษา ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ฟัง

ไม่มีใครไปแก้กรรมหรือไปตัดกรรมได้ อกุศลกรรมที่กระทำสำเร็จแล้ว ไม่สามารถไปตัดหรือไปแก้ได้ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ย่อมเป็นเหตุให้ผลเกิดขึ้นได้ แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงประชวร ท่านพระสารีบุตรยังป่วยหนัก ท่านพระมหาโมคคัลลานะยังถูกโจรทุบตีทำร้าย เป็นต้น นี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว เมื่อเหตุมี ผลก็ต้องมี ทางที่ดีที่สุดคือ สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ตั้งต้นใหม่ด้วยกุศลธรรม ถอยกลับจากอกุศลธรรม ไม่กระทำอกุศลกรรมนั้นๆ อีกเพราะเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์เดือดร้อนมากมาย แต่ถ้าเป็นกรรมดี ที่เป็นกุศลกรรมแล้ว ไม่ต้องไปแก้ ไม่ต้องไปตัด มีแต่ควรจะสะสมให้มีมากขึ้น เจริญยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่จะเป็นเหตุนำมาซึ่งผลที่ดีในภายหน้า จนกว่าจะมีการอบรมเจริญปัญญาจนสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น สูงสุดถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีก เป็นผู้สิ้นทั้งกรรมและผลของกรรมอย่างสิ้นเชิง

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบเหมือนกับนายแพทย์ผู้ฉลาด เพราะสามารถกำจัดพยาธิคือกิเลสได้ พระธรรมเปรียบเหมือนโอสถยาที่ปรุงถูกต้องแล้ว พระอริยสงฆ์เปรียบเหมือนบุคคลผู้ที่หายจากโรค เพราะการใช้ยา

แพทย์พยาบาล สามารถที่จะรักษาช่วยคนป่วยให้หายจากโรคทางกายได้ แต่โรคทางใจคือกิเลส แพทย์พยาบาลที่ไหนก็รักษาไม่ได้ เพราะยังมีกิเลส ถึงแม้จะไม่มีโรคกาย แต่ใจก็เป็นทุกข์เดือดร้อนได้ แม้กระทั่งผู้ที่เป็นแพทย์พยาบาล เพราะฉะนั้น ก็จะต้องเป็นแพทย์ผู้ฉลาดที่สุดในโลก คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะสามารถรักษาโรคกิเลสของสัตว์โลกได้ทุกโรค มีโรคโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ด้วยธรรมโอสถ คือ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง

โรคใจคือกิเลสนี้ เป็นโรคที่มองไม่เห็น ทรงแสดงว่า ทุกวันๆ นี้ที่มีความไม่รู้ความจริงเป็นเหตุให้มีความติดข้องต้องการ เมื่อได้มาแล้วก็ต้องการที่จะรักษาด้วยความห่วงใย ถ้าไม่ได้ก็เป็นทุกข์เดือดร้อนขวนขวายต่อไปอีกอย่างไม่รู้จบ เปรียบเหมือนลูกศรที่เสียบอยู่ในใจโดยไม่รู้ตัวเลย ไม่รู้ตัวเลยเพราะชินกับความต้องการ พอได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็เพลิดเพลิน พอสูญเสียไปก็เศร้าโศก เป็นทุกข์เพราะโรคใจคือกิเลส

เจตนาเป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง แต่เจตนานี้เป็นกุศลเจตนาบ้าง อกุศลเจตนาบ้าง เช่น คิดที่จะช่วยเหลือใคร ขณะนั้นเป็นกุศลเจตนา ถ้ามีความเข้าใจธรรม กุศลเกิดได้มาก และถ้ามีความเข้าใจมาก กุศลก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น เป็นผู้เห็นประโยชน์ของกุศล มีโอกาสที่จะทำดี ก็ทำเลย เป็นการเพิ่มพูนกุศลยิ่งขึ้นในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าไม่เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะเป็นเหตุให้สะสมอกุศลมากยิ่งขึ้น สะสมกิเลสที่เป็นโรคใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น

เพราะยังมีอกุศลกรรมจึงทำให้เกิดเดือดร้อนไม่จบ ตั้งแต่เกิด เกิดมาก็ต้องรักษาโรคตั้งแต่เด็กแล้ว รักษากันทุกวัยจนกระทั่งถึงชรา รักษาไม่มีวันจบสิ้น แต่ถ้ารู้จักโรคใจด้วย พอที่จะทำให้โรคใจนั้นบรรเทาเบาบางลงได้ จนกระทั่งในที่สุดก็หมดโรคใจ ไม่ต้องเกิดมีกายที่จะรักษาอีก ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น

โรคมี ๒ อย่าง คือ โรคทางกายกับโรคทางใจ โรคทางกาย เสียดแทงกายให้เจ็บปวดเดือดร้อนทรมาน โรคใจคือกิเลส ก็เสียดแทงจิตใจให้เร่าร้อน นอกจากกิเลสจะเป็นโรคทางใจแล้ว ยังเป็นดุจลูกศรอีก เพราะลูกศรเมื่อเสียบไปแล้วทำให้เกิดความเดือดร้อน ถอนออกได้ยาก นอกจากนั้นยังเปรียบเสมือนลูกศรอาบยาพิษอีกด้วย เป็นสภาพธรรมที่หยาบคายร้ายแรง จะต้องละ ไม่ควรเก็บเอาไว้ นี้เป็นความไพเราะของพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเครื่องเตือนสำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่อย่างแท้จริง บุคคลผู้ที่ไม่มีโรคทางใจคือกิเลสเลยนั้นคือพระอรหันต์ แต่เมื่อใดก็ตามที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ยังมีโรคทางใจคือกิเลสอยู่ กิเลสที่มีอยู่นี้จะลดละคลายได้ ก็ต่อเมื่อมีปัญญา

เมื่อศึกษาพระธรรมแล้วก็จะเข้าใจได้ว่า โรคอะไรน่ากลัวที่สุด ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็อาจจะบอกว่าโรคมะเร็งบ้าง โรคใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นบ้าง เป็นต้น แต่โรคเหล่านี้ก็ยังพอมียารักษาได้ บางคนถึงกับหายขาดเป็นปกติก็มี แต่โรคทางใจนี้จะได้ยาจากที่ไหนในการรักษา ซึ่งตอนนี้ก็รู้แหล่งที่มาแล้วว่า จะหาได้จากที่ไหน คือจากพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ถ้าหาแหล่งที่มาไม่พบ ก็ไม่สามารถที่จะรักษาโรคทางใจได้

เทศน์มหาชาติ ตามความเป็นจริงแล้ว คือ การแสดงถึงพระชาติใหญ่ๆ ของพระโพธิสัตว์ เมื่อครั้งที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะได้ทรงตรัสรู้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เฉพาะเวสสันดรชาดกเท่านั้น ยังมีพระชาติที่เป็นวิธูรบัณฑิต สุวรรณสาม เป็นต้น การแสดงพระธรรม ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ใช่เฉพาะเวสสันดรชาดกเท่านั้นที่ควรแสดง ชาดกอื่นๆ รวมไปถึงพระธรรมส่วนอื่นๆ ก็ควรนำมาแสดงด้วย จุดประสงค์ก็เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกของผู้ที่ได้ฟังเป็นสำคัญ ไม่ใช่เพื่อลาภสักการะสรรเสริญ ถ้ามีการใส่ทำนองหรือเทศน์แบบแหล่ นั้น ไม่ถูกต้อง ผิดพระวินัยสำหรับพระภิกษุด้วย เพราะการกล่าวด้วยเสียงธรรมดาย่อมจะฟังง่ายกว่าการใส่ทำนอง

เหตุที่ทรงแสดงชาดก ควรที่จะได้พิจารณาว่า แต่ละคนก็มีการเกิดแล้วเกิดอีก แต่ละชาติเลือกไม่ได้เลย แล้วแต่เหตุปัจจัย จากผู้ไม่รู้สู่ความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระชาติต่างๆ จะมากมายสักแค่ไหน แต่ละพระชาติก็เปลี่ยนไป ตามเหตุปัจจัย บางพระชาติเป็นพระเจ้าแผ่นดิน บางพระชาติเป็นคนยากจนเข็ญใจ แต่ทั้งหมดก็คือสามารถที่จะบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะรู้ความจริง และแสดงให้เห็นความต่างกันอย่างเทียบไม่ได้เลยระหว่างผู้ที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ละคนเกิดมา มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก แต่มีใครบ้างที่คิดจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เห็นก็เห็นไป ชอบ ไม่ชอบ แล้วก็จากโลกนี้ไป แต่พระโพธิสัตว์รู้ว่าสิ่งนี้เป็นความจริง และความจริงนี้คืออะไร และเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และสิ้นสุดอย่างไร เช่น เห็นนี้ไม่ได้เห็นตลอด เดี๋ยวก็คิด เดี๋ยวก็ได้ยิน เพราะฉะนั้น ความจริงของสิ่งนี้คืออะไร และสิ่งนี้ต้องเกิด ถ้าไม่เกิดจะมีได้อย่างไร นี่คือ ความต่างกันของการเริ่มบำเพ็ญพระบารมี

ในแต่ละพระชาติที่พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญพระบารมีนั้น ก็จะเห็นถึงความที่เหนือบุคคลอื่น แม้แต่ความคิด เช่น คนอื่นอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ แต่สำหรับพระชาติที่เป็นพระโพธิสัตว์มีความดำริว่า ถ้าจะได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้ทรัพย์สินเงินทองต่างๆ เพื่อจะติดข้องในสิ่งนั้น ก็ขออย่าให้ได้สิ่งนั้นเลย มีใครคิดได้อย่างนี้บ้าง

ความตั้งมั่นของพระโพธิสัตว์ในการสะสมบารมีประการต่างๆ เพื่อที่จะสละกิเลส คือ ความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏซึ่งเกิดดับอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่มีใครที่จะสามารถรู้ความจริงนี้ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะปัญญาที่เห็นอย่างถูกต้อง

กว่าจะเป็นผู้ที่มีความมั่นคงจริงๆ ในการสละอกุศลทั้งหลาย ที่จะรู้ความจริงนี้ ๔ อสงไขยแสนกัปป์สำหรับพระโพธิสัตว์ที่ยิ่งด้วยปัญญา ถ้ายิ่งด้วยศรัทธาก็ ๘ อสงไขยแสนกัปป์ ถ้ายิ่งด้วยวิริยะ ก็ ๑๖ อสงไขยแสนกัปป์

พระธรรมแต่ละคำที่แต่ละคนได้ยินได้ฟังนี้ มาจากการบำเพ็ญพระบารมี นานแสนนานของผู้ที่จะได้ทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำ คือพระมหากรุณาคุณ ตั้งแต่ครั้งทรงบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ จนกระทั่งได้ทรงตรัสรู้ มีค่ามากสำหรับที่จะทำให้คนอื่นได้มีความเข้าใจจริงๆ ในเรื่องของกรรม ในการเห็นโทษของอกุศล ในเรื่องของการละชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม และชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจากอกุศล ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระองค์ ก็จะไม่ได้ยินแม้แต่คำว่า “ธรรม”

สิ่งที่มีจริงเป็น ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย มีแต่ธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่สามารถที่จะรู้ได้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เมื่อได้ฟังแล้วก็ค่อยๆ รู้ขึ้น เข้าใจขึ้นจนกระทั่งถึงการดับกิเลสได้ นี้เป็นพระคุณอย่างยิ่งของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อสัตว์โลก

การเคารพบูชาสักการะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างสูงสุด ก็คือ ตั้งใจฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบ เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกขัดเกลากิเลสของตนเอง ถ้าหากไม่มีความเข้าใจพระธรรมเลย ก็ไม่สามารถเห็นพระคุณของพระองค์ได้ ทั้งพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาคุณ แต่สำหรับผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบในการฟังในการศึกษาพระธรรม เห็นคุณค่าของพระธรรมที่มาจากการตรัสรู้ของพระองค์ สะสมความเข้าใจถูกยิ่งขึ้น ก็จะสามารถเห็นพระคุณของพระองค์ตามกำลังปัญญาของแต่ละบุคคล

กาลสมัยที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้นในโลก โลกมืดสนิทด้วยความไม่รู้ ถึงแม้จะมีธรรมเกิดขึ้นเป็นไป แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจความเป็นธรรมได้เพราะไม่มีผู้มาแสดงความจริง ให้ได้เข้าใจ แต่เมื่อใดที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เมื่อนั้น โลกก็จะค่อยๆ สว่างขึ้น ด้วยพระมหากรุณาของพระองค์ ที่ทรงประกาศพระธรรมคำสอนให้สัตว์โลกได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จากที่มืดด้วยอวิชชา ก็ค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงยิ่งขึ้นว่า เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป จึงไม่มีทางอื่น ที่จะทำให้ความเข้าใจเจริญขึ้น นอกจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบจริงๆ

ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด จะต้องค่อยๆ ศึกษา พิจารณา จะรักษากุศล หรือจะเข้าใจกุศล? ต้องเข้าใจว่ากุศลธรรมเป็นธรรม ไม่เป็นของใคร เมื่อมีเหตุปัจจัยให้กุศลเกิด กุศลก็เกิด และเมื่อมีเหตุปัจจัยให้อกุศลเกิด อกุศลก็เกิด ไม่มีใครยับยั้งได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยของกุศล จะรักษาจริงๆ ด้วยปัญญาคือ มีความเห็นที่ถูกต้อง มิฉะนั้นก็จะเป็นตัวเรา เป็นกุศลของเรา ไม่ได้เข้าใจเลยว่า เป็นธรรม

อกุศลทั้งหมดเกิดมาจากความไม่รู้ ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ จะหมดอกุศลธรรมไม่ได้เลย เพราะไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมชั่วคราวที่สั้นแสนสั้น เห็นนิดเดียว ดับหมดแล้ว เป็นได้ยินแล้ว จากได้ยินก็เป็นคิดนึกแล้ว สั้นแสนสั้น ถ้าเราสามารถที่จะรู้ความจริงว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่เป็นของใคร เกิดขึ้นเป็นธรรมชนิดนั้น แล้วก็ดับไป ไม่เหลือเลย ไม่กลับมาอีกเลย ก็จะทำให้เราสามารถเพิ่มความเห็นที่ถูกต้องยิ่งขึ้นได้

กุศลธรรม เป็นธรรมที่มีจริง ขณะที่กุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็นธรรมฝ่ายดี ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ซึ่งจะตรงกันข้ามกับขณะที่เป็นอกุศลอย่างสิ้นเชิง

อกุศลธรรม เป็นโทษเป็นภัย นำมาซึ่งสิ่งที่ไม่ดีมากมาย แต่ถ้าเป็นกุศลธรรมแล้ว นำมาซึ่งความสุขโดยส่วนเดียว การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม เป็นโอกาสที่ดี ที่จะเป็น เหตุปัจจัย ให้กุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้นในชีวิตประจำวัน จากที่มากไปด้วยอกุศลประการต่างๆ ก็จะค่อยๆ เป็นกุศลมากยิ่งขึ้น ตามระดับขั้นของความเข้าใจ

การได้ฟังพระธรรม ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุปัจจัย ถ้าไม่ได้มีบุญที่กระทำไว้แล้วในชาติปางก่อน จะไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเลย และถ้าไม่ได้สะสมศรัทธา และความเห็นที่ถูกต้องว่า ฟังเพื่อเข้าใจความจริง คนนั้นก็จะได้ยินได้ฟัง แล้วก็ผ่านไป ไม่ได้คิดเลยว่า สิ่งที่กำลังได้ฟังนั้น เป็นความจริงซึ่งใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย

กว่าที่จะรู้ความจริงว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของใคร ก็จะต้องอาศัยการฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งสภาพธรรมปรากฏจริงๆ ว่า ชั่วคราว คือ เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ไม่ได้ตั้งอยู่ยั่งยืนเลย

ไม่มีเรา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า มีแต่ ธรรม แต่ละอย่างๆ ที่ เกิดขึ้น เป็นไป เท่านั้น แต่เพราะไม่รู้ความจริงว่าเป็นธรรม เมื่อรวมกัน ก็เป็นร่างกายของเรา เป็นตาของเรา เป็นผมของเรา เป็นแขนของเรา พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวง เพื่อให้มีความเข้าใจถูก เห็นถูก ตั้งแต่ในขั้นการฟัง

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจถูก เห็นถูกเป็นปัญญาของตนเองจริงๆ ในสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะขณะนี้กำลังพูดถึงเรื่องความจริง คือ เห็นมีจริง ได้ยินมีจริง สีมีจริง เสียงมีจริง แข็งมีจริง เป็นต้น แต่ เป็นแต่ละหนึ่ง รวมกันไม่ได้ เสียงจะเป็นแข็งไม่ได้ เสียงย่อมเป็นเสียง แข็งย่อมเป็นแข็ง

ธรรมแต่ละหนึ่งละเอียดอย่างยิ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีกเลย แล้วก็ยังมีการยึดถือสภาพธรรมด้วยความไม่รู้ ว่าเป็นเรา จนกว่าจะได้ฟัง และรู้ว่า นี่คือ พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ซึ่งจะต้องอาศัยศรัทธาที่มั่นคง ที่เห็นประโยชน์ และรู้ได้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้น เป็นความจริงแท้ ซึ่งใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ได้

สภาพธรรมนี้สั้นมาก ชั่วคราว อย่างเปรียบเทียบไม่ได้เลยว่าเร็วแค่ไหน เพราะว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ว่าต่อกัน จนกระทั่งไม่ปรากฏว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดดับไปเลย เพราะการสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเป็นความจริง สามารถที่จะฟัง และเข้าใจได้ สามารถค่อยๆ ละความไม่รู้ จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์ความจริง ซึ่งขณะนี้กำลังเกิดดับ ได้ นั่นคือ ปฏิปัตติ (ปฏิ แปลว่า เฉพาะ, ปัตติ แปลว่าถึง) ฟังเรื่องธรรมเกิดดับ ยังไม่ถึงลักษณะของสภาพธรรมทีละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปนั้น ยังไม่ชื่อว่า ปฏิปัตติ

ในภาษาไทยคำว่าปฏิบัติ หมายถึง ทำ คนที่ไม่ได้ศึกษาก็คิดเอาเองว่า ถ้าไม่ไปทำก็ไม่ใช่ปฏิบัติ แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ธรรมต้องมีการฟังจนกระทั่งเป็นความเข้าใจก่อน จึงจะเป็น เหตุปัจจัย ให้สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ทีละหนึ่ง ซึ่งกำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งเป็นปฏิปัตติ ได้ถึงเฉพาะแต่ละลักษณะจริงๆ ซึ่งกำลังเกิดดับจริงๆ เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ก็เพื่อเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น.

ขอเชิญคลิกอ่านประมวลธรรม ย้อนหลังได้ที่นี่

ประมวลธรรม ... สนทนาธรรมพื้นฐานพระอภิธรรม ๒๗ พ.ค. ๒๕๕๕

ประมวลธรรม ... สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ๙ พ.ค. ๒๕๕๕

ประมวลธรรม ...จากการสนทนาธรรมที่บ้านคุณเกรียงศักดิ์ ๒๗ ม.ค. ๒๕๕๕

...ขอความเจริญมั่นคงในกุศลธรรมจงมีแด่ทุกท่าน...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
peem
วันที่ 20 ต.ค. 2555
กราบอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
rrebs10576
วันที่ 22 ต.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
fam
วันที่ 23 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ประสาน
วันที่ 25 ต.ค. 2555

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Nareopak
วันที่ 28 ต.ค. 2555

รู้สึกซาบซึ้งในกุศลจิตของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคุณย่าสงวน สุจริตกุลเป็นอย่างยิ่ง ที่ท่านให้เกียรติ กับทางสถาบันบำราศนราดูร อีกทั้งท่านยังมีเมตตาต่อดิฉันมาก

ขออนุโมทนากับอาจารย์คำปั่น อักษรวิไล ตลอดจนทุกทุกท่านที่ทำให้ผลงานดีๆ เช่นนี้ออกมาเผยแพร่สู่สาธารณะ เพื่อสืบสานพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้คงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nong
วันที่ 29 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kullawat
วันที่ 31 ต.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 1 พ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pamali
วันที่ 13 พ.ย. 2555
กราบอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chamriang
วันที่ 6 ธ.ค. 2555

รู้สึกว่ากรรมดีที่ได้สร้างไว้คงกำลังส่งผล จึงทำให้ได้อ่านข้ออรรถ ข้อธรรม ที่มีคุณค่าอันสูงสุด

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
kullawat
วันที่ 21 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
kullawat
วันที่ 21 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
kullawat
วันที่ 11 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 21 พ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
Nataya
วันที่ 22 พ.ค. 2563

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
chatchai.k
วันที่ 23 พ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ