เมื่อเรารู้ว่าเราใกล้ตาย
เมื่อเราป่วยหนัก ในเมื่อเรารู้ว่าเราใกล้ตายแล้วควรทำอย่างไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชีวิตของแต่ละบุคคลดำเนินไปในแต่ละวันๆ นั้น ก็ย่อมไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของจิตทีละขณะๆ จากขณะหนึ่งไปสู่อีกขณะหนึ่ง จากเช้ามาถึงเย็น จากเย็นไปถึงพรุ่งนี้ จากพรุ่งนี้ไปสู่วันต่อๆ ไป หมุนเวียนไปเรื่อยๆ
การได้รับผลของกรรมนั้นๆ ไม่พ้นไปจาก การได้รับผลทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง เพราะเหตุว่า ทวารทั้ง ๕ กล่าวคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้น เป็นทางรับผลของกรรม
การเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นผลของกรรมซึ่งไม่มีผู้ใดจะบังคับได้เลย สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ของความดีและมีปัญญาที่ได้อบรมมาแล้ว ถึงแม้ในขณะที่วิบากซึ่งเป็นผลของกรรม คือมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น ก็สามารถที่จะระลึกเป็นไปในกุศลได้ว่า เมื่อความเจ็บป่วยเกิดขึ้นแล้วก็เป็นเวลาที่ไม่ควรประมาท ซึ่งจะเห็นได้ว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นไม่จำกัดสถานที่ ไม่จำกัดเวลา จะเจ็บไข้ได้ป่วยที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ฉะนั้น การระลึกรู้สภาพธรรมซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง จึงเจริญได้ทุกแห่ง ไม่จำกัดสถานที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ขณะที่สติเกิดขึ้นก็เป็นความไม่ประมาทแล้ว ซึ่งจะต้องอาศัยเหตุที่สำคัญ นั่นก็คือการฟังพระธรรมให้เข้าใจ
ตามความเป็นจริงแล้วเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แม้แต่ในขณะต่อไป และที่สำคัญ ทุกคนจะต้องตายแน่นอน ไม่มีใครรอดพ้นไปได้แม้แต่คนเดียว ถึงอย่างไรก็จะต้องถึงวันนั้นอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว แต่ช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ควรที่จะเป็นโอกาสของการสะสมคุณงามความดี เจริญกุศลประการต่างๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึงการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ยิ่งขึ้นด้วย ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง ซึ่งไม่มีใครทราบได้ว่าจะเป็นวันไหนและเวลาใด
ธรรมะ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ผู้ที่เห็นคุณประโยชน์ของกุศล เห็นประโยชน์ของการอบรมเจริญปัญญา ย่อมไม่ละเลยโอกาสที่สำคัญในการเจริญกุศลและฟังพระธรรมให้เข้าใจ ครับ
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้เคยกล่าวเตือนไว้ว่า
มีชีวิตอยู่ แต่ไม่มีความดี ก็ไม่ต่างอะไรกับซากศพ
ชีวิตประจำวัน เก็บขยะ (สะสมอกุศล) หรือเริ่มทิ้งขยะ (สะสมกุศล ขัดเกลากิเลส) บ้างแล้ว?
มีหรือ ที่ปัญญาจะเลือกทำชั่ว?
เสียชีวิตไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่ คือ การเสียซึ่งคุณความดี.
อ้างอิงจาก ... ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกคนต้องจากโลกนี้ไป ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครที่จะสามารถรู้ได้ และไม่รู้ว่า วันไหน สําหรับสัตว์โลกผู้ไม่มีปัญญา แม้ในขณะต่อไป จะได้เห็น ได้ยินอะไร และจิตประเภทอะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นหากเข้าใจความจริงตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง จะรู้ว่า ชีวิตย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับบัญชาอะไรได้เลย การเข้าใจความจริงเช่นนี้ ย่อมจะเกื้อกูล ต่อการใช้ชีวิตประจำวันไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร จะป่วยเป็นโรคทางกายร้ายแรงขนาดไหน
แต่เมื่อมีความเข้าใจถูกเพิ่มขึ้น ย่อมจะทำให้โรคใจดีขึ้น เพราะทุกข์ทั้งหลายไม่ว่าจะเจ็บป่วยเป็นโรคอะไรต่างๆ ก็เพราะอาศัยการเกิด ซึ่งการเกิดก็อาศัยกิเลส คือโรคใจที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นโรคที่ร้ายแรงและเกิดเกือบตลอดเวลาแผดเผาใจ คือโรคใจ ที่เป็นโรคที่ปกปิด ซ่อนเร้น ไม่ให้เห็น และควรรังเกียจมากกว่าโรคกายอื่นๆ เพราะสกปรก เน่าใน ในจิตใจของผู้ที่กำลังเกิด ซึ่งโรคใจคือกิเลสที่เกิดขึ้น เป็นต้นเหตุของโรคร้ายทางกายทั้งปวง เพราะนำมาซึ่งการเกิด และนำมาซึ่งทุกข์ทางกาย ดังนั้น ชีวิตที่เหลืออยู่ ที่ควรจะทำ คือการอบรมปัญญา ซึ่งเป็นธรรมที่สามารถละกิเลสและบรรเทาโรคใจ และสามารถทำให้ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข เพราะเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้น เพราะความทุกข์ไม่ได้อยู่ที่โรคทางกาย แต่อยู่ที่ใจที่ปราศจากปัญญา ทําให้เกิดทุกข์ใจที่เป็นกิเลสเกิดขึ้น ในขณะนั้น ปัญญาที่เกิดขึ้นทำให้เข้าใจว่าไม่มีคนที่รังเกียจเรา และไม่มีเราที่ถูกรังเกียจ มีแต่ความคิดนึกของตนเองว่ามีคนอื่นรังเกียจ การเข้าใจเช่นนี้ก็ทำให้ชีวิตมีความสุขด้วยปัญญา เพราะเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้น
ชีวิตของสัตว์โลกต่างก็ประสบความทุกข์ต่างๆ มากมาย แม้พระอริยเจ้าในอดีตก่อนท่านเป็นพระอริยบุคคล บางท่านก็เป็นโรคร้ายและทรมานมาก ดังเช่น สุปปพุทธกุฏฐิ ที่เป็นโรคเรื้อน ทรมานตลอดเวลามีแต่คนรังเกียจ แต่เมื่อท่านได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าก็เกิดปัญญาความเข้าใจถูกและได้บรรลุธรรม ท่านก็ได้สาระที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต และท่านไม่ต้องทนทุกข์จากการดูหมิ่นของคนอื่นอีกเลย เพราะท่านมีทรัพย์ที่ประเสริฐคือกุศลธรรม มีปัญญาเป็นต้น ที่ทำให้ท่านไม่หวั่นไหวในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชีวิตที่มีค่า คือชีวิตที่ได้มีโอกาสสะสมความดี สะสมปัญญา ซึ่งปัญญาไม่ได้จำกัดว่าจะเกิดกับใคร หากได้สะสมปัญญามาแล้ว ย่อมจะทำให้เข้าใจถูกขึ้นได้ ครับ
การพิจารณาถูกว่าเมื่อเป็นโรคร้ายทางกายเช่นนี้แล้ว อันมีเหตุคือการทำอกุศลกรรมเป็นปัจจัย ควรที่จะแสวงหาธรรม (ที่จะขัดเกลากิเลส) คือปัญญา ที่จะทำให้ละโรคร้ายคือกิเลสที่เป็นต้นเหตุจริงๆ ได้ ด้วยการเข้าใจพระธรรม ครับ
ขออนุโมทนา
ทำความดีทุกๆ อย่าง โดยเฉพาะไม่ขาดการฟังธรรมทุกๆ วัน เพราะมีแต่ปัญญาและความดีเท่านั้นที่จะติดตามไปในภพหน้า ค่ะ
เข้มแข็งนะคะ และขอเป็นกำลังใจให้คุณ kunsone ฟังพระธรรมบ่อยๆ ให้เข้าใจเจริญกุศล มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
ขอบพระคุณและอนุโมทนาอาจารย์คำปั่น และอาจารย์ผเดิมค่ะ
ตามความเป็นจริงแล้ว เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แม้แต่ในขณะต่อไป และที่สำคัญทุกคนจะต้องตายแน่นอน ไม่มีใครรอดพ้นไปได้แม้แต่คนเดียว ถึงอย่างไรก็จะต้องถึงวันนั้นอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว
แต่ช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ควรที่จะเป็นโอกาสของการสะสมคุณงามความดี เจริญกุศลประการต่างๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึงการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญญสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ยิ่งขึ้นด้วย ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง ซึ่งไม่มีใครทราบได้ว่าจะเป็นวันไหนและเวลาใด
...แสวงหา "ธรรม" ที่จะขัดเกลากิเลส คือ "ปัญญา" ...
เรียน คุณkunsone ค่ะ
ขออภัยนะคะที่ไม่ได้อ่านกระทู้ของคุณให้ดีเมื่อทบทวนใหม่จึงเข้าใจว่าเป็นการตั้งคำถาม
ขออนุญาตร่วมสนทนาด้วยนะครับ
สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรง ก็ควรพบแพทย์เพื่อรักษาอย่างถูกต้องครับ อย่าเพิ่งหมดหวังว่าจะไม่มีทางรักษา เพราะปัจจุบัน การแพทย์พัฒนาขึ้นมาก โรคที่เราเคยคิดว่าร้ายแรงมาก อย่างเช่น มะเร็ง หรือโรคติดเชื้อ หรือโรคทางภูมิคุ้มกัน ฯลฯ ก็มีหลายโรคที่รักษาได้ แม้อาจจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็อาจจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทรมานน้อยลง และอาจมีชีวิตยืนยาวขึ้นกว่าการที่ไม่ได้รักษา ทำให้มีโอกาสฟังธรรมและเจริญกุศลในโลกนี้ได้นานขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม โรคที่ไม่มีหมอคนไหนรักษาได้คือโรคกิเลสที่กลุ้มรุมทุกคนอยู่เกือบตลอดเวลา ไม่ว่าจะคนที่สุขภาพดีหรือคนที่เจ็บป่วย และโรคกิเลสนี้ก็มีผู้เดียวที่รักษาได้คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทรงแสดงพระธรรมให้สัตว์โลกได้ฟังความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เราไม่เคยรู้ และไม่มีวันที่จะรู้หากไม่ได้ฟังพระธรรม การฟังพระธรรมเป็นเหตุให้ปัญญาและกุศลทุกประการเจริญขึ้น จนสูงสุดคือดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท ไม่ต้องเจ็บป่วยทางใจ และไม่ต้องเกิดมาเจ็บป่วยทางกายอีกเลย
ดังนั้น ไม่ว่าผู้ที่ป่วยหรือผู้ที่สุขภาพแข็งแรง เมื่อมีโอกาสได้พบพระธรรมในชาตินี้ ก็ควรอย่างยิ่งที่จะไม่ละทิ้งการฟัง การศึกษาให้เข้าใจ เพราะเราไม่รู้เลยว่าความตายจะมาถึงเมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าคนที่ป่วยร้ายแรงจะต้องตายก่อน คนที่สุขภาพแข็งแรงอาจจะตายด้วยอุบัติเหตุหรือเกิดเสียชีวิตกะทันหันโดยไม่มีอาการอะไรมาก่อนเลยก็ได้ ดังนั้น ไม่ควรละทิ้งโอกาสในการเจริญกุศลทุกประการ โดยเฉพาะการฟังพระธรรม
ขอยกข้อความบางตอน จากพระสูตรๆ หนึ่ง ที่อ่านแล้วประทับใจมากครับ และเห็นว่าเป็นเครื่องเตือนสติได้ดี
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 274
ข้อความบางตอนจาก อรกานุสาสนีสูตร
ดูก่อนพราหมณ์ แม่โคที่จะถูกเชือด ที่เขานำไปสู่ที่ฆ่า ย่อมก้าวเท้าเดินไปใกล้ที่ฆ่า ใกล้ความตาย แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่โคที่จะถูกเชือด ฉันนั้นเหมือนกัน นิดหน่อย รวดเร็ว มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก จะพึงถูกต้องได้ด้วยปัญญา ความกระทำกุศล ควรประพฤติพรหมจรรย์ เพราะสัตว์ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตายไม่มี.
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ขออนุโมทนากับคำถามของคุณ kunsone ค่ะ และคำตอบของ อ.คำปั่น และผู้ร่วมสนทนาทุกท่านค่ะ
ผู้ที่เห็นคุณประโยชน์ของกุศล เห็นประโยชน์ของการอบรบเจริญปัญญา ย่อมไม่ละเลยโอกาสที่สำคัญในการเจริญกุศล และฟังพระธรรมให้เข้าใจ
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้เคยกล่าวเตือนไว้ว่า
มีชีวิตอยู่ แต่ไม่มีความดี ก็ไม่ต่างอะไรกับซากศพ
ชีวิตประจำวัน เก็บขยะ (สะสมอกุศล) หรือเริ่มทิ้งขยะ (สะสมกุศล ขัดเกลากิเลส) บ้างแล้ว?
มีหรือที่ปัญญาจะเลือกทำชั่ว?
เสียชีวิตไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่ คือ การเสียซึ่งคุณความดี.
อ้างอิงจาก ... ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกข์กายเปรียบเหมือนถูกลูกศรดอกที่ ๑
ทุกข์ใจเปรียบเหมือนถูกลูกศรดอกที่ ๒
พระอรหันต์มีทุกข์กายแต่ไม่มีทุกข์ใจ ๓
ควรพลิกวิกฤตเป็นโอกาสรีบขวนขวายเร่งทำความดี
เจริญกุศลในทุกๆ โอกาส ฟังธรรมให้บ่อยๆ เนืองๆ
มีคนที่ป่วยเป็นมะเร็งเคยถามท่าน อ.สุจินต์ว่าจะมีขีวิตอยู่ได้อย่างไร
ท่าน อ.สุจินต์ "มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาสิคะ"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ