ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๕๓
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓]
๐ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ธรรม ก็เพื่อที่จะให้บุคคลอื่นมีโอกาสได้เข้าใจธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ตั้งแต่หลังจากทรงตรัสรู้จนกระทั่งถึงใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน เป็นระยะเวลาถึง ๔๕ พรรษา ไม่มีใครที่จะอนุเคราะห์เกื้อกูลผู้อื่นได้เท่ากับพระองค์เลย
๐ บุคคลผู้ที่ฟังพระธรรม ย่อมจะเห็นในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณที่ทำให้เรามีโอกาสได้ยินได้ฟังคำที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส อันเป็นวาจาสัจจะ เพื่อให้ผู้อื่นได้ฟังและเข้าใจ นำไปสู่ปัญญาความเข้าใจถูกต้องจนกระทั่งสามารถเข้าใจสิ่งที่พระองค์ได้ทรงแสดง
๐ เวลาที่ฟังสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกี่ยวกับธรรม ประโยชน์คือเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง โอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงนั้นเป็นโอกาสที่หายาก
๐ จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ก็เพื่อเข้าใจความจริง เนื่องจากมีความจริง แต่เมื่อยังไม่เคยฟังพระธรรม ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ธรรมนั้นคืออะไร คิดไม่ออก จึงต้องเริ่มที่การฟังในขณะนี้
๐ ไม่มีสมบัติอะไรในโลกที่คนนำติดตัวไปได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดๆ ก็ตามที่มีอยู่ตั้ง แต่บรรพบุรุษซึ่งได้ชื่อว่าครอบครองในสิ่งเหล่านั้น แต่ก็จากไปหมด ไม่มีใครเป็นเจ้าของในสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างแท้จริง
๐ พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าจะเป็นพระสูตรใด ส่วนใด ไม่ใช่สำหรับสวดหรือสำหรับท่อง แต่สำหรับศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบจริงๆ เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามที่พระองค์ทรงแสดง
๐ ได้รับผลของอกุศลกรรมมาก แต่ก็ยังเป็นกุศลได้ จิตใจดี ไม่หวั่นไหว เข้าใจถูก ไม่โทษใคร เพราะกรรมของตนเองเป็นเหตุจะทำให้ได้รับอกุศลวิบาก คือผลของอกุศลกรรม นี้คือประโยชน์ของการฟังและเข้าใจพระธรรม
๐ ถ้ามีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เวลาที่กรรมให้ผล ก็สามารถรู้ได้ว่าไม่มีใครทำให้เลย ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรที่จะทำให้เลย นอกจากกรรมที่ตนเองได้กระทำไว้แล้วเท่านั้น
๐ ถ้ามีความมั่นคงในเรื่องกรรมเพิ่มมากยิ่งขึ้น ก็จะไม่กระทำอกุศลกรรม
๐ เพราะยังมีอกุศลกรรม จึงทำให้เกิดเดือดร้อนไม่จบ ตั้งแต่เกิด เกิดมาก็ต้องรักษาโรคตั้งแต่เด็กแล้ว รักษากันทุกวัย จนกระทั่งถึงชรา รักษาไม่มีวันจบสิ้น แต่ถ้ารู้จักโรคใจคือกิเลสด้วย พอที่จะทำให้โรคใจนั้นบรรเทาเบาบางลงได้ จนกระทั่งในที่สุดก็หมดโรคใจ ไม่ต้องเกิดมีกายที่จะรักษาอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย มีแต่ธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่สามารถที่จะรู้ได้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เมื่อได้ฟังแล้วก็ค่อยๆ รู้ขึ้นเข้าใจขึ้นจนกระทั่งถึงการดับกิเลสได้ นี้เป็นพระคุณอย่างยิ่งของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อสัตว์โลก
๐ ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีอะไรจะละคลายกิเลสได้เลย กิเลสไม่ได้อยู่ในหนังสือ กิเลสอยู่ที่การสะสมมา ตราบใดที่ยังไม่ได้ละ ก็มีปัจจัยที่จะให้เกิด ไม่ใช่ว่ามีใครคิดจะชนะอกุศลในวันนี้ก็ชนะได้ แต่ต้องอาศัยการฟัง การพิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจจริงๆ แล้วจึงค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาไปตามลำดับขั้น ในชีวิตประจำวัน อยากจะไม่รู้ต่อไป หรือจะค่อยๆ รู้ขึ้น?
๐ พระธรรม ฟังครั้งเดียวไม่ได้
๐ เข้าใจธรรมทีละเล็กทีละน้อยได้ ถ้ายังไม่ขาดการฟังพระธรรม ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนสัตว์บุคคลได้ เมื่อได้เข้าใจความเป็นจริงของธรรมเพิ่มขึ้น
๐ สะสมความมั่นคงในความเป็นจริงของธรรมมากยิ่งขึ้น ด้วยการฟังพระธรรม
๐ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นของชั่วคราว เกิดแล้วก็ดับไป
๐ เห็น เป็นธรรมดา ได้ยิน เป็นธรรมดา โกรธ เป็นธรรมดา ฯลฯ เพราะธรรมดา คือ ความเป็นธรรม ความเป็นจริงของธรรม ซึ่งใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่จะต้องรู้ ด้วยว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เพียงพูดว่าเป็นธรรมดาๆ เท่านั้น
๐ อยู่ที่ไหนๆ ก็มีภัย ถ้ามีอกุศลเกิดขึ้นเป็นไป
๐ มีชีวิตอยู่ แต่ไม่มีความดี ก็ไม่ต่างอะไรกับซากศพ
๐ ชีวิตประจำวัน เก็บขยะ (สะสมอกุศล) หรือเริ่มทิ้งขยะ (สะสมกุศล ขัดเกลากิเลส) บ้างแล้ว?
๐ ต้องรู้จักเป็นผู้เสียสละ บารมีทั้งหมดล้วนเป็นการคิดถึงคนอื่น เพื่อประโยชน์แก่คนอื่น
๐ เมื่อไม่เกิด ก็ไม่มีทุกข์
๐ มีหรือที่ปัญญาจะเลือกทำชั่ว?
๐ เสียชีวิตไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่ คือ การเสียซึ่งคุณความดี.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๕๒ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๒
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
"มีชีวิตอยู่ แต่ไม่มีความดี ก็ไม่ต่างอะไรกับซากศพ"
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์คำปั่นด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ
- เราไม่ชอบอกุศลจิตของผู้อื่น เราไม่พอใจ เมื่อผู้อื่นตระหนี่หรือกล่าววาจาหยาบคายฯ แต่เรารู้บ้างไหมว่าเรามีอกุศลจิตขณะไหนบ้าง ขณะที่เราไม่พอใจ วาจาหยาบคายของผู้อื่น ขณะนั้น เราเองกำลังมีอกุศลจิตซึ่งประกอบด้วยโทสะ แทนที่จะสนใจในอกุศลจิตของผู้อื่น เราควรระลึกรู้อกุศลจิตของเราเอง
- ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรม ซึ่งอธิบายสภาพธรรมไว้อย่างละเอียดอาจจะไม่รู้ว่าอะไรเป็น อกุศล ... อาจจะเข้าใจ (ผิด) ว่าอกุศลเป็นกุศล ฉะนั้น จึงสะสมอกุศลโดยไม่รู้ตัว
- อกุศลกรรม ย่อมให้ผลเป็นทุกข์ ไม่มีใครปรารถนาผลที่เป็นทุกข์ แต่คนส่วนมากก็ไม่รู้เรื่อง อกุศลกรรม อันเป็นเหตุให้เกิด "ผล" ที่เป็นทุกข์ เพราะไม่รู้ว่าจิตขณะไหนเป็นอกุศลและขณะที่ทำอกุศลกรรมก็ย่อมไม่รู้อีกเหมือนกัน.
- เรารู้สึกว่ายากที่ยอมรับสภาพชีวิตตามความเป็นจริง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราทน ไม่ได้ที่จะคิดว่าร่างกายของเราหรือร่างกายของคนที่เรารักนั้นเป็นดัง "ซากศพ" เรายอมรับเรื่องการเกิด แต่ไม่ค่อยอยากจะยอมรับหลังการเกิด ซึ่งได้แก่ ความแก่ ความเจ็บ และความตาย เราไม่อยากรู้เห็นสภาพที่ไม่เที่ยงของสังขารธรรมทั้งหลาย เวลาส่องกระจกและตบแต่งร่างกาย เราก็อยากให้ร่างกาย "เป็นตัวตนที่ยั่งยืนและเป็นของเรา แต่ร่างกายก็เป็นเพียง รูปธาตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทันที ไม่มีสักอณูเดียวของร่างกายที่ยั่งยืน.
- เราอดพูดดิรัจฉานกถาไม่ได้ แต่เราควรรู้ว่าการพูดของเรานั้น แม้ดูเหมือนไม่มีโทษภัยแต่ก็พูดด้วยโลภมูลจิตหรือพูดด้วยโทสมูลจิตบ่อยๆ
- เราจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นหรือวิจารณ์คนอื่นน้อยลง เมื่อเราเข้าใจว่า ทั้งตัวเราเองและคนอื่นนั้นเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและไม่เที่ยง ขณะที่กำลังพูดถึงเรื่องการกระทำของคนอื่น ขณะนั้น สภาพธรรมเหล่านั้นดับไปหมดแล้ว
- เราไม่เป็นอิสระเลย ถ้าความสุขของเราขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดกับเรา และจากการกระทำของคนอื่น คนอื่นอาจจะดีกับเราขณะหนึ่งแต่อีกขณะหนึ่งอาจจะไม่ดีก็ได้ ถ้าเรา ยึดถือในความชอบพอ รักใคร่ ที่คนอื่นมีต่อเราอย่างมากมายเหลือเกินแล้ว จิตก็จะหม่นหมองได้ง่ายและตกเป็นทาสของอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ เราจะเป็นอิสระขึ้นได้ถ้า เข้าใจความจริงว่าทั้งตัวเราเองและคนอื่นเป็นเพียง นามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป
- เราปรารถนาที่จะอยู่ในโลกที่สมัครสมานกลมเกลียวกันระหว่างชาติต่างๆ และเป็นทุกข์ เมื่อเดือดร้อน เมื่อมีการประทุษร้าย เบียดเบียนกัน เราควรพิจารณาว่าอะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริงของความขัดแย้ง สาเหตุที่แท้จริงคือกิเลสที่สะสมอยู่ในจิตของแต่ละคน
- ขณะที่โกรธ เราคิดว่าคนอื่นและสิ่งที่ไม่น่ายินดีพอใจนั้นทำให้เราโกรธ แต่โทสะ ที่ได้สะสมไว้เป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ความโกรธเกิดขึ้น ครั้งแล้วครั้งเล่า ความเข้าใจลักษณะของโทสะและการระลึกรู้ลักษณะของโทสะขณะที่โทสะเกิดขึ้น เป็นเหตุที่ทำให้โทสะลดน้อยลง.
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อาจารย์ผเดิม และทุกๆ ท่านครับ
- จุดประสงค์ของการฟังพระธรรมก็เพื่อเข้าใจความจริง เนื่องจากมีความจริงแต่เมื่อยังไม่เคยฟังพระธรรม ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ธรรม นั้นคืออะไร คิดไม่ออก จึงต้องเริ่มที่การฟังในขณะนี้
- ถ้ามีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เวลาที่กรรมให้ผล ก็สามารถรู้ได้ว่าไม่มีใครทำให้เลย ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร ที่จะทำให้เลย นอกจากกรรมที่ตนเองได้กระทำไว้แล้วเท่านั้น
- ถ้ามีความมั่นคงในเรื่องกรรมเพิ่มมากยิ่งขึ้น ก็จะไม่กระทำอกุศลกรรม
- เราจะพูดถึง เรื่องของคนอื่นหรือ วิจารณ์คนอื่นน้อยลง เมื่อเราเข้าใจว่าทั้งตัวเราเองและ คนอื่นนั้นเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะ เหตุปัจจัย และไม่เที่ยง ขณะที่กำลังพูดถึงเรื่องการกระทำของคนอื่นขณะนั้น สภาพธรรมเหล่านั้นดับไปหมดแล้ว.
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ. คำปั่น และ อ. ผเดิม ค่ะ...
- เวลาที่ฟังสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกี่ยวกับธรรม ประโยชน์คือเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง พระธรรม ฟังครั้งเดียวไม่ได้
- ชีวิตประจำวัน เก็บขยะ (สะสมอกุศล) หรือเริ่มทิ้งขยะ (สะสมกุศล ขัดเกลากิเลส) บ้างแล้ว
- เสียชีวิตไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่ คือ การเสียซึ่งคุณความดี
- ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรม ซึ่งอธิบาย สภาพธรรม ไว้อย่างละเอียดอาจจะไม่รู้ว่า อะไร เป็นอกุศล อาจจะเข้าใจ (ผิด) ว่า อกุศลเป็นกุศล ฉะนั้น จึงสะสมอกุศลโดยไม่รู้ตัว
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
- เสียชีวิตไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่ คือ การเสียซึ่งคุณความดี
- ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรม ซึ่งอธิบาย สภาพธรรม ไว้อย่างละเอียดอาจจะไม่รู้ว่า อะไรเป็นอกุศล อาจจะเข้าใจ (ผิด) ว่าอกุศลเป็นกุศล ฉะนั้น จึงสะสมอกุศลโดยไม่รู้ตัว
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ชีวิตประจำวัน เก็บขยะ (สะสมอกุศล) หรือเริ่มทิ้งขยะ (สะสมกุศล ขัดเกลากิเลส) บ้างแล้ว
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ถ้ามีความมั่นคงในเรื่องกรรมเพิ่มมากยิ่งขึ้น ก็จะไม่กระทำอกุศลกรรม
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ